30 ม.ค. 2022 เวลา 05:37 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
พายุลมกรดบนดาวอังคารเกิดจากการที่ลมค่อย ๆ กัดเซาะพื้นผิวหินแข็งที่เต็มไปด้วยสนิมของดาว ให้กลายฝุ่นละเอียด คล้ายแป้งฝุ่นสีชมพูอมแดงจากธาตุเฟอร์ริก อ็อกไซด์ (Ferric Oxide) ซึ่งง่ายต่อการถูกพัดฟุ้งขึ้นไปในชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร ก่อนที่ความร้อนจากดวงอาทิตย์เริ่มทำให้อุณหภูมิพื้นผิวบางส่วนสูงขึ้นและเกิดการไหลเวียนของอากาศร้อนไปยังพื้นที่ที่เย็นกว่า
ยานอวกาศบนวงโคจรของดาวอังคารและโรเวอร์ของนาซาก็ได้บันทึกภาพและวีดีโอของ “พายุลมกรด” ไว้อย่างมากมายตลอดการสำรวจดาวอังคารมากกว่า 50 ปี อย่างเช่นภาพถ่ายนี้ที่เผยให้เห็นถึงพายุลมกรดหลายลูกด้วยกัน ซึ่งบางครั้งพายุลมกรดเหล่านี้ก็ได้เคลื่อนตัวผ่านแผงโซลาร์เซลล์บนยานอวกาศและช่วยปัดฝุ่นออกไป เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโรเวอร์รุ่นเก่าอย่าง สปิริต (Spirit) และออพพอร์ทูนิตี้ (Opportunity) โดยที่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่โรเวอร์แต่อย่างใดในขณะนั้น
โดยพายุลมกรดบนดาวอังคารนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ง่าย เนื่องจากชั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้นเบาบางและแห้งแล้งเกินกว่าจะรักษาอุณหภูมิให้คงที่ไว้ได้ ทำให้อุณหภูมิบนดาวมีความผันผวนสูงระหว่างกลางวันกับกลางคืนราว 40 องศาเซลเซียส ซึ่งความต่างของมวลอากาศทั้งสองนี้เองจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดพายุ ‘พายุลมกรด’ (Dust Devil) ได้ง่าย อีกทั้งเมื่อดวงอาทิตย์ยิ่งขึ้นสูงมากขึ้นในช่วงเที่ยงวัน ฝุ่นก็จะดูดซับความร้อนมามากขึ้น ทำให้พายุลมกรดหมุนเร็วขึ้นและอยู่ได้นาน
แต่ถึงแม้ว่าพายุลมกรด จะช่วยปัดฝุ่นให้ยานสำรวจบนดาวอังคารได้เป็นอย่างดี พายุลมกรดก็อาจขยายขนาดจนเป็นอันตรายได้ ซึ่งพายุลมกรดที่ใหญ่ที่สุดที่มีการบันทึกไว้บนดาวอังคารมีขนาดสูงยิ่งกว่ายอดเขาเอเวอร์เรสต์กว่า 8-10 กิโลเมตร ทำให้พายุทอร์นาโดบนโลกกลายเป็นเด็กน้อยไปซะอย่างนั้น และถ้าหากสภาพอากาศบนดาวอังคารเป็นใจพายุลมกรดนี้ก็สามารถกลายร่างเป็นพายุฝุ่นขนาดยักษ์ พร้อมที่จะกลืนกินดาวไปทั้งดวงได้ ดังนั้นภารกิจส่งยานและมนุษย์ไปดาวอังคารต่างก็ต้องคำนึงถึงเรื่อง ‘ฝุ่น’ ที่ต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็เป็นหนึ่งสาเหตุที๋โรเวอร์รุ่นใหม่ ๆ มีการสับเปลี่ยนไปใช้พลังงานนิวเคลียร์แทนที่จะเป็นแผงโซลาร์เซลล์แล้ว
โฆษณา