7 ก.พ. 2022 เวลา 03:10 • บันเทิง
คำสั่งสุดท้าย
#เรื่องสั้น
บรรยากาศร้านสไตล์ย้อนยุค เสียงเพลงขับกล่อมสบายหู ไอกรุ่นและกลิ่นของกาแฟยามบ่ายที่ลอยเตะจมูกอยู่เป็นระยะ ทว่ากลิ่นหอมหวนของกาแฟสูตรโปรดกลับไม่ได้ทำให้ผมสนใจหรืออยากจะยกมันขึ้นจิบเลยในสภาวะขณะนี้
Well Coffee ร้านคาเฟ่ขนาดเล็ก ๆ เป็นสถานที่ซึ่งผมจะคอยแวะมาใช้บริการอยู่เสมอ ปัจจัยดึงดูดจนผมต้องพาตัวเองมาที่นี่อยู่บ่อยครั้งนั้นหาใช่รสชาติของกาแฟแต่อย่างใด
ตัวรสชาติของกาแฟมันก็ไม่ได้เลิศเลอต่างอะไรไปจากร้านที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นเพราะมันตั้งอยู่ใกล้กับบริษัทอันเป็นสถานที่ทำงานของผมเท่านั้นเอง
และมันก็เป็นการสะดวกมากสำหรับการลอบปลีกตัวออกมานั่งจิบกาแฟยามบ่าย ทอดอารมณ์ให้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศแนวย้อนยุคของร้าน
อีกทั้งเจ้าของร้านยังอัธยาศัยดีกับลูกค้าทุกคน จะคอยสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่เป็นประจำ
วันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผมได้พาตัวเองออกมาทิ้งกายอยู่ ณ คาเฟ่แห่งนี้ แต่มันต่างออกไปตรงที่วันนี้ผมไม่ได้มานั่งจิบกาแฟสบายอารมณ์ หากแต่เรื่องที่พึ่งได้รับทราบมาวันนี้มันทำให้ผมต้องมานั่งทอดสายตาเหม่อลอยอย่างใช้ความคิดหนัก
ในวันพรุ่งนี้จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งครั้งใหญ่ในบริษัท นั่นคือสาเหตุของอาการคิดไม่ตกของผม
โดยหนึ่งในคนซึ่งจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งนี้มีผมรวมอยู่ด้วยและตำแหน่งนั้นก็เป็นถึงระดับผู้จัดการแผนกที่ใฝ่ฝันซะด้วย แน่นอนว่าถ้าได้เลื่อนขั้นอย่างใจหวังชีวิตของผมก็คงจะดีขึ้นมาอีกเป็นกอง
แต่แล้วทำไมผมจึงต้องมานั่งหมดอาลัยตายอยากคิดไม่ตกอยู่แบบนี้งั้นเหรอ?
ผมอายุย่างเข้ามาถึง 35 ปีแล้ว การเลื่อนขั้นครั้งนี้จึงมีความหมายและมีความสำคัญกับตัวผมอย่างยิ่ง มันจะเป็นตัวชี้อนาคตต่อจากนี้ไปเลยก็ว่าได้ แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ง่ายดายเลยสักนิดเดียว
การเลื่อนขั้นครั้งนี้ผมต้องชิงกับคู่แข่งอีกหนึ่งคนซึ่งได้ถูกเสนอชื่อจากบอร์ดบริหารมาเช่นเดียวกัน
ผมกับคู่แข่งรายนี้เรา 2 คนทำงานด้วยกันมานานหลายปีจนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเลยก็ไม่ผิด มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวสุดแต่ว่าฝ่ายไหนจะเดือดร้อนขอให้ช่วย
อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นกันเองทั้งยังชอบช่วยเหลือคนเดือดร้อนด้วยแหละ มันจึงทำให้ผมชื่นชอบปนนับถือและสนิทกันมาได้จนถึงทุกวันนี้
มาตอนนี้ไม่คิดว่าเราทั้งคู่จำต้องมาแข่งขันกันเองในสมรภูมิชี้อนาคตแบบนี้
กติกาในการชิงตำแหน่งผู้จัดการแผนกนั่นคือการให้พนักงานทุกคนในแผนกเป็นผู้โหวตลงคะแนน
คนที่ได้รับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากคนในแผนกมากที่สุดก็จะได้รับตำแหน่งไป และสิ่งนั้นมันทำให้ผมนั่งคิดหนักอยู่ในขณะนี้
ผมกล้ายอมรับกับตัวเองตรง ๆ เลยว่าค่อนข้างจะไม่น่ารักในสายตาของคนในแผนกเท่าไหร่ ทั้งเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจและจอมเผด็จการกับคนอื่นเขาไปทั่ว
