Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Depressive Soloist
•
ติดตาม
3 ก.พ. 2022 เวลา 08:55 • สุขภาพ
#เจ็ดปีที่ซึมเศร้า ฉบับSoloist
(*ถ้าไม่อยากอ่านอะไรยาวๆ อ่านบรรทัดนี้บรรทัดเดียวก็ได้นะ: “ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้การรักษาภาวะซึมเศร้าได้ผลดีก็คือ การพร้อมจะรับผิดชอบตัวเองและก้าวออกจาก mindset ของความตกเป็นเหยื่อ” Cr: หมอประเวช)
เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2558 ผมทำงานเป็นผู้จัดการที่บริษัทแห่งหนึ่ง ตอนนั้นผมนั่งอยู่กับลูกน้องในห้องประชุมเล็กๆเพื่อประเมินผลงานของกันและกัน เขาพูดกับผมว่า “คนอย่างหมอไม่สมควรมาเป็น manager เพราะไม่มีความสามารถมากพอ” แล้วเขาก็ลุกออกไป
ผมนั่งตัวชาอยู่นาน ก่อนจะรวบรวมแรงที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดลุกออกจากห้องไปเพื่อกลับบ้าน
รู้ตัวอีกที ก็คือตอนอยู่บนทางด่วน กำลังขับรถกลับบ้าน และคิดว่า “ถ้าตายไปก็คงจะดี” ผมคิดว่าถ้าผมเร่งความเร็วรถแล้วแหกโค้งให้รถพุ่งลงไปที่พื้นถนนด้านล่าง ความทุกข์มากมายจากความคิดที่ว่าตัวเองล้มเหลว ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ความรู้สึกไร้ค่า ความเสียใจอย่างรุนแรงจากความผิดหวังและการถูกวิพากษ์วิจารณ์จะได้จบลงเสียที
แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้น ผมขับรถมาจนถึงบ้าน และนั่งทำ excel sheet งบประมาณประจำปี ในหัวก็คิดว่า อยากจะไปพักที่ห้องเล็กๆ ของโรงแรมที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก และเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าลงไปในทะเล ผมจะฆ่าตัวตาย ผมพบว่าผมผละจาก excel sheet เป็นพักๆเพื่อจะห้องสวยๆในโรงแรมสักที่หนึ่ง ผมยังจำความรู้สึกของนิ้วที่เลื่อนเมาส์ scroll down เพื่อดูห้องต่างๆได้ดี
แต่ผมก็ไม่ได้หาห้องในฝันที่ว่าจนเจอ ผมทำงานไปเรื่อยๆจนถึงเวลาเข้านอน หลับไป แล้วก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อทำงานหามรุ่งหามค่ำต่อไป อย่างไรก็ตามในช่วงนั้นความคิดฆ่าตัวตายวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลา มีวิธีนั้น วิธีนี้วนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ เห็นระเบียงคอนโดก็อยากกระโดดลงไป บางทีก็เห็นภาพซ้ำๆว่า ถ้าเราเอามีดวางบนพื้นแล้วล้มทับลงไป เราก็จะได้ตาย และสิ้นสุดความทรมานทั้งหมดเสียที
แต่(รอบสาม) อาจจะด้วยความเป็นแพทย์มั้ง ก็เริ่มรู้ตัวว่า อาการนี้มันไม่ปกติ และผมต้องขอความช่วยเหลือ (จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ผมมีอาการของภาวะซึมเศร้ามานานหลายปีแล้วโดยไม่ได้สังเกต เช่น อารมณ์แปรปรวนง่าย วิตกกังวลมาก ไม่กล้าตัดสินใจ ฯลฯ) ตอนนั้นเป็นเดือนมกราคมปี 2558 และผมอยู่ที่ฮ่องกง ผมจึงส่ง email ไปหาอาจารย์จิตแพทย์ท่านหนึ่ง เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง คำแนะนำที่ผมได้รับในตอนนั้นคือ “จงเป็นเพื่อนกับเด็กน้อยในตนเอง” และให้ผมเริ่มกินยาเพื่อให้อาการเบื้องต้นดีขึ้นก่อน
