23 ก.พ. 2022 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
เมรุปูนและวิกลิเกเมรุปูน วัดสระเกศฯ
ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการส่งทัพไปรบทางกรุงกัมพูชาและเวียดนามตลอดหลายปี และต้องใช้พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของพระนครเป็นการเริ่มต้นเดินทัพ จึงทรงปฏิสังขรณ์วัดสระเกศฯ และวัดอรุณราชวราราม ที่วัดสระเกศฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกกุฎีตึก สร้างภูเขาทองให้คล้ายกับเจดีย์ภูเขาทองในทุ่งของพระนครศรีอยุธยาและใช้เป็นที่ประชุมเล่นสักวา
ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณภูเขาทอง วัดสระเกศฯ
โดยโปรดเกล้าฯ “สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ” (ทัต บุนนาค) เป็นแม่กอง อีกทั้งใช้เป็นที่พระราชทานเพลิงพระศพเจ้านาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ และให้มีพลับพลาสำหรับเสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ สามส้าง โรงธรรม โรงครัว โรงทาน โรงมหรสพ ตลอดจนพุ่มกัลปพฤกษ์ และระทา (หอสี่เหลี่ยมทรงยอดเกี้ยว ใช้สำหรับจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ในพิธี) สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ และเมรุธรรมดาสำหรับบุคคลชั้นคหบดีทั่วไป ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนทำด้วยการก่ออิฐถือปูนทั้งสิ้น โดยให้มีการก่อสร้างอย่างปราณีตสมบูรณ์ยิ่งกว่าเมรุปูนของ “วัดสุวรรณารามฯ” ทางฝั่งธนบุรีที่เคยเป็นสถานที่ปลงศพสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาตั้งแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เรียกกันว่า “เมรุผ้าขาว” เจ้าพระยาบดินทร์เดชาแม่ทัพคนสำคัญของพระองค์ถึงแก่กรรมด้วยโรคอหิวาตกโรคใน พ.ศ. ๒๓๙๓ ก็ปลงศพที่เมรุผ้าขาว วัดสระเกศฯ
เพราะในปีนั้นและปีต่อๆ มาแทบทุกรัชกาลคนในพระนครตายด้วยโรคอหิวาตกโรคจำนวนมากและนำไปปลงศพที่วัดสระเกศฯ และวัดนอกเมืองอื่นๆ จนบางครั้งเผาไม่ทันกลายเป็นต้องทิ้งให้แร้งลงจิกกินซากศพ กลายเป็นสถานที่ซึ่งชาวไทยและต่างประเทศอ้างอิงถึงคำว่า “แร้งวัดสระเกศฯ” ด้วยภาพอันน่าสยดสยองเมื่อมีซากศพและแร้งลงมาจิกกิน ผู้คนหวาดเกรงและปรากฏในภาพที่ชาวตะวันตกถ่ายรูปไว้รวมทั้งบันทึกไว้มากมายที่บริเวณป่าช้าและเมรุในบริเวณนี้สืบเนื่องกันตลอดมา
เส้นทางการนำศพออกนอกเมืองจึงถูกเรียกติดปากว่า “ประตูผี” ซึ่งไม่ใช่น่าจะใช่ประตูเมืองใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของพระนครที่อยู่ใกล้เคียงคือ “ประตูสามยอด” ที่เป็นประตูใหญ่ใกล้ป้อมหมูทะลวง แต่น่าจะเป็นประตูช่องกุดต่างๆ มีการนำศพผ่านทั้งทางบกและทางท่าเรือวัดสระเกศฯ แล้วนำขึ้นถนนมายังเมรุดังกล่าวที่ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนอย่างถาวรและเรียกกันติดปากว่า “เมรุปูน”
ต่อมาเมื่อสร้างถนนบำรุงเมืองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นถนนแบบสมัยใหม่ที่ใช้ในเชิงเศรษฐกิจเพราะมีการปลูกตึกแถวให้เช่าเพื่อทำการค้าด้วย การตัดผ่านของถนนเส้นนี้ ทำให้เขตพุทธาวาสและสังฆาวาสของวัดสระเกศฯ กับบริเวณเมรุปูน แยกออกจากกันคนละฝั่งถนน สภาพเมรุปูนของวัดสระเกศฯ ชำรุดทรุดโทรมลงตามลำดับไม่ได้มีการบำรุงรักษามากนัก
