3 ก.พ. 2022 เวลา 06:24 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
10 ภาพยนตร์จาก 'หว่อง กา ไว' ถ่ายทอดบทสุดเหงา ผ่านงานสีสุดฉูดฉาด
จากผลงานชิ้นล่าสุดในฐานะผู้อำนวยการสร้าง one for the road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ ‘หว่อง กา ไว’ ผู้กำกับระดับอาร์ตตัวพ่อ ผู้มีลายเซ็นชัดเจนบนผลงานของเขาที่ถ่ายทอดความเหงาออกมาได้อย่าง งดงามและเหงาจับใจภายใต้การ ‘กระทำความหว่อง’ ด้วยบทหนังที่ชวนเปล่าเปลี่ยวหัวใจ แต่ในขณะที่งานภาพใช้สีสันสุดฉูดฉาด ที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากอารมณ์ในเรื่อง นี่แหละเอกลักษณ์ที่การันตี ‘ความหว่อง’ สุด ๆ ไปเลย
วันนี้แอดได้ทำการรวมรวมภาพยนตร์ของ หว่อง กา ไว ไว้ให้เพื่อน ๆ ได้เสพสีสันและบรรยากาศของหนังที่สุดเหงา ลองดูกันว่าจะมีภาพยนตร์เรื่องโปรดบ้างรึเปล่า !
1. Chungking Express (1994)
เริ่มต้นด้วยหนังที่ประสบความสำคัญและเป็นที่จดจำมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของหว่อง กา ไว หนังเรื่องนี้เป็นตัวนำกระแส ‘กระทำความหว่อง’ ขึ้น ด้วยการสร้างสุนทรียะแห่งความเหงาในฮ่องกงในช่วงต้นยุค 90 ผ่านการใช้โลเคชั่นรวมไปถึงโทนสี ที่ต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบส่งอิทธิพลไปยังโฆษณา หนังสั้น เอ็มวี ภาพถ่าย และสื่อต่าง ๆ มากมาย
2. Ashes of Time (1994)
หนังที่บอกเล่าเรื่องราวของ ตัวละครจากอมตะในนิยายกำลังภายใน ที่ดำเนินเรื่องด้วยการพูดเป็นส่วนใหญ่ ต่างจากหนังกำลังภายในทั่วไปที่จะเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น โทนสีของหนังจะเน้นไปทางสีโทนอุ่น แต่ละฉากแต่ละบทมีความหมายแฝงปรัชญา ตัวละครทุกตัวมีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่อง
หนังมีความน่าสนใจทางจิตวิทยามาก กล่าวคือ อาจเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่รุนแรงของ "จิตไร้สำนึก" ตามข้อสังเกตทางจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
3. Fallen Angels (1995)
หนังที่เค้าว่ากันว่าคืองานสานต่อความสำเร็จมาจาก Chunking Express ที่หลาย ๆ อย่างเป็นเหมือนเงาสะท้อนกันไม่มีผิด ในแง่ของภาพ ส่วนที่เด่นที่สุดคืองานมุมกล้องที่เน้นเอาเลนส์มุมกว้างจ่อหน้าตัวละครจนได้มุมมองภาพเท่ ๆ ออกมา ที่นอกจากจะแปลกตา ยังทำให้รู้สึกถึงความเวิ้งว้างรอบ ๆ บวกกับการเคลื่อนกล้องที่ช่วยให้รู้สึกว่าตัวหนังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และมีการจัดแสง ใช้สี ที่ส่วนใหญ่มีไฟนีออนที่ดูฟุ้ง ๆ เป็นแหล่งกำเนิดแสงหลัก
4. Happy Together (1997)
หนังเอเชียที่บอกเล่าเรื่องราวของ LGBTQ นำโดย เหลียงเฉาเหว่ย และ เลสลี จาง ที่มาสวมบทบาทของชายรักชายในหนังรักเหงา ๆ ของคนสองคนในเมืองบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา ด้านภาพมีการจัดวางสวยงามเฉพาะตัว การจัดแสงให้ทึม ๆ เหงา ๆ ตามแบบฉบับของหว่อง กา ไวและการปรับสีให้อมเหลืองขึ้น กลายเป็นหนังเรื่องโปรดของใครหลาย ๆ คน เพราะเหมือนเอาศิลปะมาจัดวางในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว มีการถ่ายทำให้เห็นกลวิธีการถ่ายที่หลากหลาย มีช็อตเล็กช็อตน้อยสลับ มีการปรับความเร็วภาพเป็นกึ่งสโลว์บ้างหรือปรับสปีดให้เร็วขึ้น แต่ในขณะที่เรื่องราวของบทค่อย ๆ ดำเนินไปช้า ๆ นิ่ง ๆ จุดนี้เองทำให้คนที่ไม่อินกับหนังสามารถผล็อยหลับได้เลย
5. In the Mood for Love (2000)
ด้วยบทของหนังที่ลึก ซ่อนสาระทางการเมืองไว้ใต้ความสัมพันธ์ของตัวละคร หนังใช้ศิลปะภาพยนตร์ในหลากหลายองค์ประกอบตั้งแต่การเลือกใช้แสงและสีของภาพที่ดูหม่นๆ ซึมเซา แต่ก็ค่อนไปในโทนอุ่น (Warm Tone) เป็นส่วนใหญ่ ก็อาจตีความได้ถึงความรู้สึกอันร้อนรุ่ม
การจัดองค์ประกอบภาพที่จัดให้ผู้ชมทำหน้าที่ ‘แอบมอง’ พร้อมด้วยการเลือกใช้สถานที่ถ่ายทำที่มีความคับแคบ เบียดเสียด เพื่อแฝงนัยของความรู้สึกที่อึดอัดและคับข้องใจของเขาและเธอที่มีต่อกัน รวมไปถึงอีกหนึ่งหัวใจหลักคือการแสดงของ เหลียงเฉาเหว่ย จางม่านอวี้ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลสามารถเข้าถึงผู้ชมได้อย่างดี
6. 2046 (2004)
หนังที่เปรียบเสมือนภาคต่อกลาย ๆ ของ In the Mood for Love (2000) ที่ว่าด้วยเรื่องราวอันเปลี่ยวเหงาของผู้คนที่อาศัยอยู่ในห้องพักหมายเลข 2046 ​​ด้วยบรรยากาศเหงา ๆ และการเล่าเรื่องสลับไปมาของหนังนั้น ทำให้รู้สึกว่าการลำดับเรื่องราวของหนังค่อนข้างสับสน
แต่จุดที่หนังเรื่องนี้สามารถสะกดเราได้อย่างอยู่หมัด คือ บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเปลี่ยวเหงาและมนต์เสน่ห์ของทุกตัวละครภายในเรื่อง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญในทุกผลงานของหว่อง กาไว เมื่อผสมเข้ากับการดำเนินเรื่องแบบเนิบช้า เน้นซีนอารมณ์ โทนสีเย็นที่แสดงถึงความเหงา ความโดดเดี่ยว และดนตรีประกอบของหนังแล้ว อาจจะทำให้คนดูต้องใช้เวลาเพื่อด่ำดื่มซึมซับกับหนังเรื่องนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง
7. My Blueberry Nights (2008)
ผลงานระดับอินเตอร์ของ หว่อง กาไว หนังที่ว่าด้วยเรื่องการเดินทางของหญิงสาวที่ผิดหวังกับความรัก และ ชายแปลกหน้าที่เฝ้ามองหลาย ๆ ชีวิตที่ผ่านไปมา ตลอดการเดินทางของหญิงสาวทุกๆเรื่องราวผูกใจคนดูอย่างที่ไม่ต้องอาศัยเทคนิคแปลก ๆหรือการลำดับภาพที่ซับซ้อนของหว่อง กาไว มากนัก ยิ่งเมื่อได้ฟังเพลงประกอบที่ลงตัวเหมาะกับบรรยกาศก็ทำให้โลกเหงาๆกลับมางดงามอีกครั้ง !
8. The Grandmaster (2013)
หนังที่หยิบเรื่องราวของยิปมัน ปรมาจารย์มวยหย่งชุนในช่วงสมัยสงครามโลกที่ 2 มาเล่า ซึ่งแตกต่างจากยิปมันในภาคอื่นมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมาก ๆ จุดเด่นของภาคนี้อยู่ที่การเล่าเรื่อง ที่มุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มวยจีนแสดงให้เห็นถึง จารีต แนวคิด และ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ในวงการหมัดมวย รวมถึงความเสื่อมถอยของวิชาฝีมือที่ถูกปัจจัยต่างๆรบกวน จนขาดผู้สืบทอดมากกว่าที่จะนำเสนอความบันเทิงเชิงบู๊เหมือนหนังแอ็คชั่นกังฟูทั่วไป
ในด้านของภาพนั้นจะเห็นฉากบู๊ที่สวยงามหนักแน่นและเต็มไปด้วยรายละเอียดฉากต่อสู้เน้นภาพ slowmotion แสงสวย ๆ ซึ่งเล่าออกมาได้สมกับที่เป็นหนังของหว่อง กา ไว
1
9. See You Tomorrow (2016)
หนังที่มีเรื่องราวของหนุ่มเจ้าของบาร์ที่มีเพื่อนที่เป็นผู้ช่วยคอยดูแลกิจการให้ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วแต่ละคนต่างก็ยังรักที่จะใช้ชีวิตในแบบสนุกสนานอยู่ นอกจากจะต้องบริหารบาร์ให้อยู่รอด แล้วยังต้องรับมือกับเรื่องของความรักอีก จุดเด่นของเรื่องนี้คือเป็นหนังลูกผสมระหว่างหว่อง และ ซิงฉือที่ได้นำภาพแฟนตาซีผสมซีจีการ์ตูน ๆ ในสไตล์โจวซิงฉือ และภาพสวยสด แสงสีจัดจ้าน บรรยากาศเหงาๆของหว่อง กาไวที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
10. Days of Being Wild (1990)
ความรัก ความผิดหวัง และความเหงาของหนุ่มสาวฮ่องกงยุคปี 1960 ที่โชคชะตาพาให้มามาเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่สามรถดำรงอยู่ในความสัมพันธ์ของกันและกันได้ Days of Being Wild จึงเป็นหนังที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของหนุ่มสาวในยุค 60 ทั้งในด้านความรัก ความหวัง และความเหงา รวมเข้าด้วยกัน มีวิธีดำเนินเรื่องที่ล่องลอยเอาแน่เอานอนไม่ได้ โทนสีของหนังจะเน้นไปทางโทนสีที่มีความเย็น ติดฟ้าแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความเหงา ความเศร้า ตามแบบฉบับของหว่อง กา ไว
และทางด้านเพลงประกอบที่เลือกใช้ก็ยิ่งทำให้เคลิ้มไปกับอารมณ์ของหนัง และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นที่จดจำของหนังเรื่องนี้เลยก็คือ วลีเด็ดนกไร้ขา ที่ตัวละครอย่าง หยกไจ๋ ใช้มาเปรียบเทียบกับตัวเองว่า " ชีวิตผมก็เหมือนกับนกไร้ขาที่ได้แต่บิน เหนื่อยก็พัก นอนหลับในสายลม และวันเดียวที่ได้ลงดินก็คือวันตาย.."
1
เป็นยังไงกันบ้างกับภาพยนตร์ 10 เรื่องที่แอดนำมาฝากวันนี้ สำหรับใครที่ยังไม่เคยดูคงต้องเก็บเข้าลิสต์แล้วหาเวลามาดูแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนัง 1 ในเรื่องโปรดในอนาคตของเพื่อน ๆ ก็ได้ !
โฆษณา