30 ม.ค. 2022 เวลา 09:05 • กีฬา
เรื่องใหญ่ที่สุดใน NBA ตอนนี้ คือการติดทีมออลสตาร์ในตำแหน่งตัวจริงของแอนดรูว์ วิกกินส์ ผู้เล่นจากโกลเด้นสเตต วอร์ริเออร์ส โดยมีแบมแบม ศิลปินชาวไทย จากวง GOT7 เข้าไปมีบทบาทด้วย เพื่อประเด็นที่ครอบคลุม เราจะไปลำดับเรื่องทีละสเต็ปด้วยกัน ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างนะครับ
1
ตามธรรมเนียมของ NBA เมื่อฤดูกาลปกติแข่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ลีกก็จะหยุดชั่วคราว เพื่อจัดแข่ง NBA All-Star Game นี่เป็นหนึ่งในกิจกรรม ที่แฟนๆ บาสสหรัฐฯ ชอบมากที่สุด
จุดเริ่มต้นของเกมออลสตาร์เกิดขึ้นในปี 1951 ณ เวลานั้นภาพลักษณ์ของวงการบาสสหรัฐฯ ตกต่ำมาก เพราะมีการล้มบาสในเกมระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งมันก็ส่งผลมาถึงลีกอาชีพอย่าง NBA ด้วย
เพราะแฟนกีฬามีความศรัทธากับบาสเกตบอลน้อยลง คือถ้าคุณจะมีนอกมีในแบบนี้ สู้ไปดูเบสบอล หรือ อเมริกันฟุตบอลไม่ดีกว่าหรือ
6
ค่าเฉลี่ยของแฟนๆ ที่เข้ามาชม NBA แต่ละเกม ร่วงลงเหลือแค่ 3,500 คนเท่านั้น ดังนั้นองค์กรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นให้แฟนๆ กลับมาในสนามอีกครั้ง
และนั่นทำให้พวกเขาปิ๊งไอเดียเกมออลสตาร์ขึ้น โดย NBA จะจัดเกมกระชับมิตร โดยดึงเอาผู้เล่นที่ดีที่สุดของแต่ละทีมในสายตะวันตก มาซัดกับ ผู้เล่นที่ดีที่สุดของสายตะวันออก
ปรากฏว่าไอเดียนี้เวิร์ก ในเกมออลสตาร์ครั้งแรกจัดที่บอสตัน มีคนเข้ามาดู 10,094 คน มากกว่าค่าเฉลี่ยของฤดูกาลปกติถึง 3 เท่า
นับจากนั้นเป็นต้นมา เกมออลสตาร์จึงอยู่เคียงคู่ NBA มาตลอด มันเป็นช่วงที่แฟนๆ รอคอย เพราะจะได้เห็นผู้เล่นจากทีมคู่อริ จับมาอยู่ทีมเดียวกัน แล้วลงสู้กับคู่แข่ง ราวกับเล่นเกมเพลย์สเตชั่นไม่มีผิด
เช่นเดียวกับตัวนักกีฬา ก็อยากติดทีมด้วยเช่นกัน เพราะมันแปลว่า คุณถูกยอมรับว่าเป็นผู้เล่นระดับท็อปของลีก นอกจากนั้นถ้าได้ติดออลสตาร์ ยังสามารถเป็นเงื่อนไขไปต่อรองรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจากต้นสังกัดได้ด้วย
1
แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ นักกีฬาทุกคนย่อมอยากติดทีมออลสตาร์ แล้วคุณจะใช้วิธีไหนเป็นการเลือกล่ะ ว่าใครที่คู่ควรกับการติดทีมกันแน่
1
ในมุมของ NBA นั้น พวกเขามองว่าเกมออลสตาร์ เป็นเกมที่ทำเพื่อแฟนๆ โดยตรงอยู่แล้ว อย่าลืมว่าจุดเริ่มต้นแรกสุดของมัน คือ "เรียกความนิยมของลีกจากแฟนๆ"
1