แต่การนำศพออกไปปลงศพนอกเมือง นอกจากประตูผีแล้ว หากชาวบ้านชาวเมืองอยู่ทางทิศใดของเมืองก็นำออกนอกประตูเมืองทางทิศต่างๆ ได้ วัดเก่าที่มีป่าช้าอยู่นอกเมืองครั้งแรกสร้างเมื่อรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ นั้นมีหลายแห่ง เช่น “วัดบางลำพู” หรือ “วัดสังเวชวิศยาราม” ทางด้านเหนือ และ “วัดเชิงเลน” หรือ “วัดบพิตรพิมุขฯ” ทางด้านใต้ “วัดปทุมคงคา” หรือ “วัดสำเพ็ง” ในชุมชนชาวจีนริมแม่น้ำเจ้าพระยา และ “วัดสระเกศฯ” ทางด้านตะวันออก ส่วนทางฝั่งธนบุรีก็มีวัดหรือสถานที่ปลงศพเฉพาะพื้นที่เช่นกัน
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์รื้อประตูสำราญราษฎร์หรือประตูผีและแนวกำแพงเมือง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๔ เพื่อขยายแนวถนนให้รับกับสะพานสมมตอมรมารคที่สร้างไว้อย่างงดงามเป็นสะพานเหล็กแบบเลื่อน และเป็นการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ พระองค์ทรงซื้อที่ดินตามแนวขยายถนนที่ประตูผี โดยรื้อถอนโรงแถวของเดิมออกไปพัฒนาบริเวณนี้ให้เป็นย่านธุรกิจการค้าที่ต่อเนื่องจากแยกเสาชิงช้า ผ่านแยกสำราญราษฎร์ สะพานสมมติอมรมารค ผ่านเมรุปูนวัดสระเกศฯ ออกนอกเมือง
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ มีการนำเข้าเตาเผาศพทันสมัยที่สั่งซื้อจากต่างประเทศมาติดตั้งและปรับปรุงที่เมรุปูนวัดสระเกศฯ โดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และยังให้มีการจัดตั้งการประปาที่แยกแม้นศรีที่ต่อเนื่องกับชุมชนบ้านบาตรและเมรุปูน วัดสระเกศฯ ในปีต่อมา ซึ่งการปรับปรุงสุขอนามัยและระบบสาธารณสุขดังกล่าวเป็นพระราชดำริมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงราว พ.ศ. ๒๔๖๗ คาร์ล ดอฮร์ริ่ง [Karl Dohring] ชาวดัตช์ยังคงวาดภาพลายเส้นเมรุปูนวัดสระเกศฯที่ไม่ได้ถูกรื้อถอนหรือแตกต่างไปจากที่เคยเห็นในภาพถ่ายครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมากนัก
ท่าเรือเมรุปูนวัดสระเกศฯ จากคลองโอ่งอ่าง ภาพลายเส้นโดย คาร์ล ดอร์ริงห์
เมรุปูนที่วัดสระเกศฯ ที่ใช้สำหรับปลงศพพระราชวงศ์ ผู้มีฐานะ คงหมดความนิยมไป เนื่องจากมีสถานที่อื่นๆ ทั้งเมรุหลวงที่วัดเทพศิรินทร์ฯ และฌาปนสถานอื่นๆ อีกมาก มีบันทึกไว้ว่า เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๔ เริ่มมีการจัดการศึกษาประชาบาลขึ้นในจังหวัดพระนครและธนบุรี โดยการริเริ่มของพระยาเพ็ชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ได้กราบทูลขอใช้สถานที่เมรุปูน วัดสระเกศฯ จากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์มาแก้ไขดัดแปลงซ่อมแซมใช้เป็นอาคารเรียน จนกลายเป็น “โรงเรียนประชาบาลตำบลบ้านบาตร ๑” ต่อมาได้สร้าง “โรงเรียนอาชีพช่างเหล็ก” แล้วจัดสถานที่บริเวณเมรุปูนนี้เป็นใช้อบรมวิชาต่างๆ แก่ครูประชาบาลรวมทั้งมีการจัดสอบเลื่อนวิทยฐานะด้วย ความสืบเนื่องนี้ต่อมากลายเป็น “ฌาปนสถานของคุรุสภา”
ต่อมาพื้นที่ดังกล่าวก็ใช้เป็นแหล่งมหรสพ คือ “วิกลิเกเมรุปูน” อันโด่งดังของพระนครในยุคสมัยหนึ่ง วิกเมรุปูนน่าจะสืบเนื่องมาจากการมหรสพเมื่อมีงานฌาปนกิจผู้มีฐานะที่เมรุหลวงวัดสระเกศฯ ซึ่งจะมีการเล่นโขน ลิเก ละคร หุ่นกระบอก และมีออกร้านขายของกินของใช้มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงฯ ทีเดียว บริเวณป่าช้าหรือเมรุปูนวัดสระเกศฯ มีชื่อเสียงเรื่องการแสดงมหรสพและมีทั้งคณะลิเก คณะหุ่นกระบอก โขน ละครชาตรีคณะต่างๆ ที่อยู่ในแถบวัดสระเกศฯ เรื่อยไปตามคลองมหานาคจนถึงวัดคอกหมูหรือวัดสิตารามและทางฝั่งวัดแค นางเลิ้ง
วิกเมรุปูนเป็นวิกลิเกยอดนิยมวิกหนึ่งในช่วงยุคแรกๆ ของการแสดงลิเกตามวิกต่างๆ สภาพเป็นวิกไม้หลังคามุงสังกะสีและมีที่นั่งเป็นชั้นๆ
ลิเกเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๔๔๐ โดยพระยาเพ็ชรปาณี (ตรี) ผู้เป็นนักปี่พาทย์โขนละครและข้าราชการกระทรวงวัง ริเริ่มสร้างให้มีการเล่นละครร้องแบบชาวบ้านจึงคิดค้นผสม “ดิเกบันตน ดิเกลูกบท และละครรำ” ผสมผสานกับวัฒนธรรมของคนมลายูที่มีอยู่ก่อนเข้าด้วยกัน เคยเล่นที่วิกหรือโรงละครวังบ้านหม้อก่อนย้ายมาเปิดวิกที่ชานพระนครใกล้ป้อมมหากาฬ เรียกว่า “วิกพระยาเพ็ชรปราณี” ลิเกทรงเครื่องนั้น แต่งเครื่องอย่างดี ใส่ผ้าไหมอย่างดี แต่ไม่มีผู้หญิงเล่น ใช้ผู้ชายล้วน
ต่อมาจึงมีคณะของ “ดอกดิน เสือสง่า” ที่โด่งดัง โดยเฉพาะการเป็นผู้แต่งการร้องทำนองลิเกแบบรานิเกริงหรือราชนิเกริง สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๕ รวมทั้งการแสดงแบบชายจริงหญิงแท้โดยเฉพาะคู่พระคู่นางสองพี่น้อง “นายเต๊ก เสือสง่า” และ “นางละออง เสือสง่า” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเช่าห้องพักกันอยู่แถบถนนพะเนียง ใกล้ตลาดนางเลิ้ง
ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๕๖ “หอมหวล นาคศิริ” ก็มาหัดแสดงลิเกที่วิกเมรุปูน วัดสระเกศฯ ที่มีชื่อเสียงมากและได้รับการช่วยเหลือจากครูแกร หัวหน้าคณะโขน ละคร และหุ่นกระบอก ซึ่งเป็นคณะที่มีชื่อเสียงอยู่แถวย่านวัดสระเกศฯ จนต่อมาจึงมีลิเกจากคณะหอมหวล นาคศิริ ที่แตกคณะออกไปจัดการแสดงตามวิกต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดและมีคณะลิเกที่ใช้นามหอมหวลสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ คนอยากดูลิเกเพราะไม่มีอะไรดู ชาวบ้านเหงาคนโหยหาความบันเทิง ทั้งวิกลิเกและการรำวงจึงเป็นเพียงมหรสพง่ายๆ สำหรับชาวบ้านยามยาก วิกลิเกที่นิยมในช่วงยุคดอกดิน เสือสง่า จนมาถึงหอมหวล นาคศิริ ได้แก่ วิกเก่าตลาดยอด บางลำพู วิกตลาดนานา วิกตลาดเทเวศร์ วิกตลาดเปรมประชา บางซื่อ กรุงเทพฯ วิกบางรัก กรุงเทพฯ วิกตาเฉย ตลาดพล ธนบุรี วิกราชวัตร วิกช้างเผือก ถนนตก เป็นต้น
วิกลิเกเมรุปูนมีการแสดงมหรสพจนทางวัดสระเกศฯมอบสถานที่ให้เป็นที่ตั้งของ “โรงเรียนช่างไม้วัดสระเกศฯ” ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และวิทยาลัยสารพัดช่างพระนครในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๔
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
โฆษณา