ที่พอจะยอมรับกันได้ก็คือฝีมือการทำงานและผลงานอันยอดเยี่ยมของผมนี่เท่านั้น และมันคงจะมีแค่สิ่งนี้ที่ทำให้ชื่อของผมเข้าไปอยู่ในการชิงตำแหน่งผู้จัดการ
“อ้าว วันนี้ทำไมกลับเร็วจังล่ะครับคุณมนัส กาแฟก็ไม่ได้แตะ” เสียงของหนุ่มเจ้าของร้านทักขึ้นในขณะที่รับชำระเงินหน้าเคาน์เตอร์
“ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย ท้องไส้มันก็เลยไม่ค่อยอยากอาหาร” ผมตอบกลับไปอย่างทีเล่นทีจริงตามปกติของคนคุ้นเคยพบหน้ากันอยู่เป็นประจำ
“มีอะไรก็มานั่งเล่นที่นี่ได้เสมอนะครับ ร้านของผมยินดีต้อนรับ ถ้าร้านเราขาดคุณมนัสมานั่งที่โต๊ะประจำตรงนั้นมันคงจะเหงาน่าดู“ เจ้าของร้านหนุ่มบอกมายิ้ม ๆ อย่างจริงใจพลางเดาความรู้สึกอีกฝ่าย
ผมก็คงได้แต่ยิ้มตอบแล้วเดินออกจากร้านมาอย่างเงียบ ๆ
...
เวลาล่วงเข้ามาใกล้จะค่ำมากแล้ว ตอนนี้ผมไม่มีความคิดหรือจุดหมายใดอยากไปต่อทั้งสิ้นนอกจากบ้าน อันเนื่องมาจากปัญหากวนใจและมันก็คงวนเวียนอยู่ตลอดเวลาในทุกก้าวเดินที่มุ่งสู่สถานีรถไฟฟ้า
แต่แล้วภวังค์ความคิดก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงร้องของใครคนหนึ่ง
“ช่วยด้วย! โจรขโมยกระเป๋า ใครก็ได้ช่วยจับที...”
เสียงแหบแห้งตะโกนร้องแทบจะไม่เป็นภาษาทำให้ผมต้องหันไปมองหาที่มา
ภาพที่เห็นคือหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งคุดคู้อยู่บนพื้น ปากก็พยายามร้องขอความช่วยเหลืออยู่ไม่ขาด เบื้องหน้าถัดมาเป็นชายวัยรุ่นร่างผอมสูงกำลังวิ่งมาทางผม ในมือกำกระเป๋าถือสีดำซึ่งแน่ล่ะว่ามันจะต้องเป็นต้นเหตุของสถานการณ์นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ชายคนนั้นวิ่งมาทางผมพลางก็ตะโกนสั่งให้หลีกไป ผมทิ้งกระเป๋าเอกสารในมือลงแล้วพุ่งเข้ากระแทกกับร่างผอมสูงนั้นหมายหยุดการเคลื่อนไหว
วินาทีต่อมาเราทั้งคู่ก็ลงมานอนกองอยู่กับพื้น อีกฝ่ายพยายามดิ้นสู้ตามสัญชาตญาณ
ผมเองก็พยายามคว้าจับล็อกกลิ้งเกลือกกันไปตามพื้นอย่างชุลมุน ชั่วไม่นานชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาผสมโรงช่วยกันจับอีกแรงจนเจ้านักวิ่งราวสิ้นฤทธิ์ลง
ภายหลังเหตุการณ์สงบลงผมพึ่งจะได้สติคิดย้อนกลับแล้วแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมตัวเองถึงได้กล้าเอาตัวเข้าปะทะทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายอาจจะมีอาวุธอยู่ด้วยก็ได้ ผมเอื้อมไปหยิบกระเป๋าถือนั้นแล้วเดินนำมาส่งคืนให้กับหญิงชราที่ตอนนี้กำลังยืนมองผมทั้งรอยยิ้มด้วยความปิติยินดี
“ขอบใจมากเลยนะพ่อหนุ่ม ถ้าไม่ได้พ่อหนุ่มช่วยไว้กระเป๋าของยายคงถูกขโมยไปแล้ว” หญิงชราว่าพร้อมจับแขนผมเขย่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คนกำลังเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือกัน” ผมยิ้มให้ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินไปเก็บกระเป๋าของตัวเอง แล้วจะได้กลับบ้านอย่างใจหวัง
“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม” หญิงชราร้องมาตามหลังและคว้าแขนของผมไว้