พอผมกลับมาไทยผมก็เริ่มกินยาต้านเศร้า แล้วก็ไปทำจิตบำบัดสองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้เข้าสู่การบำบัดอย่างเป็นระบบ ได้แต่ซื้อยาต้านเศร้าละยานอนหลับกินเอา เปลี่ยนไปรักษากับจิตแพทย์อื่นๆอีกสองท่าน ก็ประทังมาได้ ผมย้ายบริษัทและทุ่มเทให้กับงานมาก ผลงานออกมาดีเลยแหละ ช่วงนี้ผมก็เรียน(แม่ง)มันทุกศาสตร์เลย ตอนนั้นผมเชื่อว่า Self esteem ของผมไม่ดีและผมต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่
ผมจึงศึกษาเรื่องพัฒนาการเด็ก ครอบครัว ความสัมพันธ์ การเลี้ยงลูกเพื่อให้เข้าใจที่มาของตัวเอง เรียนเรื่องความสุข จิตวิทยาเชิงบวกเพื่อสร้างชีวิตให้ดี แล้วก็เรียนเรื่องจิตบำบัดและการให้คำปรึกษาด้วย (ก็เอาตัวเองเป็น case นั่นแหละ) ผมจัดตารางชีวิตให้ดี ออกกำลังกาย อาจารย์สอนว่าปลูกต้นไม้จะช่วยได้ผมก็บ้าปลุกจนรกห้องไปหมด ผมเรียนศิลปะบำบัด และอีกมากมายหลายสิ่ง (อย่างหน้ามืดตามัว) แล้วก็อ่านหนังสือมากมายหลายเล่มเพื่อจะ ‘จัดการ’ เจ้าภาวะซึมเศร้าของผม
แต่ว่า…(รอบสี่)
อยู่มาวันหนึ่ง ผม Panic อย่างมาก ผมรู้สึกว่าผมไม่ไหวแล้ว ผมอยากไปให้พ้นๆจากความกดดัน ความรู้สึกแย่ๆทั้งหลาย ผมรู้ว่าปล่อยไว้ผมต้อง commit suicide แน่ ก็เลยรวบรวมแรงที่มีเหลืออยุ่ตอนนั้น นั่งรถไฟฟ้าไปโรงพยาบาล ไปนั่ง Hyperventilate (หายใจเร็วจนมือจีบ)อยู่หน้าห้องจรวจ ซึ่งต้องขอบคุณคุณหมอจิตแพทย์ที่อยุ่เวรวันนั้นมากๆที่ช่วยดูแลผมจนผ่านภาวะวิกฤตินั้นมาได้
ผมเลยรู้ว่า ผมรักษาแบบลูกทุ่งๆไม่ได้แล้วล่ะ ก็เลยเข้าสู่กระบวนการบำบัดอย่างเต็มรูปแบบ เลือกจิตแพทย์ที่ผมไปพบได้สะดวก ปรับยาใหม่ (ให้อาจารย์ปรับให้) ตอนนั้นประมาณปี 2561
ถึงตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว อาการก็ดีขึ้นโดยลำดับ ตอนนี้ไม่มีความคิดฆ่าตัวตายแล้ว (อาจจะมีบ้างบางครั้ง แต่ไม่รุนแรงหรือวนอยู่นานมาก) มีซึมเศร้า (ซึ่งจะเริ่มด้วยอาการขี้ลืม(หรือไม่มีสมาธินั่นเอง) ตื่นมาแล้วตัวหนัก ไม่มีแรง ฯลฯ) แวะเวียนมาบางครั้ง (trigger สำคัญคือการรับรู้ถึงสมรรภภาพทางกายที่เสื่อมถอย การถูกวิพากษ์วิจารณ์ การไม่ได้รับความสำคัญหรือการยอมรับ และความต้องการทางใจไม่ได้รับการตอบสนอง)
ในปี 2563-2564 ผมเรียนเรื่อง “ปมค้างใจ” และ “แก้ซึมเศร้าแบบไม่ใช้ยา” กับ อ. หมอประเวช ผลลัพธ์คือ อาการซึมเศร้าดีขึ้นมาก ผมลดยาต้านเศร้าลงได้จากปกติกิน Sertraline 50 mg วันละเม็ดทุกวันเป็นวันเว้นวัน และผมตั้งใจจะลดยาให้หมดให้ได้ และให้เหลือแค่ยานอนหลับตามความจำเป็น
