28 ม.ค. 2022 เวลา 11:52 • ไลฟ์สไตล์
Challenge ตัวเองตั้งแต่ต้นปี
ผ่านมา 2 ปีกับโรคระบาดของมวลมนุษยชาติ โควิด-19 ไม่ใช่แค่มีผลต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น แม้ทางเศรษฐกิจก้ได้รับผลกระทบไปด้วย หลายๆองค์กรต้องปรับตัวตามมาตรการของรัฐบาล ส่วนใหญ่ก็คือ การ work from home หรือทำงานจากที่บ้าน ประชุมก็ผ่าน Hangout หรือ Zoom ส่งเมลหากันหลีกเลี่ยงการพบปะกันชั่วคราว
เมื่อการระบาดครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อต้นปี 2563 ออฟฟิศที่ผมทำงานสั่งให้ WFH หลังจากกลับมาจากหยุดสางกรานต์ ตอนนั้น ยังไม่ได้คิดเรื่องการปรับปรุงพัฒนาตนเองเท่าไหร่ ทำได้แค่ลงคอร์สเรียนออนไลน์เล็กๆน้อยๆ ดูบ้างไม่ดูบ้าง ทำงานให้เสร็จไปวันวัน มีความรู้เพิ่มติดตัวมาเล็กน้อย เริ่มศึกษาการลงทุน เริ่มออกกำลังกาย และ re-skill ต่างๆไม่ว่าจะ Excel หรือ ภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้มุ่งมันเท่าที่ควร จนกลับไปทำงานออฟฟิศอีกรอบตอนกลางปี ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงให้น้องๆในออฟฟิศรู้สึกว้าว
พอการระบาดระลอกสอง มาอีก เมื่อต้นปี 2564 ก็ได้รับคำสั่งให้ WFH หลังจากกลับมาจากหยุดปีใหม่ ปีนั้นก็ตั้งใจจะ อัพสกิลตัวเองให้ดูดี พร้อมทั้งจะตั้งใจออกกำลังกาย แต่ก็ล้มเหลว เพราะ ขาดความมุ่งมั่น (อีกแล้ว) อ้อ ลืมบอกไป อย่างน้อยสิ่งที่ได้ทำเยอะๆ ช่วง WFH คืออ่านหนังสือ มาเจอหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า GRID เล่มนี้ตอบคำถามที่คาใจเราหมดเลยว่าทำไมเราไม่ประสบความสำเร็จเสียที นั่นคือ เพราะ เราไม่โฟกัสและทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดภาวะลื่นไหล คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก จะเป็นคนที่จดจ่อกับสิ่งที่ทำและเป้าหมาย เมื่อเรารู้จุดอ่อนของเราแล้ว เราทำอย่างไร ?
ในปี 2564 มีจุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งในชีวิตเรา คือ หัวหน้าย้ายตำแหน่ง แปลว่าเราจะมีหัวหน้าคนใหม่ เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผนกขึ้น ความรู้สึกเราตอนนั้นยากที่จะ move on มากๆ เพราะ เราทำงานกับหัวหน้าคนนี้จนสนิทระดับเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังได้ (ความสนิทไม่มีผลกับการประเมินผลงาน) เรารักหัวหน้าคนนี้มาก ในแผนกเราจะอายุมากที่สุด ความรู้สึกที่ต้องเปลี่ยนแปลงเลยหนักอึ้งกว่าน้องๆทุกคน เรียกว่ายังอยู่ในเซฟโซน เมือหัวหน้าเริ่มรับงานใหม่เข้ามา ที่เราเคยคุยกันก็ห่างๆกันมากขึ้น ไม่ได้คุยกันเหมือนก่อน มาช่วงปลายปีที่งานใหม่ของหัวหน้าเริ่มมากขึ้นยิ่งไม่ได้คุยกันเลย พอเราจิตตกงานก็ตกตามไปด้วย โดนประเมินผลสองเดือนหลังตัวแดงเต็มหน้ากระดาษ ตอนนั้นท้อใจมากคุยกับใครก็ไม่ได้ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง
จนสิ้นปี 2564 ได้ฟัง podcast ของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ 5 minutegoodtime เหมือนมาถูกที่ถูกเวลาปัดเมฆเห็นตะวันความคิดที่ฟุ้งซ่านพลันกระจ่าง มองเห็นภาพตัวเองในปีที่ผ่านมาช่างน่าอดสู จึงตั้งปณิธาณกับจนเองจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ (อีกครั้ง) ในปี 2565 คำถามต่อมาคือ จะเริ่มจากอะไรละ ? หันกลับมามองตัวเองอีกครั้งสิ่งที่ทำได้และน่าจะง่ายที่สุดคือการลดน้ำหนัก ณ เวลานั้น น้ำหนักตัวอยู่ที่ 85 กิโลกรัม อวบท้วนมาก แต่ด้วยที่เราเป็นคนที่ออกกำลังกายโดยการวิ่งอยู่แล้วเลยจะเริ่มจากการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก โดยมีภรรยาเป็นคนคอยเคียงข้างแอคชั่นไปด้วยกันเพราะภรรยาก็อยากลดน้ำหนัก
ถ้าจะนับจริงๆก็เริ่มตั้งเดือน พ.ย.64 แต่ยังไม่เห็นผลมาก เพราะ ใกล้ปีใหม่งานเลี้ยงจะเยอะ จัดเต็มตลอด แต่ก็ออกกำลังกายตลอด ก่อนหยุดยาวช่วงปีใหม่ ชั่งน้ำหนักไว้ที่ 80 ก.ก.
​กลับมาจากเที่ยวปีใหม่ยังไม่กล้าชั่งน้ำหนัก ยังทำใจเห็นตัวเลขบนหน้าปัดตราชั่งไม่ได้ เริ่มออกกำลังกายใหม่อีกครั้ง วิ่ง กระโดดเชือก สะบัดเชือก Pull up ทำทุกอย่างที่อุปกรณ์และสถานที่อำนวย เริ่มทำ New year resolution เรื่องการลดน้ำหนัก ตั้งเป้าไว้ที่ 75 ก.ก. วันหนึ่งได้ฟัง podcast เกี่ยวกับการ challenge ตัวเองเรื่องการทำ Plank เกิดแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ เลยตั้ง หัวข้อ challenge การออกกำลังกาย 4 ท่า คือ ดึงข้อ วิดพื้น แพลงก์ และ squat ใน 30 วัน ไม่นับวันพัก ระหว่างนี้มีวิ่งสลับกันไปด้วย พร้อมทั้งคุมอาหารและทำ IF
การที่เราตั้งใจจะทำอะไรก็เพราะมีเป้าหมาย อยากอายุมากด้วยหุ่นดีๆ อยากมีสุขภาพที่ดี และอยากให้หัวหน้าหันกลับมามองเราอีกครั้ง
ถามว่าท่าไหนยากที่สุด บอกลเยการทำแพลงก์ เราทำไล่ไปเรื่อยๆ จาก 1 นาที พัก แล้วทำต่อ 1.30 นาที พัก แล้วทำต่อ 2.00 นาที พักและทำเซทสุดท้าย คือ 2.30 นาที รวมแล้ว 7 นาที เซทสุดท้ายเมื่อจะหมดแรง จะเห็นหน้าหัวหน้าเราลอยมาเลย มาหัวเราะเยาะ เราเลยฮึดสู้ขึ้นมา จนครบ 2 นาทีครึ่ง
ณ ตอนนี้ผ่านไปครึ่งทางแล้ว เหลืออีกครึ่งหนึ่งหาก สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้จบ การที่เราเอาชนะตัวเองได้ในข้อนี้จะทำให้มีกำลังใจในการทำข้ออื่นๆด้วย เรื่องเกี่ยวกับตัวเราใจเรา หากเรายังไม่ชนะไม่สามารถควบคุมได้ เรื่องอื่นๆก็ยากที่จะควบคุม พบกันอีกครั้งเมื่อจบ Challenge
โฆษณา