ดังนั้นนับจากปี 1974 ถึง 2016 การเลือก 5 ตัวจริงของแต่ละฝั่งจะใช้วิธีการโหวตจากแฟนๆ 100% แฟนโหวตใครมากที่สุด คนนั้นก็ได้เป็นตัวจริงในเกมออลสตาร์ กฎมันง่ายๆ แค่นั้น และวิธีการนี้ก็ถูกใช้มา 4 ทศวรรษ
แต่แน่นอน การโหวต 100% เริ่มถูกตั้งคำถาม เพราะแบบนี้คนที่มีแฟนคลับเยอะก็ได้เปรียบสิ ถ้าเป็นนักกีฬาทีมเล็กๆ ต่อให้เล่นดีแทบตาย ไม่มีคนโหวต ก็ไม่ติดทีมอยู่ดี ดังนั้นในปี 2017 NBA ก็เลยเปลี่ยนระบบการโหวต เป็นแฟนๆ 50% นักบาสโหวตกันเอง 25% และ นักข่าว 25%
1
การเปลี่ยนเป็น 50% + 25% + 25% เป็นการแบ่งสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะแบบนี้ต่อให้คุณมีฐานเสียงแฟนๆ แน่นปึ้กขนาดไหน แต่ถ้าฟอร์มไม่ดีจริง คุณก็จะไม่ได้คะแนนจาก 25% + 25% ที่เหลืออยู่ดี
1
มีคำถามว่าทำไมเกมออลสตาร์ ไม่ใช้กฎเดียวกับบัลลงดอร์ของฟรองซ์ ฟุตบอลเลยล่ะ ให้นักข่าวโหวต 100% ไปเลย คำตอบคือ เพราะมันคนละจุดประสงค์กัน เกมออลสตาร์ก่อตั้งขึ้น "เพื่อแฟนๆ" ตั้งแต่แรก เป็นกิจกรรมที่ทำให้แฟนๆ รู้สึกว่ามีอำนาจในการเลือกได้
และที่สำคัญ NBA คือองค์กรธุรกิจ ที่มีเป้าหมายคือขยายฐานแฟนๆ ออกไปทั่วโลก ดังนั้นก็ต้องสร้างกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับแฟนบาสอยู่แล้ว แปลว่า 50% จากการโหวตของแฟนๆ จึงเป็นสิ่งที่ตัดทิ้งไม่ได้
โดยการโหวตออลสตาร์ของ NBA จะทำได้หลายช่องทาง ทั้งจากแอพพลิเคชั่นของ NBA, โหวตผ่านหน้าเว็บไซต์ รวมถึงโหวตผ่านการรีทวีต ที่ติดแฮชแท็ก #ชื่อนามสกุลนักบาส บวกคำว่า #NBAAllStar
1
มีคนตั้งข้อสงสัยว่า นับคะแนนจากรีทวีตแบบนี้ก็ปั่นกันได้สิ คำตอบคือก็ใช่ ปั่นได้ มีหรือที่ NBA จะไม่รู้
แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่พวกเขาต้องการเลย NBA ต้องการ Eyeball ยิ่งมีคนเห็นแฮชแท็ก #NBAAllStar มากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น จะได้อยู่ในกระแสตลอดเวลา
---------------------------
การโหวตผู้เล่นของเกมออลสตาร์ปี 2022 ก็ใช้ระบบ 50% + 25% + 25% เหมือนเดิม โดยผู้เล่นแต่ละฝั่งจำนวน 5 คน จะแบ่งออกเป็น Front Court (เซ็นเตอร์+ฟอร์เวิร์ด) จำนวน 3 คน และ Back Court (การ์ด) จำนวน 2 คน
2
โดย Front Court กับ Back Court จะโหวตแยกกัน คือถ้าไม่โหวตแยกกันแบบนี้ สมมุติแฟนๆ โหวตผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์มา 5 คนเลย แล้วเกมจะไปสนุกได้ยังไง ดังนั้นในทีมต้องมีส่วนผสมของ ผู้เล่นตัวใหญ่ ตัวเล็ก ปนๆ กัน มันจะได้สมกับเป็นเกมบาสจริงๆ
ดราม่าของเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อการโหวตทุกอย่างจบลงเรียบร้อย ผลสรุปออกมาดังนี้