ให้ทายว่าค่ารักษาภาวะซึมเศร้านี่เท่าไหร่? คร่าวๆก็คือเตรียมเงินไว้เลย เดือนละ 3500-8000 บาท ค่ายาอย่างน้อย 3000 บาทครับ ค่าบำบัดอีก 1500-5000 บาทแล้วแต่ session ส่วนที่ไปเรียนโน่นนี่มาเยอะแยะนี่หมดไปประมาณ 2 ล้าน (ก็คือแปลงเพศได้สองรอบ) ดังนั้นเรื่องเงินเก็บไม่ต้องพูดถึง ไม่มีหรอก เอาไปรักษาตัวจนหมด ดูๆไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับโรคมะเร็งเลย แทบหมดตัว แต่โรคไม่ทำให้ตาย ถ้าเราไม่ฆ่าตัวตายเท่านั้นเอง (แต่ก็เหมือนตายตกนรกทั้งเป็นอยู่นะ เพราะไม่สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุขได้เลย เหงาๆ เศร้าๆ กลัวๆ หวาดผวาอยู่ตลอดเวลา)
อย่างไรก็ตาม สำหรับผม ภาวะซึมเศร้านี้ไม่ได้หายขาดครับ มันยังคงแวะเวียนมาหาผมเป็นระยะๆ ทั้งที่มีเหตุกระตุ้นชัดเจนและไม่มีเหตุกระตุ้นที่ชัดเจน แต่รอบหลังๆนี่ก็ไม่ได้เศร้าลึกและนาน ผมก็ค่อยๆดูแล “เจ้าซึมเศร้า” นี้ไป เพราะจริงๆแล้ว “เจ้าซึมเศร้า” นี้ เปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มาบอกว่าผมกำลังเหนื่อยเกินไปและต้องการพักผ่อน
(ผมพบว่า “ซึมเศร้า” ไม่ได้กระทบกระเทือนสติปัญญาหรือความเฉลียวฉลาดอะไรของผมเลย จริงๆ “ซึมเศร้า” อยู่กับผมมานานแล้ว แต่ผมก็ยังสอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ยังได้ 4.00 ยังอ่าน scientific paper ได้คล่อง ยัง “เจ๋ง” ทำงานได้เหมือนเดิม ทำได้ดีมากด้วยถ้าเป็นเรื่องที่ถนัด เว้นเสียแต่ว่า…เมื่อไหร่ที่มีเรื่อง “ความสัมพันธ์” มาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นระหว่างผู้ร่วมงาน เจ้านายลูกน้อง performance จะ drop ทันที แล้วก็จะตามด้วยภาวะซึมเศร้าทันที อาการหลักๆคือ ‘แยกตัว’ (จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยแอบหลบไปอยู่คนเดียวในห้องน้ำขณะที่บริษัทกำลังปี Party ปีใหม่)เพราะตัวตนของผมผูกติดอยู่กับผลงาน (performance) มากเหลือเกิน ดังนั้นจึงมีสองเรื่องที่ต้องทำคือแยก “ตัวตน” ออกจาก “ผลงาน” และหัดสร้างความสัมพันธ์และอยู่ในความสัมพันธ์ให้ได้ดีพอ อย่างน้อยก็น่าจะช่วยให้อาการกำเริบน้อยลงได้)
ถึงวันนี้ ผมอยู่กับ “ซึมเศร้า” มาได้ 7 ปีแล้ว แต่ผมก็รู้สึกว่าผมรับมือภาวะนี้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อวันก่อนผมถามอาจารย์ประเวชว่า “อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการหายจากภาวะซึมเศร้า” อาจารย์ตอบว่า “การพร้อมจะรับผิดชอบตัวเองและก้าวออกจาก mindset ของความตกเป็นเหยื่อ”
ดังนั้น นี่อาจจะเป็นก้าวสำคัญนับจากนี้ไป ที่ผมจะ “รับผิดชอบตัวเอง” และ “ก้าวออกจาก mindset ของความตกเป็นเหยื่อ”(โดยเริ่มจากความตระหนักรู้ว่า mindset ของการตกเป็นเหยื่อคืออะไร และจะจัดการ mindset อย่างไร) เพื่อให้ “ซึมเศร้า” จากผมไป…ตลอดกาล
ขอบคุณที่อ่านครับ 😊
#DepressiveSoloist
บันทึก
1
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย