28 ม.ค. 2022 เวลา 03:30 • ท่องเที่ยว
Lam Phun Trip - Day 1 (Part 1)
แนะนำตัว และทำความรู้จัก
เวลาประมาณ 9 โมงนิดๆ เราก็มาถึงสถานีรถไฟลำพูน ทั้งขบวนมีแค่เรากับพี่ผู้ชายอีกหนึ่งคนลงที่สถานีนี้
สถานีรถไฟลำพูน
สถานีรถไฟลำพูน มีความเรียบง่าย แตกต่างจากเมืองที่คนหนาแน่น อย่างเชียงใหม่ หรือลำปาง
ช่วงก่อนออกเดินทางประมาณ 3 วัน สถานการณ์โควิดก็เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น มีการยกระดับเฝ้าระวัง ทำให้เราไม่แน่ใจว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดคนที่จะเดินทางเข้าสู่จังหวัดลำพูนหรือไม่
หลังจากโทรสอบถามกับทางสถานีรถไฟลำพูนเอง ก็ได้ความว่า ยังสามารถเดินทางเข้ามาได้ทันที เพียงแต่สอบถามว่าได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้วหรือยัง
บรรยากาศสถานีรถไฟลำพูนช่วงสาย
เมื่อเดินผ่านจุดตรวจวัดอุณหภูมิแล้ว ก็ออกมาสู่ด้านหน้าสถานี ถือว่าเป็นสถานีที่เงียบมากจริงๆ ส่วนมากจะเป็นคนท้องถิ่นที่จะเดินทางเข้าออก ในวันที่ผมมานี้ แทบจะไม่พบนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเลย ตลอดทั้งวัน
ด้านหน้าสถานีรถไฟลำพูน
ด้านหน้าของสถานีไม่มีรถประจำทาง หรือรถเหมาไปยังที่พัก จึงต้องขอเหมารถพี่บอลที่ทำงานในสถานีเข้าเมือง ค่าเดินทางประมาณ 60 บาท มาถึงที่พักของเรา Easy Hotel 1
บรรยากาศภายในที่พัก
Easy Hotel ในลำพูนจะมีอยู่สองสาขา ตั้งอยู่บนถนนสาย 114 ซึ่งเริ่มที่ประตูท่าขาม โดยสาขา 1 จะอยู่ใกล้กับบริเวณตัวเมืองชั้นในมากๆ เดินประมาณ 5-10 นาที เหมาะกับคนที่ไม่มีรถ แต่ถ้าสาขา 2 จะไกลออกไปพอสมควร แต่จะอยู่ใกล้ตลาดจตุจักรลำพูน
เราได้เข้าเช็คอินตอนประมาณ 10 โมง เพราะห้องทำความสะอาดเสร็จพอดี เลยได้โอกาส อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อความสดชื่น
คุณพี่แม่บ้าน กับน้องหมาประจำที่พัก
ก่อนออกจากที่พัก เราก็เห็นพี่แม่บ้าน กำลังทำความสะอาดข้าวของบางอย่างอยู่ด้านหน้า พร้อมๆกับจับปู (หมา) ใส่กระด้ง เพราะเจ้าสองตัวนี้มันอยู่ไม่นิ่งเอาซะเลย
เราเลยขอถ่ายรูปน้อง และถามชื่อ แต่เราฟังภาษาพี่แม่บ้านไม่ค่อยชัด เลยไม่รู้เลยว่าน้องชื่ออะไร TT^TT
หล่อมั้ยกั๊บ
จุดหมายแรกของเรา ก็คือวัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งเส้นทางที่เราจะไปจะเป็นเส้นทาง ด้านหลังที่พัก
ระหว่างทางก็จะเป็นบ้านเรือนของชาวบ้าน และร้านค้าข้างทาง ส่วนมากจะเป็นร้านกระถาง และร้านขายผ้า
สะพานไม้ที่ไม่มีชื่อ
หลังจากเดินตัดที่จอดรถริมแม่น้ำกวง ก็จะพบกับสะพานไม้ ซึ่งบริเวณนี้เหมือนกำลังจะมีงานคล้ายๆกับงานขายสินค้าพื้นเมืองพอดี ทำให้มีของตกแต่งเต็มสะพาน
