2 ก.พ. 2022 เวลา 07:04 • ยานยนต์
Review : Suzuki Gixxer 250 SF Life Style Sport ยอดอรรถประโยชน์
วันนี้เราจะพามารู้จัก รถ Sport จากค่าย Suzuki ที่มีพิกัด 250 ซีซี มีนามว่า Suzuki Gixxer SF 250
ตำนาน
รุ่นนี้ไม่มีตำนาน แต่ตำนานอิงกับรุ่นอื่นเพื่อมาเปิดตำนานใหม่ของตัวเอง
ในอดีต ช่วงยุคปี 2000 ถึง 2010 รถสปอร์ตของ Suzuki รุ่น GSX-R ค่อนข้างประสบความสำเร็จในตลาดรถสปอร์ต นับเป็นรถ Sport Bike ที่มีสมรรถนะเป็นลำดับต้นๆของวงการในช่วงนั้น และด้วยความยิ่งใหญ่ของมันเริ่มมีการขนานนามชื่อของมันว่า Gixxer ซึ่งน่าจะเกิดมาจากการออกเสียงคำว่า GSX-R แบบเร็วๆ
โดยโมเดลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเห็นจะเป็นในรุ่นปี 2006 หรือที่ Suzuki เรียกว่า k6 ซึ่งจะมีหน้าตาออกแนวทู่ๆนิดนึง เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในรุ่นต่อมา Suzuki ได้ออกแบบไฟหน้าใหม่ รับกับหน้าตาที่แหลมคมขึ้น ดูสวยงามมากขึ้น ซึ่งในสายตาของผมเองมองว่า Suzuki ยุคนี้แหละเป็นยุคที่สวยงามที่สุด ( อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ ) และ Suzuki รุ่นนั้นก็คือ GSXR 600 และ 750 ในปี 2008 หรือ k8
..
หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี Suzuki ก็เปลี่ยนไฟหน้ากลับมาเป็นรูปแบบคล้ายๆเดิม แต่เอาจริงๆผมว่าไฟหน้าแบบนี้ก็ยังอยู่ในใจของใครหลายๆคนที่ชอบ GSX-R ในยุคนั้น
ทางผู้เขียนเข้าใจว่า อาจจะมีข้อมูลหรือแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างที่ทําให้ Suzuki อยากจะนำรูปแบบไฟหน้าในยุคนั้นกลับมา และรถสปอร์ตไบค์ที่ โชคดีได้รับอิทธิพลจากรูปแบบการออกแบบในสมัยนั้นก็เป็น รถขนาด 250 ซีซี แถมยังขนานนามให้มันว่า Gixxer อีกด้วย แต่ต้องแปะรหัส SF เข้าไปอีกนิดนึง ซึ่งเป็นรหัสของ Suzuki ที่บ่งบอกว่า รุ่นนี้ไม่ใช่ Sport Replica จ๋านะ แต่เน้นการใช้งานแบบทั่วไป
มิติ ดีไซน์
มาดูในเรื่องดีไซน์กันบ้างจุดเด่นแรกอย่างที่บอกไปตอนต้นมันคือโคมไฟหน้า ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หน้าตาคล้ายๆ กับ GSX-R ในยุค K8 ประกบกับ แฟริ่งหน้าที่เรียวแหลม
อีกจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือ ชิวบังลมด้านหน้าที่สั้นและเตี้ยเอามากๆ แตกต่างจากรถสปอร์ตทั่วไป เอาจริงๆความสูงระดับนี้ เหมือนชิลด์หน้ารถ Naked เสียมากกว่า
ดีไซน์เรือนร่างโดยส่วนใหญ่เน้นความโค้งมน ดูโดยรวมๆแล้วสวยงามรับกันดีเกือบทุกจุด
handlebar ที่ให้มาเป็นแฮนด์จับโช๊คที่มีตัวยกขึ้นมา มีความสูงในระดับรถ Naked ทำให้ขี่สบาย
ถังน้ำมันขนาด 12 ลิตรที่มีความโค้งมนรับกับตัวถัง ที่ออกแบบมาให้หนีบถัง ได้ถนัด การขับขี่ไม่รู้สึกขัดแต่อย่างใด แค่อาจจะรู้สึกแปลกๆนิดนึงว่ารถสปอร์ตอะไรทำไมชิลด์มันเตี้ยจัง
มาดูด้านหลังบ้าง ตัวรถมาพร้อมกับท่อไอเสียทรงสามเหลี่ยมมีท่อคู่ ซึ่งถือว่ามีรูปลักษณ์สวยงาม จะหารถในระดับไม่เกิน 500 ซีซีที่มีท่อสวยขนาดนี้ก็มีอยู่ไม่กี่รุ่น
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่แทบจะไม่เคยเห็นในรถที่ขายอยู่ในประเทศไทยสิ่งนั้นคือ กันดีดที่ติดมากับสวิงอาร์ม และล้อแม็กแบบปัดเงาซึ่งไม่ค่อยมีในรถที่ขายในประเทศไทย โดยยางที่รัดกับล้อแม็ก ให้มาด้านหน้าขนาด 110 ส่วนด้านหลังขนาด 150 ซึ่งถือว่าใหญ่พอสมควรเหมือนกัน สำหรับรถในขนาด 250 cc
เมื่อทุกอย่างมาประกอบกัน หน้าตาออกมาละม้ายคล้าย GSX-R K8 ในสมัยนั้นอยู่เหมือนกัน โดยรวมในแง่ความสวยงามนั้นผมให้คะแนน 9 เต็ม 10 ไปเลยเมื่อผสานเข้ากับ สีน้ำเงินในรูปแบบของทีม Ecstar ทำให้ดูละม้ายคล้ายรถ GSX-RR ของแชมป์โลก MotoGP อย่าง Joan Mir อยู่นะเนี่ย
เครื่องยนต์
และอีกหนึ่งที่โคตรอินดี้และแตกต่างนั่นคือเครื่องยนต์ 250 cc สูบเดียว SOHC ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ ผสานกับ Oil Cooler ซึ่งไม่ค่อยเหมือนใครในตลาด Class นี้ที่มักจะใช้การระบายความร้อนด้วยน้ำ
เอาจริงๆในอดีตที่ผ่านมา Suzuki ก็ค่อนข้างขึ้นชื่อกับระบบระบายความร้อนด้วยออย และมักจะใช้เสมอมาในขณะที่คู่แข่งใช้การระบายความร้อนด้วยน้ำ ตัวอย่างก็เช่น รุ่น Inazuma 400
เบรกและช่วงล่าง
ช่วงล่างหน้าแบบ เทเลสโคปิค ที่ดูธรรมดาแต่ถือว่า set up มาได้ค่อนข้างแน่นและหนึบ
ระบบเบรคให้มากับ จานเดี่ยว ขนาด 300 มิลลิเมตรซึ่งถือว่าใหญ่ทีเดียวสำหรับรถพิกัดนี้ และมาพร้อมคาริเปอร์ Bybre แบบลูกสูบคู่ พร้อมระบบ ABS แบบ Dual Channel
การทำงานของระบบเบรกด้านหน้าถือว่าพอเพียง แต่การไล่น้ำหนักและแรงจับเบรกยังถือว่าอาจจะต้องได้รับการปรับปรุงอยู่บ้าง ถ้าจะเบรคให้อยู่ แบบกะทันหันอาจจะต้องใช้ 4 นิ้วในการกำเบรก
โช๊คด้านหลังเป็นแบบเดี่ยว สามารถปรับพรีโหลดได้ยึดติดอยู่กับสวิงอาร์มเหล็กกล่อง ที่หน้าตาธรรมดาธรรมดาไม่ได้ดูหวือหวา แต่ก็ได้ท่อใบเขื่องปัดเงาสวยงาม ช่วยบดบังอยู่
ในแง่การทำงานของโช๊คอัพด้านหลังถือว่าทาง Suzuki ทำมาได้เหมาะสมกับตัวรถเป็นอย่างดี น้ำหนักที่เซ็ตมา ให้ถือว่ากำลังดีกับการขับขี่ในแนว Sport แบบใช้งานทั่วไป ไม่แข็งจนกระด้างและไม่ย้วยจนเข้าโค้ง แล้วรู้สึกว่าไม่เกาะ
เมื่อช่วงหน้าหลังทำงานร่วมกันโดยรวมถือว่าน่าพอใจมาก ในยามเข้าโค้งตัวรถค่อนข้างเกาะและมีความรู้สึกว่ารถค่อนข้างจิกโค้งและแรงยึดเกาะในระหว่างโค้งค่อนข้างดี จะตินิดนึงก็ตรงเรื่องเบรก ที่ว่า ถ้า set up มา ให้แรงเบรกมากกว่านี้และไล่น้ำหนักเบรกได้ดีกว่านี้จะถือว่าระบบช่วงล่างของซูซูกิเข้าขั้นดีงามเลยทีเดียว
อุปกรณ์
มาดูอุปกรณ์ติดรถ จุดเด่นเลยคือไฟหน้า LED แบบ GSX-R K8 มาพร้อมกับแฟริ่งหน้าที่แหลมพร้อมจิกลมและวินชิลด์ที่เล็กสั้นสุดๆ
ในส่วนของ Cockpit การขับขี่ handlebar แบบ จับโช๊คยกขึ้นนิดนึงเหมือนรถสปอร์ตระดับ 250 ถึง 300 ซีซีทั่วไป
เรือนไมล์แบบดิจิตอล blacklight สีดำมีข้อมูลให้ครบครัน และยังมี shift light ติดตั้งให้ด้านบนด้วย
เบาะที่ให้มาดีไซน์แนวสปอร์ต เล่นระดับ 2 ชั้น ให้ความสวยงามในแง่รูปลักษณ์ แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความสะดวกสบาย ซึ่งมีให้ทั้งผู้ขับขี่และคนซ้อน จากที่ลองเดินทางไกลขับขี่ในระยะ 300 กิโลเมตรไม่รู้สึกว่าเมื่อยก้นแต่อย่างใด
ด้านท้ายสไตล์สปอร์ตแบบเรียวแหลม ยกสูง พร้อมไฟท้ายแบบ LED
บังโคลนหลังอันเขื่อง ให้มาพร้อมกับกันดีดอีก 1 ตัวยึดกับสวิงอาร์ม มั่นใจได้ว่าคนซ้อนไม่โดน โคลนดีดขึ้นมาแน่ๆ
สรีระศาสตร์และท่านั่ง
แม้ตัวรถที่ให้มาจะดูค่อนข้างเล็ก แต่ท่านั่งกลับออกมาได้สบายพอดี
พักเท้าที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ขาไม่งอมากนัก
ตัวเบาะเองก็สูงกำลังพอดี สำหรับคนที่มีความสูงประมาณ 170-175 ถือว่าเหมาะกับรถคันนี้มาก
ฟีลลิ่ง/การขับขี่
มาถึงเรื่อง Feeling ในการขับขี่รถคันนี้
แว๊บแรกที่สัมผัสรู้สึกว่าตัวรถให้ความกระชับ ท่านั่งออกแบบมาถือว่าดี อุปกรณ์ต่างๆอยู่ในจุดที่ค่อนข้างลงตัวทั้งหมด
ความรู้สึกในการเข็นหรือขับขี่ให้ความรู้สึกว่ารถค่อนข้างเบา ขับขี่ด้วยความเร็วสูงก็รู้สึกว่า รถไม่ได้ร่อนหรือปลิวตามลมแต่อย่างใด
ถึงแม้จะเป็นรถสปอร์ตแต่ต้องบอกว่า วินด์ชิลด์ที่ให้มานั้นค่อนข้างเตี้ยมากประหนึ่งรถ Naked แต่มันกลับทำหน้าที่ตัดลมได้ค่อนข้างดีถ้าเราโน้มตัว ลงมาหาถังเล็กน้อย ลมจะถูกยกขึ้นผ่านศีรษะไปไม่รู้สึกว่าต้านลมมากเหมือนรถ Naked ทำให้มันเดินทางไกลค่อนข้างสบายเลยทีเดียว เมื่อประสานกับท่านั่งและเบาะที่ค่อนข้างสบายรองรับการเป็นสปอร์ตทัวร์ริ่งหรือ การเป็นรถแนวรีครีเอชั่นได้อย่างดี
มาในส่วนของสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ให้มาอาจไม่ได้มีความจัดจ้านเหมือนเครื่องยนต์หม้อน้ำ อัตราการทดเกียร์ที่ให้มาไม่ชิดหรือไม่ห่างจนเกินไป ทำให้เป็นรถที่ไม่ได้เร่งจัดจ้านมากนัก แต่ก็ไม่ได้ไหลไปยาวๆ โดยรวมค่อนข้างชอบ ถือว่าลงตัวกับเครื่องยนต์
Top Speed ที่ผู้เขียนได้ลองบนถนนคือประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราการสิ้นเปลืองที่ทำได้บนย่านความเร็ว 120-130 คือ 30-32 กิโลเมตรต่อลิตรซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ชอบรถคันนี้นอกเหนือจากการขับขี่แบบสปอร์ตซึ่งทำได้ดีอยู่แล้วตามแบบของตัวรถ
ต้องบอกว่า การควบคุมของรถคันนี้ทำได้ค่อนข้างดี รวมไปถึงการส่งกำลังของเครื่องยนต์ที่นุ่มนวลเรียบเนียนตั้งแต่รอบต้น ทำให้รถคันนี้ง่ายต่อการควบคุมในเส้นทางที่แม้จะเป็นเส้นทางวิบาก เหมือนของรถ Naked
หรือนี่จะเป็นนิยามใหม่ของรถสปอร์ตที่สามารถนำไปใช้งานในแง่อื่นได้อีกด้วยตาม Concept ของรถคันนี้คือ Your Track Redefined คือนอกเหนือจากการใช้งานแบบรถสปอร์ตที่สามารถขับขี่ใน Track ได้แล้วยังสามารถเอาไปใช้ในแง่อื่นที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น
บทสรุป
โดยสรุปของรถคันนี้คือรถสปอร์ตที่มีความสวยงามสไตล์ GSX-R ในยุค 2008-2010 ให้สมรรถนะการควบคุมและการขับขี่อยู่ในระดับที่ถือว่าดี รวมถึงสามารถนำไปใช้งานในแง่มุมอื่นได้อีกหลากหลายมากมายกว่าคู่เปรียบในท้องตลาด
ข้อดี
+ GSX-R K8 กลับมาเกิดใหม่
+ รูปทรงสวยงามโฉบเฉี่ยว
+ การควบคุมและแรงยึดเกาะ
+ ช่วงล่าง
+ ใช้งานง่ายและหลากหลาย
+ ความสะดวกสบาย
+ ความมีเอกลักษณ์
+ อัตราการประหยัดน้ำมัน
+ การส่งกำลังของเครื่องยนต์
ข้อสังเกต
- เครื่องยนต์ค่อนข้างเสียงดังกว่าคู่เปรียบ
- การเข้าเกียร์ให้ความรู้สึกว่าแข็งไปนิด
- ระบบเบรกน่าจะ set up ได้ดีกว่านี้
- ถ้าชิลด์หน้าสูงกว่านี้อีกเล็กน้อยจะดีมาก
โฆษณา