1
สายตะวันออก
Back Court - เทร ยัง (แอตแลนต้า ฮอว์กส)
Back Court - เดมาร์ เดโรซาน (ชิคาโก้ บูลส์)
Front Court - เควิน ดูแรนต์ (บรูคลิน เน็ตส์)
Front Court - ยานนิส อันเตโตคุมโป้ (มิลวอกี้ บัคส์)
Front Court - โจเอล เอ็มบี้ด (ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส)
5 คนนี้ ของสายตะวันออกก็ไม่ได้มีอะไรพลิกโผ น่าจะมาทรงนี้อยู่แล้ว แต่ประเด็นจะไปอยู่ที่สายตะวันตกมากกว่า ที่ประกอบไปด้วย
Back Court - สเตฟ เคอร์รี่ (โกลเด้นสเตต วอร์ริเออร์ส)
Back Court - จา มอแรนต์ (เมมฟิฟ กรีซลีย์)
Front Court - แอนดรูว์ วิกกินส์ (โกลเด้นสเตต วอร์ริเออร์ส)
Front Court - เลอบรอน เจมส์ (แอลเอ เลเกอร์ส)
Front Court - นิโคล่า โยคิช (เดนเวอร์ นักเกตส์)
1
โดยประเด็นที่คนพูดถึงมากที่สุดคือ "แอนดรูว์ วิกกินส์" ที่ติดทีมออลสตาร์เป็นครั้งแรกในชีวิต ว่าตัวเลือกนี้ "มาไกลขนาดนี้ได้ยังไง"
1
วิกกินส์ ในอดีตคือดราฟต์เบอร์ 1 Overall ของปี 2014 เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ไม่เคยเล่นได้สมกับความคาดหวัง มาในปีนี้ เขายกระดับขึ้น ทำแต้มเฉลี่ย 18.1 แต้มต่อเกม และยิงสามแต้มเฉลี่ยได้ถึง 41.2% แถมช่วยโกลเด้นสเตต วอร์ริเออร์ส อยู่อันดับ 2 ของสายตะวันตก ณ เวลานี้
2
คือถ้ากางผลงานดู ก็จะเห็นว่าใช้ได้ ไม่ได้แย่ แต่ถ้าเจาะลึกลงไปจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า มีคนที่เล่นดีกว่าเขาหลายคนในโซน Front Court
อย่างเช่น รูดี้ โกแบร์ ของยูท่าห์ แจ๊ซซ์ หรือแม้แต่เพื่อนร่วมทีม เดรย์มอนด์ กรีน ก็ยังดูดีกว่า
SF Gate สำนักข่าวของซาน ฟรานซิสโก ที่เชียร์ทีมวอร์ริเออร์สสุดๆ ก็ยังยอมรับว่า "He should be an All-Star ... just not a starter" (เขาควรติดทีมออลสตาร์ แต่ไม่ใช่ในฐานะ 5 ตัวจริง) กล่าวคือในเกมออลสตาร์แต่ละทีมจะมีสำรองอยู่ 9 คน ในมุมของสื่อคิดว่า วิกกินส์ดีพอที่จะอยู่ใน Roster แต่ไม่ได้ดีขนาดจะมาเป็นตัวจริงได้
ดราม่าชัดเจนขึ้น เมื่อมีการเปิดเผยคะแนนของ Front Court สายตะวันตกออกมา ผลปรากฏว่าอันดับ 1 เลอบรอน เจมส์ และ อันดับ 2 นิโกล่า โยคิช คะแนนลอยลำอยู่แล้วไม่มีดราม่าอะไร ส่วนอันดับ 3 คือวิกกินส์ โดยเขาได้รับคะแนนดังนี้
1
25% คะแนนโหวตจากผู้เล่นด้วยกัน - อันดับ 5
25% คะแนนโหวตจากสื่อมวลชน - อันดับ 6
50% คะแนนโหวตจากแฟนๆ - อันดับ 3
1
ขณะที่คู่แข่งอย่างรูดี้ โกแบร์ ได้จากผู้เล่นด้วยกัน อันดับ 4, จากสื่อมวลชน อันดับ 3 และ จากแฟนๆ อันดับ 9
2
หรือเดรย์มอนด์ กรีน ได้จากผู้เล่นด้วยกัน อันดับ 3, จากสื่อมวลชน อันดับ 4 และ จากแฟนๆ อันดับ 6
อย่างที่เราเห็นคือ ถ้านับคะแนนเฉพาะผู้เล่นด้วยกันเอง + สื่อมวลชน น่าจะเป็นโกแบร์ หรือ กรีน ที่ขับเคี่ยวกัน แต่พอเอา 50% ของแฟนโหวตไปรวมด้วย ทำให้คนที่คว้าโควต้าที่นั่งสุดท้าย จึงพลิกมาเป็นวิกกินส์อย่างที่เราเห็น
ถามว่าวิกกินส์เป็นผู้เล่นแม่เหล็กไหม? ก็ไม่ขนาดนั้น เขาไม่ได้มีฐานแฟนเยอะอะไร วิกกินส์ไม่ใช่คนอเมริกันด้วยซ้ำ (เป็นแคเนเดี้ยน) แล้วทำไมเขาได้รับคะแนนโหวตจากแฟนๆ ถล่มทลายขนาดนี้
1
และคำตอบก็จะมาเกี่ยวโยงกับศิลปินที่ชาวไทยรู้จักกันดี นั่นคือ แบมแบม - กันต์พิมุกต์ ภูวกุล นั่นเอง
1
---------------------------
แบมแบม เป็นศิลปิน K-Pop ที่โด่งดังระดับนานาชาติ เขามีคนตามในอินสตาแกรมมากกว่า 15 ล้าน ในทวิตเตอร์มากกว่า 9 ล้าน ด้วยคนติดตามมากขนาดนี้ การกระทำแต่ละครั้ง ย่อมมีอิมแพ็กต์ในวงกว้างเสมอ
1
ต้นเดือนมกราคมปีนี้ แบมแบมได้โพสต์รูปในอินสตาแกรม และในทวิตเตอร์ สวมเสื้อโกลเด้นสเตต วอร์ริเออร์ส และประกาศว่า เขาได้เป็น Global Ambassador ของแฟรนไชส์
2
เมื่อแบมแบมทวีตปั๊บ สเตฟ เคอร์รี่ ก็ตอบกลับว่า "ขอบคุณนะ แบมแบม! ยินดีต้อนรับสู่ #Dubnation"
1
ทางโกลเด้นสเตต ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนกับสื่อ ว่าหน้าที่ของแบมแบมคือต้องทำอะไรกันแน่ แต่ก็คาดเดากันว่า แค่แบมแบมพูดถึงทีมบ่อยๆ แล้วสร้าง engagement ในโลกออนไลน์ ก็น่าจะโอเคแล้ว
2
ช่วงที่แบมแบมเปิดตัว เป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการรวบรวมคะแนนโหวตของออลสตาร์พอดี (25 ธันวาคม 2021 ถึง 22 มกราคม 2022) ซึ่งทวีตแรก หลังจากประกาศเป็น Brand Ambassador แบมแบมได้ลงรูปแอนดรูว์ วิกกินส์ โดยเขียนข้อความส่วนหนึ่งว่า
"เขาคือหนึ่งในสุดยอด 2-way players! วิกส์สมควรติดทีมออลสตาร์ โหวตให้แอนดรูว์ วิกกินส์ อยู่ในเกมออลสตาร์ปี 2022 กันเถอะ" พร้อมทั้งติดแฮชแท็ก #AndrewWiggins #NBAAllStar
2
(Note : 2-way player หมายถึงผู้เล่นที่สมดุล บุกก็ดี รับก็ได้)
เท่านั้นแหละ ทันทีที่แบมแบมทวีตออกไป มีคนกดไลค์รัวๆ และรีทวีตมากกว่า 3 หมื่นครั้ง เป็นการเพิ่มคะแนนให้วิกกินส์อย่างมหาศาลมาก ยังไม่นับว่าจะมีแฟนคลับคนไหนอยากช่วยให้ความต้องการของแบมแบมเป็นจริง แล้วไปไล่กดโหวตในแอพ NBA และ เว็บ NBA อีกนะ
คือโอเคว่าอีกหลายวันต่อมา แบมแบมก็ทวีตถึงผู้เล่นคนอื่นในทีมโกลเด้นสเตตเช่นกัน ทั้งเดรย์มอนด์ กรีน, เคลย์ ธอมป์สัน และ สเตฟ เคอร์รี่ แต่ด้วยความที่เป็นคนแรกที่ถูกทวีต ทำให้คะแนนของวิกกินส์ ถูกสั่งสมเอาไว้ก่อนคนอื่นหลายวันแล้ว
1
Timeline การทวีตหลังจากเปิดตัวเป็น Brand Ambassador ของแบมแบมมีดังนี้
แบมแบมทวีตถึงวิกกินส์ : 8 มกราคม
 
แบมแบมทวีตถึงกรีน : 14 มกราคม
1
แบมแบมทวีตถึงเคลย์ : 20 มกราคม
แบมแบมทวีตถึงเคอร์รี่ : 20 มกราคม
พูดถึงก่อน ก็มี gap ที่สั่งสมคะแนนได้มากกว่า โดยมีการเปิดเผยว่า ในทวีตที่แบมแบมพูดถึงวิกกินส์นั้น เป็นทวีตที่มีคนติดแฮชแท็ก #NBAAllStar มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของการโหวตครั้งนี้ (37K รีทวีต)
2
สุดท้ายเมื่อถึงเดดไลน์ วันที่ 22 มกราคม คณะกรรมการปิดรับการโหวต และรวมคะแนนออกมา วิกกินส์ได้คะแนนโหวตไปมหาศาลถึง 3.4 ล้านโหวต มากกว่าอันดับ 4 พอล จอร์จ อยู่ราวๆ 6 แสนคะแนน คว้าสล็อตสุดท้ายของ Front Court ไปครอง
1
เมื่อรู้ผลว่าตัวเองติดทีมออลสตาร์ วิกกินส์กล่าวว่า "มันทำให้ใจผมสั่นเลย ตอนนั้นผมกำลังนอนพักก่อนเกมจะแข่ง จากนั้นแฟนของผมกับลูกสาวก็มาปลุกแล้วบอกว่า พ่อได้เป็นตัวจริง! พ่อได้เป็นตัวจริง! ผมคิดว่าตัวเองกำลังฝันไปเสียอีก"
1
วิกกินส์ เป็นผู้เล่นชาวแคนาดา คนที่ 3 ที่ติดทีมออลสตาร์ NBA ต่อจากจามาล แม็คกลอร์ และ สตีฟ แนช นี่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งทีเดียว
1
แต่แน่นอน เรื่องนี้ย่อมนำมาสู่การ Debate เพราะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า การซัพพอร์ทของแบมแบม ที่ทวีตถึงวิกกินส์ ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม จะมีผลโดยตรงต่อคะแนนโหวตครั้งนี้
พูดตรงๆเลย ถ้าไม่มีทวีตนั้น วิกกินส์ไม่มีทางติด 1 ใน 3 แน่นอน อาจจะจบอันดับ 5-6 แถวๆนี้ แต่อันดับ 3 ไปไม่ถึงหรอก
2
ตั้งแต่เล่น NBA มา วิกกินส์ ไม่เคยได้คะแนนโหวตถึง 1 ล้านคะแนนมาก่อน แต่ปีนี้ได้รับไป 3.4 ล้าน มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากจริงๆ
อเล็ก สตวร์ม นักข่าวจากเน็ตส์เดลีย์ ทวีตว่า "วิกกินส์เป็นตัวจริงทีมออลสตาร์? แกต้องล้อฉันเล่นแน่ๆ"
บางคนก็กังวลกันว่า แบบนี้ถ้าแต่ละทีมใช้กลยุทธ์ K-Pop ไปจับเอาศิลปินคนนี้ คนนั้น มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์บ้างล่ะ คะแนนโหวตมันจะไม่มั่วเละเทะหรอกหรือ ก็มีการถกเถียงกันไป
เอาล่ะครับ ทีนี้ถ้าถามผมว่า มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร การใช้ศิลปินช่วยโหวตถูกต้องไหม วิกกินส์สมควรจะติดทีมออลสตาร์ด้วยวิธีนี้หรือเปล่า?
