23 ม.ค. 2022 เวลา 03:14 • ยานยนต์
Review : Honda CB 1300 Super Four ตำนานรุ่นใหญ่ข้ามกาลเวลา ไปลำปางวันเดียวกลับ
สวัสดีครับ
วันนี้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับรถที่เรียกได้ว่า
เป็นระดับตำนาน ระดับขึ้นหิ้ง และเคยเป็นรถที่อยากได้ในสมัยยุคปลาย 90s
ซึ่งกำลังเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีเงินทุนพอจะสานฝันเลย
และวันนี้ก็เลยต้องสานฝันสักครั้ง แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของแต่ยืมมาลองก็ถือว่า บรรลุความอยากที่คาใจตั้งแต่วัยรุ่นไปอีกหนึ่งข้อ ซึ่งฝันนั้นก็คือ "รถใหญ่ไฟกลม" นามว่า Super Four
แน่นอนว่า ตอนเด็กเราไม่คิดถึงรุ่นไหนหรอก นอกจากน้องเล็ก CB 400 Super Four เพราะมีความหวังที่สุดแล้ววันนี้ได้ทำตามฝันวัยระเริงด้วย Super Four เหมือนกัน หากแต่เป็นรุ่น 1300 เลย
เอาหล่ะ เมื่อสมหวังแล้วก็ลองจัดการเดินทางสักพันกว่าโลไปลำปางกัน แล้วเอามาเหลาให้ฟังละกันครับ เวลามีไม่มากนัก เริ่มกันเลยยยยต้องขออภัย ที่ทริปนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องเที่ยวเท่าไร =/\=
TLDR
หลักใหญ่ใจความ
CB 1300 Super Four เป็นรถในตำนานของไทยรุ่นหนึ่งสำหรับสายคนเล่น Bigbike ในยุครถก้อน( รถนำอะไหล่เข้ามาประกอบเป็นคัน ) และอยู่บนสายพานการผลิตมายาวนานถึง 23 ปี โดยทาง Honda ได้นำรุ่นปี 2021 เข้ามาขายอย่างเป็นทางการและเป็นรุ่นที่มีการปรับปรุงค่อนข้างเยอะ ทั้งในเรื่อง Ride by Wire , Riding Mode, Cruise Control , กำลังเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นนิดหน่อยและมีเกียร์ 6 เกียร์แล้วด้วย และสีสันขาวแดงล้อทองเฟรมแดงที่งามหยด โดยยังคง Character และกลิ่นไอดั้งเดิมของ CB 1300 Super Four ที่ส่งถ่ายจากยุคปลาย 90s อย่างครบถ้วน ในราคาที่จับต้องได้เพียง 575,000 บาท เท่านั้น !!!!
ตำนาน
รถใหญ่ไฟกลม
คำๆนี้มีความหมายเกี่ยวโยงกับสังคมการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ของไทยมานาน
หากใครเป็นคนเล่นรถบิ๊กไบค์ในยุคที่ยังไม่มีการขายอย่างเป็นทางการในศูนย์ต่างๆเหมือนปัจจุบันนี้คงทราบกันดีว่าเมื่อสมัยก่อนการจะครอบครองบิ๊กไบค์สักคัน ต้องมีการนำเข้าชิ้นส่วนแล้วมาประกอบกันเอง ขึ้นเป็นคันรถเอง หรือที่เรียกกันว่า รถก้อน จากนั้นค่อยนำรถก้อนนี่แหละมาจดสรรพสามิตและไปทำทะเบียน จะเป็นทะเบียนที่นำมาจากคันอื่นหรือที่เราเรียกว่าทะเบียนสวม ซึ่งมีราคาถูกกว่า หรือเป็นทะเบียนแท้ที่จดกันแบบถูกต้องซึ่งมีราคาสูงลิ่ว ก็แล้วแต่กำลังของแต่ละคน
ตลาดรถส่วนใหญ่ที่นิยมของคนไทยก็เป็นตลาด รถ Naked ไฟกลมทรง Standard กับทรงสปอร์ต Replica โดยรุ่นที่มีความนิยมสูงสุดในสายพันธ์ุ Standard Naked ก็เห็นจะไม่พ้น Honda CB 400 Super Four เพราะเป็นรถที่ทนทานดูแลง่าย ขี่ง่าย ตามสไตล์ Honda และแน่นอน เมื่อ CB 400 Super Four ได้รับความนิยม รุ่นใหญ่ในสายพันธุ์เดียวกันที่เป็นที่นิยมอีก 2 รุ่นก็คือ CB 1000 Super Four และ CB 1300 Super Four และนี่คือรุ่นใหญ่สุดของ "รถใหญ่ไฟกลม" ซีรีย์ยอดฮิตที่สุดของประเทศไทยในอดีต
จะขอเล่าความเป็นมาของรถรุ่นนี้สักหน่อย ปีเกิดของเจ้านี่ ย้อนกลับไป 23 ปีในปี 1998 โดยเจ้านี่เป็นผู้สืบทอดของ CB 1000 Super Four ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นในนาม Project Big One ในปี 1992
ซึ่งแน่นอนก็ตามชื่อ Project , CB 1000 Super Four เป็นรถ Standard ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมากสำหรับยุคนั้น ผ่านไป 6 ปี มันจึงได้ผู้ถ่ายทอดคนต่อมา คือ CB 1300 Super Four นั่นเอง แม้เครื่องจะใหญ่ขึ้นแต่เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทำให้ตัวรถมีขนาดไม่ได้ใหญ่ขึ้นมากนักตามเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นถึง 300 cc
นับตั้งแต่ถือกำเนิดในปี 1998 CB 1300 Super Four ถูกเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกในปี 2003 ได้รับการเปลี่ยนแปลงหน้าตานิดๆหน่อยๆรวมถึง ข้อสังเกตที่ชัดเจนคือ ตัวเครื่องไม่มีครีบระบายความร้อนอีกแล้ว
ในปี 2005 ได้ให้กำเนิด อีกรุ่นหนึ่งขึ้นมาซึ่งเป็นรุ่นที่ผมชอบมากคือ CB1300 Super BOL D'OR ที่มีแฟริ่งแบบครึ่งนึงมีหน้ากากบังลม
หลังจากนั้น Honda ก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเลยและก็ไม่ค่อยได้ส่งขายต่างประเทศด้วยสำหรับรุ่นนี้ จะสังเกตว่า ตัวแทนที่ขายรุ่นนี้ในประเทศต่างๆจะมีน้อยมากโดยส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ตัวแทนอิสระนำเข้าไปขายเองเสียมากกว่า ซึ่งประเทศไทยก็น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มนั้น
ในปี 2018 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยเพิ่มพอประมาณของเครื่องยนต์เล็กน้อยจนสุดท้ายมีการเปลี่ยนแปลง อีกครั้งในปี 2021 ซึ่งคราวนี้ได้รับการเพิ่มเติมเทคโนโลยี Ride by Wire แล้วก็ Riding Mode เข้าไปแถมยังใส่ Cruise Control ให้ด้วย และเจ้ารุ่นนี้แหละก็เป็นรุ่นที่ได้เข้ามาทำตลาดในบ้านเราอย่างเป็นทางการ
มิติ ดีไซน์
ว่ากันด้วยมิติของตัวรถ
รถคันนี้ก็เป็นบิ๊กไบค์ไซส์ค่อนข้างใหญ่คันนึงมีน้ำหนักถึง 267 กิโลกรัมแต่เวลาขี่นั้นแทบไม่รู้สึกถึงความหนักเลยแต่เวลาเข็นก็เอาเรื่องอยู่ แฮ่ๆ
ดีไซน์รถคงไม่ต้องอธิบายอะไรหน้าตาก็มาในสไตล์ดั้งเดิมเลยเอาเป็นว่าดูรูปเอาดีกว่าสำหรับรุ่นนี้พิเศษหน่อยคือความที่เฟรมเป็นสีแดงและล้อเป็นสีทองซึ่งรับกับตัวรถสีขาวแดงสไตล์คลาสสิคเอามากๆเรียกได้ว่ามัน สวยงามจับใจเลยทีเดียว ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ดูดีมีชาติตระกูลวัสดุเกรด premium เลยล่ะมันให้ความรู้สึกว่าแพง
และแน่นอนรถใหญ่ไฟกลมจะให้ไฟเป็นสี่เหลี่ยมได้อย่างไรแต่ไส้ในนั้นพัฒนาตามยุคสมัยเป็น LED แต่ก็ยังแอบใส่แตรตามสมัยยุคเก่ามาให้ด้วยนะครับคลาสสิคดีแท้
เพื่อรักษาความคลาสสิคและสไตล์ดั้งเดิมแน่นอน ท่อจะให้สั้นๆสุดๆแบบรถสมัยนี้ได้เยี่ยงไรมันต้องยาวสวยแบบนี้แหละมันถึงจะเป็นท่อของยุค 90
มาในส่วนท้ายสไตล์ตูดเป็ดซึ่งเป็นสไตล์ยอดนิยมตามสมัยยุคนั้นและมันก็ยังดูดีมาถึงยุคนี้ ให้ตายสิพระเจ้าจอร์จ ยางที่ให้มาก็ใหญ่โตสะใจวัยรุ่นด้วยด้านหลังขนาด 180/55 R17 ส่วนด้านหน้าก็ 120/70 R17
เครื่องยนต์
มาดูเครื่องยนต์อันเป็นหัวใจสำคัญของรถทุกคัน
เครื่องยนต์พิกัด 1,284 cc. รีดพลังได้ถึง 114 hp/7,500 rpm. แรงบิด 117 Nm./6,000 rpm. แรงขึ้นกว่าเดิมจากรุ่นปี 2018 อีกเล็กน้อย แต่ที่แตกต่างกันมากเลยคือ มาพร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมด( Rain,Standard,Sport) แถมยังเพิ่มระบบ Cruise Control เข้ามาช่วยให้การขับขี่ทางไกลสบายยิ่งขึ้น ถังน้ำมันความจุ 21 ลิตร เต็มถังนี่วิ่งกันยาวๆได้เลย
จุดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นนี้ที่ไม่เหมือนเครื่อง Inline 4 ทั่วๆไป ที่มาในรถรุ่นใหม่ๆ คือ สุ้มเสียง และ ความเนียน สุ้มเสียงมัน "นุ่ม" มากกว่า เสียง "หวาน" มากกว่า ขี่ "เนียน" กว่า อาจจะเพราะ การ Tuning ที่กำลังอัดเพียง 9.6 ต่อ 1 ซึ่งในรถ Modern นั้นส่วนมาก รถหม้อน้ำ กำลังอัดจะไปแตะ 11 - 12 ต่อ 1
ทำให้รถรุ่นนี้มีความเนียน นุ่มมากกว่ารถในสมัยใหม่และท่อไอเสียก็ยาวววววว เสียเหลือเกิน ทำให้เสียงออกมา เงียบและนุ่มเอามากๆๆๆ มากกว่ารถที่เพิ่งถูก Design ในยุค Modern พอสมควร
เกียร์ที่ให้มาเป็นเกียร์ 6 จังหวะที่ต้องขอบอกว่า "เนียนโคตรๆ" เรียกได้ว่า เป็นรถที่ต่อเกียร์ได้เนียนที่สุดอีกรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยขี่รถมาเลยก็ว่าได้
มาในเรื่องของกำลังเครื่องยนต์
ต้องบอกว่า มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่า "แรง" เมื่อคิดถึง CC ที่ให้มาถึง 1,300cc สิ่งที่มันส่งถ่ายมาคือ แรงบิดที่เนียนๆ ที่ค่อยๆ ไหล รินอย่างนุ่มนวลเสียมากกว่า เทียบตามความรู้สึก มันมีความแรงคล้ายๆ รถ 800-900 cc สมัยใหม่ แต่สิ่งที่ได้เปรียบคือ CC ที่สูงกว่า ใช้รอบต่ำกว่า และสิ่งที่ได้มาคือ ความนุ่มนวล และ สบายในการควบคุม และอีกผลพลอยได้คือ อัตรา การประหยัดน้ำมันที่ค่อนข้างดีเลย คือ 19-20 กม/ลิตร ในย่านความเร็วการเดินทาง 120-130 กม/ชม ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับรถ 1,300cc
แต่ถ้าอยากแรงก็พึงลากรอบให้อยู่ในย่านกำลังแรงบิดสูงสุด ถึง รอบแรงม้าสูงสุด คือ 6,000 - 7,500 รอบ/นาที รับรองว่า เพียงแค่นี้ก็พอเพียงจะตอบสนองความต้องการอยากแรงแล้วหล่ะ เท่าที่ได้ลองบนถนน ลองบิดไปถึง 190 กม/ชมแบบไม่ต้องรอ ซึ่งนั่นก็แปลว่า รุ่นนี้ไม่ได้เป็น Spec ญี่ปุ่นที่ตัดความเร็วที่ 180 นะ^^ แต่จริงๆ แล้วความเร็วที่รถทำได้ ทะลุ 200 แน่นอน เพียงแต่ไม่กล้าที่จะลองบนถนนหลวงและในภาวะที่มีรถหนาแน่นเท่านั้นเอง
ระบบเบรกและช่วงล่าง
ระบบเบรคและช่วงล่างที่ให้มาหน้าตาเป็นสไตล์โอสคูลทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นโช๊คเทเลสโคปิค 43mm จาก Showa ที่สามารถปรับตั้งได้แบบ Full Adjust
ระบบเบรคหน้าเป็นจานดิสเบรคคู่ขนาด 310mm มาพร้อมกับคาลิปเปอร์ 4 Pot พร้อม ABS ที่ติดตั้งแบบ Axial Feeling การเบรคของมันต้องบอกว่าค้านกับหน้าตามากคือมันค่อนข้างดีงาม แรงเบรก และการไล่น้ำหนัก คือ set up มาได้ดีงามมากบอกได้เลยว่าเพียงพอกับการหยุดรถน้ำหนักกว่า 267 กิโลกรัมคันนี้แน่นอน
มาถึงโช๊คอัพหลัง แน่นอนรถซุปเปอร์โฟร์จะเป็นโช๊คเดี่ยวได้เยี่ยงไรมันต้องเป็นโช้คอัพคู่ Showa พร้อม กระปุกแก๊ส สวยๆ สิมันถึงจะเป็นซุปเปอร์โฟร์ ซึ่งโช๊คอัพหลังที่ให้มานั้นบอกได้เลยว่าปรับตั้งได้เต็มสูบทั้ง Preload, Compression , Rebound ซึ่งมันถูกติดตั้งเข้ากับสวิงอาร์มอลูมิเนียม หน้าตาพรีเมี่ยม และดิสก์เบรกหลัง พร้อมคาลิปเปอร์ลูกสูบเดี่ยว
อุปกรณ์
มาดูอุปกรณ์กันบ้างว่าที่เรือนไมล์กันก่อน
สำหรับยุค 90 นั้นเรือนไมล์ ถ้าผมจำไม่ผิด เขาเรียกกันเป็นก้อน เช่น เรือนไมล์ 2 ก้อน 3 ก้อน อะไรแบบนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนก้อนของเรือนไมล์ ส่วนเจ้า CB 1300 SF คันนี้ มา เป็นแบบเรือนไมล์ 2 ก้อนเพราะว่า ส่วนการแสดงผลส่วนหนึ่งถูกปรับไปเป็นแบบดิจิตอลที่อยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายเป็นความเร็วด้านขวาเป็นวัดรอบและแน่นอนมันจะเป็นดิจิตอลไม่ได้มันต้องเป็นแบบเข็มสิ มันถึงจะได้อารมณ์!!!!
มันมีแค่หน้าตาเท่านั้นที่ยังคงความ classic แต่ก็แอบใส่ความ Modern มาในไมล์ดิจิตอลตรงกลาง สามารถแสดงข้อมูลที่รถในยุค 90 แสดงไม่ได้หลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นอัตราการสิ้นเปลือง ไฟบอกเกียร์ อุณหภูมิหรืออื่นๆก็มีมาให้ครบเกือบหมดเลยและที่สำคัญ มันยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกด้วยนะมี Standard , Rain แล้วก็ Sport ซึ่งจากที่ลองดูมันก็ตอบสนองแตกต่างกันอยู่ระดับนึง แต่ไม่ได้มากมายนัก ( เพราะทุก Mode ก็นุ่ม นู๊มมม นุ่ม อยู่ดี 555 )
นอกนั้นยังมีสิ่งที่ไม่คิดฝันว่าในรถรุ่นนี้จะมีให้ ซึ่งมันโคตรจะดีนั่นก็คือ Cruise Controlเดินทางไกลบอกได้เลยว่า ชอบมาก
มาดูเบาะกันบ้าง ถ้าเป็นรถ Standard ในยุค 90 เบาะต้องเป็นรูปแบบชิ้นเดียว ที่มีความ กว้างพอสมควรแบบนี้แหละ วัสดุเบาะที่ให้มา ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มดีมากสำหรับ First Impression ที่นั่งตอนแรกรู้สึกว่าสบายเลยทีเดียว แต่พอนั่งไปนานๆก็ รู้สึกว่า มันแอบนิ่มเกินไปอยู่เหมือนกันนะเวลาที่เดินทางไกล คือสำหรับผม เบาะที่เหมาะสำหรับการเดินทางไกลๆ คือ ไม่นิ่มหรือไม่แข็งจนเกินไป แล้วก้นเราจะทนได้นาน 555
ถังน้ำมันทรงคลาสสิคขนาดเขื่องถึง 21 ลิตรและติดสติ๊กเกอร์ Project Big One มาให้ด้วยจะได้รู้ไปเลยว่าเนี่ย ต้นแบบมาจากยุค 90
ความสบาย/การเดินทาง
จากทั้งหมดทั้งปวงที่เล่ามาผมก็ได้ลองนำไปเดินทางไกลระยะทางประมาณ 1,400 กว่ากิโลเมตร
เอาเรื่องสรีรศาสตร์ก่อน ถ้านั่งค่อนข้างเป็นธรรมชาติมาก ตัวเบาะ ไม่สูงมากจนเกินไปนัก ผมสูง 177 ซม หนัก 77 กก ( อ้วนแหล่ะ ดูออก ) สามารถวางเท้ากับพื้นได้สบายๆ
แอบตินิดหน่อยตรงที่ ขางอมากเกินไปนิดนึง เวลาเดินทางไกลอาจจะรู้สึกเมื่อยบ้างพอมาประสานกับตัวเบาะที่นุ่มเกินไป กลายเป็นว่า เมื่อยทั้งขาและเมื่อยทั้งก้นอยู่พอสมควรเหมือนกันถ้าเดินทางระยะเกิน 200 กิโลเมตรขึ้นไป อาจจะต้องแวะ ก่อนที่น้ำมันจะหมดถังเพราะถังน้ำมันใบเขื่องความจุ 21 ลิตรถ้ารอให้น้ำมันหมดถัง ก็ 3xx กว่ากิโลเมตรซึ่งก้นกับขาจะไม่ไหวเอา
สำหรับการเดินทางไกลกับรูปทรง Naked อาจจะไม่ค่อยเข้ากันนักแต่ก็ไม่ได้เหนื่อยมากมายอะไร ถ้าวิ่งด้วยความเร็ว 120 ก็ไม่รู้สึกว่าต้านลมมากมายอะไรนักจะไปรู้สึก ชัดเจนอีกทีก็ความเร็วเกิน 140 ขึ้นไปลองไล่คันเร่งขึ้นไปถึง 190 ก็ต้องสู้ลมหนักไป เอาเป็นว่าขี่สักไม่เกิน 150 กำลังพอดี ไม่ต้องเหนื่อยและเครียดเกินไปนัก
ในส่วนของเครื่องยนต์ด้วยความที่เป็นเครื่องยนต์ขนาดใหญ่มีซีซีถึง 1,300 ซีซีรอบในการเดินทางไม่สูงมากนัก ให้ความรู้สึกชิลล์ๆและสบายในการเดินทางไกลได้ดีมากติดที่คนนี่แหล่ะ
ฟีลลิ่งการขับขี่
มาพูดถึงเรื่องฟิลลิ่งการขับขี่กันบ้าง
สำหรับการขับขี่นั้น ต้องบอกได้ว่าไม่ได้คาดหวังมากนักเพราะว่าดีไซน์ยังคงเป็นแบบดั้งเดิม แต่พอลองขี่ จริงๆก็รู้สึกว่าฟีลลิ่งที่ตัวรถตอบสนองมันก็ไม่ได้โบราณตามหน้าตา คือมันก็มีความพริ้วในการควบคุมระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้คล่องตัวมากเหมือนรถในยุคสมัยใหม่ แต่ก็เข้าโค้งได้ลื่นไหล พอสมควรเลยทีเดียว
สิ่งที่สังเกตได้คือการทำงานของโช๊คคู่นั้นแน่นอนว่ามัน อาจจะตอบสนองต่อการเข้าโค้งสู้โช๊คเดี่ยวไม่ได้เราจะรู้สึกถึงการทำงานของช่วงยุบที่ในบางครั้งมันอาจจะไม่เท่ากันในบางจังหวะของการยกและคืนตัวทำให้รถมันนิ่งสู้รถที่ใช้โช๊คเดี่ยวไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากการ Set up โช๊คที่ออกไปทางฝั่งนุ่มนวลด้วย
ส่วนความรู้สึกจากโช๊คหน้า นั้นทำงานได้ค่อนข้างดี การยุบคืนตัวอยู่ในระดับที่ดี เมื่อประสานกับระบบเบรคที่เซ็ตมาอย่างดีถือว่าน่าพอใจมากสำหรับช่วงหน้าแม้ว่าจะ set มาแบบนุ่มนวลเช่นเดียวกับโช๊คหลัง
ความรู้สึกที่ได้จาก ตัวรถและเฟรม อาจจะให้กลิ่นอายของรถสมัยเก่านิดนึงคือไม่ได้ตอบสนองฉับไว อาจจะด้วยน้ำหนักรถด้วยส่วนหนึ่ง ในเรื่องความรู้สึกเสถียรถือว่าทำได้ดี ไม่ได้รู้สึกว่ารถไม่เสถียรแต่อย่างใดเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วระดับกลางๆ
โดยรวมๆในเรื่อง Handling ให้คะแนนไป 7 เต็ม 10 ไม่ได้ดีเลิศแต่ว่าก็ไม่น่าเกลียดเมื่อเทียบกับรถ ที่ออกแบบแบบโมเดิร์น
สำหรับ Feeling การขับขี่ส่วนหนึ่งที่ อยากเล่ามากคือความนุ่มนวลเรียบเนียนของเครื่องยนต์ ชุดเกียร์ชุดคลัช ซึ่งต้องบอกว่ามันเรียบเนียนอย่างกับ รถยนต์ อาจจะเป็นเพราะคาแรคเตอร์ของรถฮอนด้าในยุคนั้น มันเป็นแบบนี้ มันมีความสุภาพแบบเรียกได้ว่าสุดๆไปเลย ซึ่งบอกได้เลยว่า แม้แต่รถ Honda ยุคปัจจุบันก็ยังไม่ได้นุ่มนวลเรียบเนียนขนาดนี้ยังมีแอบใส่ความห้าวเข้ามาให้ได้รู้สึกตื่นเต้นในยามขับขี่บ้างแอบสงสัยเหมือนกันว่า เพราะคาแรคเตอร์นี้หรือเปล่าที่ทำให้เรียกรถ Honda ว่ารถคนดี 555
เมื่อชุดเครื่องยนต์อันแสนเรียบเนียนขนาดนี้มาประสานกับเบรคที่นุ่มนิ่มช่วงล่างที่นุ่มนิ่มแถมเบาะยังนุ่มนิ่มอีกคือทุกสิ่งทุกอย่างมันนุ่มนิ่มไปหมด ยกให้เป็นรถยอดนิ่มรุ่นหนึ่งแห่งปีเลยทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่มันสุดยอดมากๆของรุ่นนี้ก็คือสุ้มเสียงอันนุ่มทุ้ม ซึ่งเครื่องยนต์ 4 สูบที่ design ในยุคใหม่ๆ ก็ไม่ได้มีท่วงทำนองอันไพเราะขนาดนี้
ในทัศนะของผม อาจจะเป็นเพราะดีไซน์ภายในเครื่องยนต์และท่อที่ยาวมากๆทำให้มีเสียงนุ่มทุ้มขนาดนี้ และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้คนหลงใหลเสียงของรถ Super Four ที่ส่งถ่ายมาจากยุค 90 จนถึงยุคปัจจุบัน
โดยสรุปถ้าใครชอบรถที่มีคาแรคเตอร์สุภาพนุ่มนิ่ม ถูกขัดเกลามาอย่างดีมีสุ้มเสียงที่ไพเราะ นี่คือที่สุดคันหนึ่งในตลาดรถไทย ณ ตอนนี้
บทสรุป
รถคันนี้เหมาะกับใคร อย่างแรกเลย คนที่ชอบรุ่นนี้ หรือคนที่โหยหารถ Standard Naked ที่นุ่มนวล สุภาพและมีกลิ่นอายรถยุค 90s อยู่เต็มเปี่ยม
ที่มาใน Package รถใหม่ ไม่มีคันไหนเหมาะสมกว่านี้แล้ว
ข้อดี
+ สุภาพพพพพพพพ ไปทุกสิ่ง
+ นุ่มนวลลลลลลลล ไปทุกจุด
+ ประหยัดน้ำมันเกิน CC
+ รถใหม่สไตล์ยุค 90s
+ สีขาวแดง เฟรมแดงล้อทอง โดนใจ
+ Cruise Control
+ เบรก
+ การควบคุมที่เชื่องมือ
ข้อสังเกต
- น้ำหนัก
- พักเท้าสูงไปนิดทำให้ขางอ
- เบาะนิ่มไปถ้านั่งนานๆ
- ฟีลลิ่งจากโช๊คคู่ ( ถ้านำไปเทียบกับโช๊คเดี่ยว )
วันนี้ต้องขอลาไปก่อน ขอบคุณที่อ่านครับ
โฆษณา