ขัวมุงท่าสิงห์
เดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ก็จะมาถึงขัวมุงท่าสิงห์ เป็นอีกสะพานนึง ที่สามารถข้ามไปฝั่งเกาะเมืองได้ มีลักษณะเป็นอาคารตรงกลางสะพาน ขายของพื้นเมืองเช่นเสื้อผ้า ผ้าย้อม ของที่ระลึก
ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย
ใกล้ๆกับขัวมุง จะมีร้านอาหารขึ้นชื่ออยู่หลายร้าน แต่ร้านแรกที่เราจะประเดิมวันนี้ คือก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย
ซึ่งมันดีงามมากกกกกกกกก หมูตุ๋นคือเปื่อยแบบละลาย น้ำซุปหอมหวาน และมีลำไยที่ให้ความรู้สึกแปลกไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน โดยรวมแล้วอร่อยสมชื่อ
ซุ้มประดูตั้งแต่สมัยโบราณ
หลังจากท้องอิ่ม เราก็เดินทางข้ามสะพานที่ขัวมุงท่าสิงห์ ก็จะพบกับวัดพระธาตุหริภุญชัย ศาสนสถานที่สำคัญของดินแดนแถวนี้ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 17 จนถึงตอนนี้ก็ร่วม 800 ปี
ด้านหน้าขององค์พระธาตุ จะมีซุ้มประตูเก่าแก่และสิงห์คู่ รายละเอียดของศิลปะสวยงามมาก สิงห์ด้านหน้าสร้างโดยพระเจ้าอาทิตยราช ซึ่งเป็นกษัตริย์ในอารยธรรมหริภุญชัยเมื่อ
ถัดเข้าไปที่องค์พระธาตุสวยงาม และสงบมากๆ ไม่พลุกพล่านเหมือนพระธาตุในจังหวัดใหญ่ๆอย่างเชียงใหม่ และลำปาง
องค์พระธาตุหริภุญชัย
ที่นี่จะให้บรรยากาศที่ไม่เหมือนวัดเสียทีเดียว แต่จะเหมือนเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในจังหวัดมากกว่า เพราะชาวบ้านที่นี่เข้ามาไหว้พระธาตุกันต่อเนื่อง ในส่วนของกำแพงชั้นใน จะมีรูปภาพ พร้อมประวัติขององค์พระธาตุ ทั้งในมุมศาสนา และในมุมประวัติศาสตร์การเมือง
สุวรรณเจดีย์
บริเวณรอบๆพระธาตุ จะมีอาคารอีกหลายหลัง ทั้งวิหารหลวง ที่สร้างขึ้นทดแทนวิหารองค์เก่าที่ทรุดโทรมไป ส่วนด้านหลังจะมีสุวรรณเจดีย์ อีกโบราณสถานที่มีอายุหลายร้อยปี โดยคาดว่าน่าจะสร้างหลังองค์พระธาตุ 4 ปี
องค์พระประธานในวิหารหลวง
หลังจากเดินรอบๆบริเวณวัด ก็พบสิ่งที่น่าสนใจหลากหลายอย่าง ทั้งศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตผู้คน
ออกจากวัดพระธาตุตอนประมาณบ่ายสองนิดๆ แต่ช่วงนี้แดดไม่แรง เลยยังมีแรงเดินต่อ ว่าแล้วก็เปิดแผนที่ ว่าไปที่ไหนต่อดีนะ
ด้วยความที่ช่วงเช้า พี่ที่ขับรถพาเราไปที่พัก ได้แนะนำไว้หลายอย่าง ทั้งวัดสันป่ายางหลวง วัดมหาวัน วัดจามเทวี
แต่ด้วยความที่วันนี้ยังไม่อยากออกไปนอกเกาะเมืองไกลนัก วันนี้เลยเลือกที่จะไปวัดมหาวัน และวัดจามเทวี แต่จะขอเอาไปไว้ใน Part 2 แล้วกัน
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้มากๆ ขอบคุณมากครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา