1 ก.พ. 2022 เวลา 04:35
ทุกวันนี้ เรามัวแต่คิดอยู่เสมอว่า “ถ้าฉันทำ…….”
แล้ว…… (ใครสักคนที่คุณรู้จัก) จะคิดยังไงกับฉันนะ?
.
ซึ่งแน่นอนพฤติกรรมแบบนี้ มันทำให้ตัวเราเองมีแต่ความกังวล มีแต่ความทุกข์ไร้ซึ่งความสุข ดังนั้นเราควรที่จะเลิกกังวลได้แล้วว่า “คนอื่นจะคิดยังไงกับเรา”
.
.
แน่นอนว่าอยู่ดีๆจะมาบอกให้เลิกกังวล มันก็คงจะเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก เพราะฉะนั้นผมอยากจะชวนให้คุณ ลองคิดตามสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้ดูครับ
.
ลองหลับตาดู แล้วคิดไปถึงเรื่องราวตอนเด็กๆดูครับ
ว่ามีเรื่องไหนในอดีตบ้างที่เป็นเรื่องน่าอายที่สุดสำหรับคุณ
.
โอเค นึกออกแล้วใช่มั้ยครับ ต่อมาลองหลับตาอีกครั้ง
แล้วนึกถึงเรื่องที่น่าอายที่สุดของเพื่อนคุณตอนเด็กๆดู
.
นึกออกมั้ย นึกออกหรือยัง หรือว่านึกไม่ได้เลย!
ผมเชื่อว่าตอนที่ผมบอกให้นึกถึงเรื่องที่น่าอายที่สุดของเพื่อนคุณเองตอนเด็กๆ คุณคงจะนั่งนึกอยู่นานว่ามันมีเรื่องอะไรบ้าง หรือในหัวคุณก็อาจจะโล่งๆ ว่างเปล่าเลย
.
ซึ่งสิ่งนี้ คือหลักการทำงานของสมองเราครับ
สมองจะจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง มากกว่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นกับคนอื่น ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลย ที่พอผมบอกให้นึกเรื่องที่น่าอายของเพื่อนตอนเด็กๆ แต่คุณดันนึกไม่ออก
.
แต่สิ่งที่น่าแปลกคืออะไรรู้มั้ยครับ คนเรามักจะคิดว่า
คนอื่นจะจดจำเรื่องที่น่าอายของเราได้แม่น
.
ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย กลับกันเขาจำเรื่องเราไม่ได้หรอก หากเราไม่ไปกระตุ้นให้เขาคิดขึ้นได้ เขาก็แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่า คุณเคยทำเรื่องน่าอายอะไรบ้าง
สิ่งนี้มันก็เหมือนกันกับเรานั้นแหละ ถ้าผมไม่ได้บอกให้คุณนึกเรื่องน่าอายของเพื่อน คุณก็แทบจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะในแต่ละวันคุณก็มัวแต่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ว่าเวลานี้ฉันจะต้องทำอะไร
มีประชุมวันไหน ต้องทำงานที่ค้างอยู่เมื่อไร
.
คุณคิดถึงแต่เรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง หากไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณ คุณแทบจะลืมไปสนิทเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นกับคนอื่นก็เหมือนกัน โปรดจงจำไว้ว่า
.
“คนอื่นก็มัวคิดถึงแต่เรื่องของตนเองเหมือนกันนั้นแหละ”
.
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้รับเลือกจากโรงเรียน ให้ขึ้นไปพูดบนเวทีในช่วงงานคริสมาสต์ของโรงเรียน
.
ซึ่งโรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนคริสเตียน ดังนั้น
วันคริสมาสต์ที่ถูกจัดขึ้น จะเป็นวันที่สำคัญมากของโรงเรียน และก็จะมีผู้ปกครองของเด็กๆ รวมถึงศิษย์เก่าๆที่จบไป กลับมาเยี่ยมโรงเรียนในช่วงวันนี้
.
ตัดภาพกลับมาที่ผม อย่างที่บอก ผมได้รับเลือกขึ้นพูดบนเวที แต่ว่าในตอนนั้นผมเองยังเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก เรียกได้ว่าแค่ออกไปพูดหน้าชั้นเรียน ไม่หัวใจวายก็บุญแล้ว และนี่ผมต้องขึ้นไปพูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมากๆ มันยิ่งทำให้ประหม่า และกังวล
.
กลัวว่า “ถ้าเราทำไม่ดี เพื่อนๆเรา รวมถึงคุณครูทุกคนจะต้องนินทาเราอย่างแน่เลย”
.
ผมกลัวมากๆ กังวลสุดๆแต่ก็ไม่สามารถถอนตัวออกได้ เพราะได้รับเลือกมาแล้ว ผมมีเวลาซ้อมอยู่ไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำ และเมื่อวันจริงมาถึง ในตอนนั้นมันเหมือนกับฝันร้ายเลยล่ะ ผมใจเต้นแรงมาก เหมือนหัวใจจะทุออกมาให้ได้
.
ผมก้าวเท้าขึ้นเวทีไป และก็เริ่มพูดในสิ่งที่ซ้อมมา
ผมมีการยิงมุกตลกเพื่อให้คนหัวเราะด้วย แต่ในช่วงเวลานั้นมุขที่ผมเล่นออกไป ความจริงมันควรเป็นเสียงขำ ที่ผมควรจะได้กลับมา แต่กลับกันมันมีแต่ความเงียบที่ผมได้
.
สรุปโดยง่ายการขึ้นพูดในเวทีในครั้งนั้น
ผมพูดก็ไม่ได้ดีมาก และมุขที่เตรียมไว้ก็แป๊กหมดกลางเวที
.
และแน่นอนเพื่อนๆก็มีนินทาผมบ้าง มันบอกว่า
“ผมพูดอะไร ฟังไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
.
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ เมื่อเหตุการณ์นี้ผ่านไป 3-6 เดือน ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องความผิดพลาดของผมอีกแล้ว กลับกันพอผมถามมันว่า “จำตอนที่กูขึ้นพูดบนเวทีได้มั้ย”
.
มันยังต้องใช้เวลานึกอยู่พอสมควรเลย ว่าผมขึ้นไปพูดตอนไหน
.
เห็นอะไรมั้ยครับ ผมไม่ได้สำคัญสำหรับเพื่อนขนาดนั้น ที่มันจะต้องมานั่งจำว่า “ผมเคยขึ้นพูดบนเวที แล้วผิดพลาด” มันลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลยด้วยซ้ำ
.
สิ่งนี้เองมันยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า “คนเราก็มัวแต่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเราเองกันทั้งนั้น”
.
หลังจากนั้นผมก็เลยตระหนักได้ว่า ถ้าผมอยากจะทำอะไร ผมก็จะทำให้เต็มที่ อยากทำอะไรผมก็จะทำเลย
เพราะผมไม่ได้สำคัญขนาดที่จะต้องมีคนมานั่งจำตลอดว่า “ผมเคยผ่านอะไรมา”
.
.
ดังนั้นถ้าหากตอนนี้ คุณคือหนึ่งคนที่เป็นกังวลอยู่
ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับคุณ จนคุณไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย
.
โปรดจำเอาไว้ว่า “คนเราก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองกันทั้งนั้น” และเมื่อเราคิดได้เช่นนี้ เราก็จะกล้าทำอะไรหลายอย่างมากยิ่งขึ้น และแคร์สายตาของคนอื่นน้อยลง
.
เมื่อเราเลิกแคร์ว่าคนอื่นคิดยังไงกับเรา และเอาพลังงานที่สูญเสียไปกับการกังวลตรงนั้น เอามันมาใช้ กับการทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ มันจะไม่ดีกว่าหรอ
.
และเมื่อคุณเลิกแคร์สายตาคนอื่นได้แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ คุณจะเหมือนได้ชีวิตของตัวคุณเองกลับคืนมาเลย
.
ลองนึกดูดีๆว่า ทุกวันนี้เราได้ใช้ชีวิตตามที่
ตัวเราเองต้องการแล้วหรือยัง ถ้ายังปัญหาที่ติดอยู่นั้นคืออะไร
.
ซึ่งถ้าหากมันคือเรื่องของ “การแคร์ความคิดของคนอื่นมากเกินไป” จนเราไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากใช้
.
ก็ลองนำแนวคิด มุมมองที่ได้จากบทความนี้
ไปปรับใช้กันดูนะครับ แล้วคุณจะได้ชีวิตของตัวคุณเองกลับคืนมา
.
อย่าลืมนะครับ “คนเราก็มัวแต่คิดถึงแต่กับเรื่องของตัวเองกันทั้งนั้น” ดังนั้นไม่ต้องสนความคิดเห็นของคนหรอกว่า “เขาจะคิดยังไงกับเรา” เพราะไม่นานนัก เขาก็จะลืมเรื่องของเราไปแล้ว
#FolkThanasit
โฆษณา