คำตอบของผม ก็รู้สึกตรงกับสื่อแทบทุกหัวในสหรัฐฯ คือ ไม่เห็นว่ามันจะดราม่าตรงไหน
2
เราต้องอย่าลืมว่าจุดเริ่มต้นของเกมออลสตาร์ คือ "NBA ต้องการเรียกความนิยมจากแฟนๆ" และมันเป็นแบบนั้นมาตลอด นี่ไม่ใช่การคัดเลือกหาผู้เล่น MVP ของลีก ที่ต้องไปนั่งดู stat ดังนั้นมันจึงใช้วิธีการคนละอย่างกัน
เมื่อก่อน NBA ใช้การโหวต 100% จากแฟนๆ ด้วยซ้ำ อันนี้เพื่อลดข้อครหาก็เลยลดลงมาเหลือ 50% แต่ก็ยังถือเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดอยู่ดี
1
ดังนั้นถ้าทีมไหน อยากปั้นให้ผู้เล่นตัวเองติดออลสตาร์ ก็ต้องหาวิธีการ ที่จะเรียกเสียงโหวตจากแฟนๆ ให้ได้มากที่สุด
และกลยุทธ์ของโกลเด้นสเตต ก็คือการจับมือร่วมงานกับแบมแบม ซึ่งนี่เป็นไอเดียที่ฉีกมาก เพราะในขณะที่ทีมอื่นมองไม่เห็นมูลค่าทางการตลาดของศิลปิน K-Pop แต่โกลเด้นสเตตอ่านขาด และรู้ว่าการจับมือกับแบมแบม เป็น Win-Win Situation
34
แบมแบม ก็จะเป็นที่รู้จักของสายกีฬามากขึ้น อาจสร้างฐานความนิยมในอเมริกาโดยเฉพาะในเขต Bay Area ส่วนโกลเด้นสเตตก็สามารถเปิดตลาดใหม่ๆ และใช้ชื่อเสียงของแบมแบมในการสร้างกระแสบนโลกออนไลน์
1
การที่พลังโหวตจากแฟนๆ ของแบมแบม ส่งให้วิกกินส์ติดออลสตาร์ได้ ก็พอทำให้เห็นแล้วว่ากลยุทธ์ของโกลเด้นสเตตนั้นถูกต้อง ในเมื่อคะแนน 50% มาจากการโหวตของแฟนๆ สิ่งที่โกลเด้นสเตตทำ ก็คือไปหาใครที่จะสร้างคะแนนโหวตได้ ก็แค่นั้นเอง
1
การที่วิกกินส์ได้คะแนนโหวตจนพลิกชนะ ผมคิดว่าฝั่ง NBA น่าจะแฮปปี้ด้วยซ้ำ เพราะมันสื่อให้เห็นว่า พลังโหวตจากแฟนๆ สามารถเปลี่ยนเกมได้จริงๆ
1
ส่วนวิกกินส์เป็นชอยส์ที่เหมาะสมไหม ถ้าดูจาก stat ผมว่าก็คงไม่ถึงขั้นเป็น 3 ตัวจริงของ Front Court ได้ และไม่ได้แปลกใจด้วยที่มีแฟนๆ บ่นกัน
แต่ในเมื่อระบบการโหวตมันเป็นแบบนี้ และทุกอย่างมันมาตามกติกา ก็ต้องยอมรับกัน
คือถ้ามีแฟนบาสไม่พอใจหนักๆ จนรับไม่ได้ อนาคต NBA ก็เปลี่ยนสเกลลงมา ให้คะแนนโหวตจากแฟนๆ ลดต่ำน้อยกว่า 50% เองนั่นล่ะ แต่เชื่อว่า ไม่มีทางหรอก ยิ่งคนปั่นเยอะ ยิ่งมีดราม่า NBA ยิ่งชอบ
แล้วจริงๆ วิกกินส์ก็ไม่ได้เล่นแย่ขนาดนั้น ผู้เล่นด้วยกันโหวตเขาเป็นอันดับ 5 และ นักข่าวโหวตเป็นอันดับ 6 คือมันก็อยู่ในวิสัยที่รับได้ คือถ้าคะแนนสองสาขานี้ต่ำเกินไป ต่อให้แฟนๆ ระดมโหวตแค่ไหน มันก็ไม่ช่วยอยู่ดี
ดังนั้นการที่ทวีตของแบมแบมทำให้เกมพลิก ผมมองว่ามันก็น่าสนใจดี ที่ได้เห็นโกลเด้นสเตตสร้างกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ เพราะเมื่อกติกามันเป็นแบบนี้ ก็ต้องหาทางชนะในกติกาที่กำหนดไว้แค่นั้นเอง
และบางทีในปีหน้า เราอาจจะได้เห็นทีมอื่นๆ ทำตามกลยุทธ์แบบนี้บ้าง ไปจับมือกับศิลปินเอเชียเพื่อสร้างคะแนนโหวตมาสู้กัน ซึ่งในมุมของ NBA ยิ่งสู้กันเยอะๆ ยิ่งดี มีคนพูดถึงบ่อยเท่าไหร่ NBA ยิ่งรวยเท่านั้น
1
บทสรุปของเรื่องนี้ ผมขอหยิบมาจากนิวยอร์ก โพสต์ ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ได้อย่างตรงไปตรงมาดี เขาบอกว่า
Don’t underestimate the power of a K-Pop star
4
อย่าได้ประเมินพลังของศิลปิน K-Pop ต่ำเกินไปเชียว
โฆษณา