“รับนี่ไปสิ” หญิงชราบอกพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างมาใส่ในมือผม
ลักษณะมันเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมเก่า ๆ ขนาดพอดีฝ่ามือ มีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ สลักด้วยลวดลายไม่คุ้นตา ฝาและตัวกล่องถูกพันไว้ด้วยเชือกสีดำอย่างแน่นสนิท
“อะไรครับเนี่ย”
“รับไว้เถอะ ถือว่าเป็นของตอบแทนที่พ่อหนุ่มช่วยยายไว้”
“มันจะมีประโยชน์และช่วยเหลือพ่อหนุ่มได้ ที่เหลือจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของพ่อหนุ่มเองว่าจะใช้มันต่อหรือไม่” หญิงชราเอ่ยต่อเมื่อเห็นผมจ้องด้วยสายตาบ่งบอกถึงความงุนงงสงสัย ซึ่งประโยคหลังนี่มันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกงงหนักขึ้นมากกว่าเดิม
ผมก้มเพ่งพินิจสิ่งที่อยู่ในมืออยู่ครู่ก็เงยหน้าขึ้นหวังจะคืนมันให้กับเจ้าของตามเดิม ทว่าบัดนี้ข้างหน้าผมมันว่างเปล่า หญิงชราผู้เคยยืนอยู่ตรงนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
ผมพยายามกวาดสายตามองหาไปทุกทิศรอบตัวเพื่อค้นหาแต่ก็ไม่พบแกแม้แต่เงา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วถึงจะยังสงสัยอยู่ก็คงต้องคิดในแง่ดีไว้ก่อนว่าแกอาจเดินปะปนกลืนหายไปกับฝูงชนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ขณะที่ผมกำลังก้มมองกล่องในมืออยู่
ผมเก็บความสงสัยต่อกล่องปริศนานั้นจนกระทั่งกลับมาถึงบ้านจึงได้ลองเปิดออกดู มันเปิดได้ไม่ยากเย็นนักตามสภาพความเก่าแก่ของวัสดุ สิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในคือกระดาษเก่า ๆ ใบขนาดครึ่งกล่อง
บนกระดาษมีข้อความเขียนกำกับเป็นภาษาไทยจาง ๆ แต่ก็พอจะอ่านออก วางอยู่ด้วยกันกับกระดาษเป็นแหวน 1 วงลักษณะประหลาด มันมีสีดำขลับไปทั้งวง
มีรอยแกะสลักอันจะว่าเป็นลวดลายหรืออักขระใดก็ไม่อาจเดาถูก ผมวางแหวนประหลาดนั่นลงที่เดิมแล้วหันไปสนใจกับข้อความบนกระดาษอีกครั้ง พอลองอ่านก็ได้ใจความว่า
‘ถึงผู้ใดที่ได้ครอบครองแหวนวิเศษวงนี้ ท่านจะได้มาซึ่งอำนาจประกาศิตสั่งการ จงสวมแหวนนี้ไว้ ณ นิ้วชี้ข้างซ้าย และเมื่อใช้มือข้างที่เต็มไปด้วยอำนาจนี้สัมผัสจับต้องตัวผู้ใดพร้อมกับออกคำสั่ง ผู้นั้นจะน้อมรับและทำตามคำบัญชาอย่างไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใด ๆ
หากแต่ว่าเมื่อคำสั่งสัมฤทธิ์ผลแล้วท่านผู้ถือครองแหวนจะไม่ได้พบพาลผู้ซึ่งถูกประกาศิตสั่งการนั้นอีกชั่วนิจนิรันดร์’
“หึ ไร้สาระ” ผมพึมพำกับตัวเองหลังจากอ่านข้อความนั้นจบ
ในใจหวนนึกถึงคำพูดของหญิงชราแล้วอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ นี่เราคงจะโดนแกหลอกให้ของประเภทเครื่องรางความเชื่อหรือไม่งั้นก็คงเป็นของเล่นอะไรสักอย่างเข้าให้แล้ว แน่ล่ะว่าผมไม่ได้เชื่อถืออะไรมันเลยแม้สักนิด
แต่เอาเถอะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรหากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกสำหรับเหตุการณ์ในวันนี้ ผมเก็บทุกอย่างลงกล่องแล้วโยนมันลงในลิ้นชักโต๊ะอย่างหมดความสนใจเพราะสมรภูมิชีวิตในวันพรุ่งนี้มันน่าขบคิดมากกว่าเยอะ
...
ผมนั่งจิบกาแฟพลางปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงเพลงและบรรยากาศของร้านประจำตลอดช่วงเช้า เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการครุ่นคิดและสงบสติตัวเองก่อนจะเข้าบริษัทตามนัดหมายเพื่อร่วมพิธีเลื่อนตำแหน่งอันจะถูกจัดขึ้นในช่วงบ่าย
นี่ก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าแล้วใจเจ้ากรรมมันก็ยังไม่ยอมสงบลงสักที แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องออกไปแล้ว
ทันทีที่เปิดกระเป๋าสตางค์เพื่อเตรียมลุกไปจ่ายค่ากาแฟ วัตถุชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมาบนฝ่ามือ เมื่อเห็นแวบแรกผมจำได้ทันทีว่ามันคือแหวนสีดำวงนั้นซึ่งมันทำให้ผมประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เนื่องจากจำได้แม่นว่าตัวเองจัดการเก็บไอ้แหวนวงนี้พร้อมทั้งกล่องไว้อย่างดีแล้วในลิ้นชัก แล้วเหตุใดตอนนี้มันจึงมาอยู่กับผมที่นี่ได้
พลันข้อความในกระดาษเก่า ๆ ใบนั้นก็ผุดขึ้นมา จะด้วยสภาพจิตใจอันว้าวุ่นอยู่เป็นทุนเดิมประกอบกับความโลภยังส่วนลึกในอกมันช่วยตัดสินใจไปโดยที่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะบ้าทำ
“เอาวะ ลองดู” ผมหยิบแหวนวงนั้นมาสวมเข้าที่นิ้วชี้ข้างซ้ายตามคำบอกในกระดาษ สิ่งอันน่าประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือมันสวมเข้าได้พอดีกับนิ้วราวกับเคยวัดขนาดมาก่อน
ผมเดินไปยังเคาน์เตอร์แล้วเอื้อมมือข้างซ้ายไปจับแขนเจ้าของร้านหนุ่มไว้ เอ่ยว่า
“ให้ชั้นกินฟรีซะ” ผมพูดออกไปทั้ง ๆ ในใจเองก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หากมันเป็นแค่ของเล่นแหกตาผมคงไม่กล้าหอบหน้ากลับมาร้านนี้อีกแล้ว
“อ่อ ได้สิครับ” คำตอบเช่นนี้ทำให้ผมอึ้งพูดอะไรไม่ออก
“บังเอิญล่ะมั้ง” ผมพึมพำกับตัวเองหลังออกจากร้านมาโดยไม่ได้เสียเงินสักบาทเดียว
ผมมาถึงบริษัทก่อนเวลานัดเล็กน้อยเพราะระยะจากร้านมาไม่ได้ไกลกัน
“อ้าวไอ้นัส ทำไมพึ่งมาวะ คนอื่นเขามากันหมดแล้ว” คนซึ่งผมคุ้นหน้าคุ้นตามันดีเอ่ยทักเสียงใสมาเมื่อผมเดินเข้ามาถึงบริเวณงาน
“แกมานานแล้วเหรอวะไอ้วิทย์” ผมทักทายกลับพลางมองสำรวจคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่แข่งในวันนี้
ไกรวิทย์เพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมมันเป็นคนฝีมือเยี่ยมอีกหนึ่งคนที่ทางบริษัทให้การยอมรับ
นอกจากนั้นยังเป็นที่ชื่นชอบและเคารพจากคนอื่น ๆ ในแผนกด้วย จากความไม่ถือตัว อัธยาศัยดี ชอบช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานราวกับเป็นหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งต่างกับผมเรียกได้ว่าเหรียญคนละด้านเลย จนถึงเดี๋ยวนี้ผมก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าผมกับมันไหงถึงมาสนิทกันได้
แต่วันนี้เราทั้ง 2 คนอยู่ในจุดของคู่แข่งทางการงาน ต่างฝ่ายต้องคำนึงถึงตัวเองก่อน ไม่มีการช่วยเหลือกันเหมือนที่เคยเป็นมาซึ่งแน่ล่ะว่าผมถนัดมากในเรื่องการหาประโยชน์ใส่ตัว
และดูเหมือนว่าวันนี้อีกฝ่ายจะพกเอาความมั่นใจมาอย่างเต็มเปี่ยมด้วยเช่นกัน
“วันนี้ไม่ว่าใครจะชนะได้ตำแหน่งไป เราไม่โกรธกันนะเว้ยไอ้นัส เพราะทั้งแกทั้งชั้นต่างก็อยากก้าวหน้าเหมือนกัน” ไกรวิทย์พูดกับผมอย่างอารมณ์ดี มองไม่เห็นถึงริ้วรอยแห่งความกังวลใด ๆ
ผมยิ้มเกรียมแล้วเดินเข้ามาขอจับมือกับคนอันเป็นทั้งคู่แข่งตัวร้ายและเพื่อนรักตัวดี แน่นอนว่ามือข้างที่ยื่นออกไปขอจับนั่นคือข้างซ้าย
“แกสละสิทธิ์ไปซะไอ้วิทย์ แล้วเปิดทางให้ชั้นได้ตำแหน่งผู้จัดการไป” ผมพูดออกไปอย่างใจเย็นและคอยฟังคำตอบอย่างลุ้นระทึก หากแหวนนี่เป็นของจริงเกมนี้ผมก็ชนะแล้วล่ะ
“ได้สิวะ ชั้นจะสละสิทธิ์ให้แก” คำตอบของมันทำให้ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ขนลุกเกรียวเย็นวูบไปทั้งตัว
ขณะที่ผมกำลังยืนตัวแข็งอยู่ไกรวิทย์ก็ผละเดินออกไปทางเวทีจัดงานทันที และก่อนที่ผมจะได้ฟื้นคืนสติกลับมา ไกรวิทย์ก็ประกาศออกไมค์ไปทั่วทั้งงานว่าตนขอสละสิทธิ์ในตำแหน่งผู้จัดการแผนก อีกทั้งยังประกาศสนับสนุนให้ผมขึ้นเป็นผู้จัดการอย่างเต็มที่
ผมได้แต่ยืนตัวแข็งก้าวขาไม่ออก ถึงแม้จะคิดเอาไว้บ้างแล้วว่าหากแหวนนี่เป็นของจริงผลมันจะออกมาประมาณไหน
แต่นี่มันเกินความคาดคิดไปเยอะมาก แน่นอนว่าการชิงตำแหน่งในครั้งนี้ผมก็เป็นผู้ชนะได้รับตำแหน่งไปอย่างไร้เงื่อนไข
...
เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการแช่มชื่นปลื้มปริ่มใจกับตำแหน่งใหม่ของตน การได้จิบกาแฟยามเช้าเคล้าไปกับบรรยากาศย้อนยุคสุดโปรดเป็นสิ่งแรกที่ผมมุ่งไปหา
อีกทั้งเจ้าของร้านหนุ่มคนนั้นจะชื่นชมยินดีมากขนาดไหนกันนะถ้ารู้ว่าผมได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ภาพตรงหน้าของผมคือคาเฟ่ร้านเดิมอันคุ้นเคยหากแต่ว่ามีป้ายเล็ก ๆ แขวนอยู่หน้าร้านพร้อมข้อความว่า
‘ปิดกิจการแล้ว’
‘หากแต่ว่าเมื่อคำสั่งสัมฤทธิ์ผลแล้วท่านผู้ถือครองแหวนจะไม่ได้พบพาลผู้ซึ่งถูกประกาศิตสั่งการนั้นอีกชั่วนิจนิรันดร์’
ข้อความสุดท้ายปรากฏผ่านความคิดขึ้นในทันทีนั้นและมันก็ทำให้ผมต้องรีบเร่งพาตัวเองเข้ามายังบริษัท
“ไกรวิทย์อยู่ไหน” ผมถามออกไปอย่างกระหืดกระหอบทันทีที่เข้ามาถึงแผนก
“คุณวิทย์ลาออกไปเมื่อวานนี้แล้วค่ะผู้จัดการ” เสียงใครคนหนึ่งตอบกลับมาอย่างเรียบเฉย
“ลาออก! ทำไมถึงลาออก แล้วเขาลาออกไปอยู่ที่ไหน!” ผมถามต่อเสียงแทบจะเป็นตะโกน
“เอ่อ...ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณวิทย์ไม่ได้บอกอะไรไว้”
“ไปตามหาไกรวิทย์กลับมาให้ผม” ผมออกคำสั่งต่อทันที
“แต่ผู้จัดการคะ นี่ไม่ใช่หน้าที่ของ...”
มือซ้ายอันแข็งแรงและเปี่ยมไปด้วยอำนาจคว้าไปยังไหล่ของหญิงสาวต้นเสียงนั้นก่อนเธอจะทันได้เอ่ยจบประโยค
“ผมสั่งให้คุณไปตามหาไกรวิทย์มา”
“ได้ค่ะบอส”
...
1 ปีต่อมา
จากตำแหน่งผู้จัดการแผนกอันใฝ่ฝันมานานบัดนี้ผมได้ก้าวข้ามขึ้นมาเป็นบอร์ดบริหารของบริษัทแล้วด้วยอำนาจแห่งประกาศิตสั่งการ มันช่วยส่งผมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ไม่ยากนักหากรู้จักใช้มันให้ถูกจังหวะ
ผมใช้มันอย่างปราศจากข้อสงสัยใด ๆ อีกแล้วโดยจำไว้แค่เพียงว่ามันสามารถบันดาลทุกสิ่งที่ต้องการมาได้ก็พอ ผ่านมาจนตอนนี้ผมไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้วแม้กระทั่งข้อแลกเปลี่ยนของแหวน
ใครจะหายไปไหนอย่างไรไม่ได้อยู่ในข้อกังวลใจเลยแม้แต่น้อย เพราะอำนาจและความสำราญอันหอมหวานที่แลกมามันน่าลิ้มลองมากกว่า
ไกรวิทย์นั้นผมไม่เคยได้พบเจอเขาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นและตอนนี้ผมก็ลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยอยากเจอเพื่อนรักคนนี้มากแค่ไหน
ชีวิตผมเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในทุกด้านตามที่เคยวาดฝันไว้ ไร้ซึ่งคู่แข่งใด ๆ ไร้ซึ่งคนต่อต้านขัดขืน หน้าที่การงานใหญ่โตมีอำนาจล้นมือ
เงินทองไม่ขาดมือมีให้ใช้จ่ายอย่างเหลือเฟือ รถหรูในฝันก็ได้มาอยู่ในครอบครองนับไม่ถ้วน ความรักความสัมพันธ์ไม่ต้องพูดถึง ผมมีสัมพันธ์กับสาวสวยแต่ละวันไม่เคยซ้ำหน้าทั้งด้วยอำนาจเงินและอำนาจมนตราแห่งแหวนวิเศษซึ่งไม่เคยมีใครปฏิเสธได้หากผมต้องการ
อำนาจวิเศษนี้สำแดงกับทุกคนรอบตัวเพื่อให้ได้มาคือผลประโยชน์ส่วนตน ใครทำอะไรไม่เป็นที่พอใจก็จะค่อย ๆ หายไปและไม่เคยได้พบเห็นคนนั้นอีกเลย พนักงานในบริษัทจึงผลัดเปลี่ยนคนใหม่อยู่แทบจะทุกอาทิตย์
พอรู้สึกตนหันกลับไปมองผู้คนรอบตัวก็เปลี่ยนหน้ากันไปหมด แทบจะไม่เหลือใครให้ผมคุ้นหน้าอยู่เลยในตอนนี้ ราวกับยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางเมืองที่ไม่รู้จัก
เมื่อหวนนึกถึงอดีตอันแวดล้อมไปด้วยคนคุ้นหน้ากัน คนที่เคยพูดคุยทักทายในทุกเช้า เคยทำงานร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกันมานานนับเป็น 10 ปี
นึกถึงร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ใกล้บริษัทซึ่งปัจจุบันนี้ไม่เหลือภาพเหล่านั้นอยู่อีกแล้ว บางครั้งมันก็ทำให้ใจของผมรู้สึกเหงาพิลึก
เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้นั่งร้านคาเฟ่ทั่วไปแถวบริษัทแล้ว หากแต่ยกระดับตัวเองมานั่งร้านกาแฟสุดหรูกลางห้างดังพร้อมทั้งสั่งกาแฟรสเลิศอันมีราคาแพงหูฉี่ดื่มด่ำเคล้าไปกับเพลงคลาสสิค พลางนั่งปล่อยใจให้เพลิดเพลินชมบรรยากาศร้านที่ตกแต่งอย่างหรูหราทุกรายละเอียด แล้วก็ ณ ร้านแห่งนี้เองที่ทำให้ผมได้เจอกับเธอคนนั้น
เธอเดินเข้ามาในร้านอย่างสง่างาม บุคลิกและการแต่งกายดูดีสะดุดตา เธอนั่งอยู่ยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะผม มันทำให้ผมใจเต้นแรงทันทีเมื่อดวงตาจับภาพนั้นได้ถนัดชัดเจน ผมสีดำสลวยยาวปรกลงมาจนถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามประดับด้วยผิวขาวเนียนตามแบบฉบับที่สาว ๆ ต่างใฝ่หา ดวงตาคมดุดันแต่แฝงรอยอ่อนหวานไว้ข้างใน จมูกเป็นสันรับกับปากบางสีแดงระเรื่อ
“นางฟ้าลงมาอยู่ที่นี่แล้ว” ผมบอกกับตัวเองด้วยใจอันสั่นระรัว
โดยไม่ต้องรีรอให้ใครมาบอก ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปทักทายแม่นางฟ้าของผมทันที
“ชั้นชื่อแอนค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณนัส” เธอทักทายกลับเสียงหวาน จากนั้นผมจึงได้เชิญเธอมานั่งสนทนากันต่อยังโต๊ะของผม
เราทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อกันเอาไว้หลังจากแยกย้ายออกจากร้าน
หลังจากนั้นผมคอยหาโอกาสติดต่อนัดเจอกับเธออยู่เสมอจนไม่นานความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรเราทั้งคู่ได้ตัดสินใจคบหาดูใจกัน
เราทั้งคู่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นไปอย่างราบรื่น
ตอนนี้ผมยอมรับกับตัวเองเลยว่ามีความสุขมากและมันก็เป็นความรู้สึกดีซึ่งยากจะบรรยาย ทั้งยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนที่ผ่านมาแล้วมากมาย เป็นความสุขในแบบที่หัวใจอันด้านชาไม่ได้สัมผัสมานาน
แต่ก็มีอยู่หลายครั้งที่เราทะเลาะกันอย่างรุนแรงเหตุเนื่องมาจากปมหึงหวง หลายครั้งที่ผมอยากจะใช้อำนาจของแหวนออกคำสั่งเพื่อเอาชนะและบังคับให้เธอเชื่อฟัง แต่มันก็เป็นทุกครั้งไปที่ผมหยุดการกระทำนั้นเอาไว้ทัน
ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมตัวเองจึงไม่ลงมือไป แต่หนึ่งเหตุผลที่เชื่อได้เลยก็คือผมรักเธอจริง ๆ ผมไม่อยากเสียเธอไป ผมไม่อยากให้เธอหายไปจากชีวิตดังเช่นผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เคยได้มาและเสียไปเพราะมือซ้ายนี้
จนกระทั่ง...
“ทำไมคุณไม่ฟังชั้นบ้าง ชั้นบอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีสิ!” หญิงสาวตะคอกปัดรำคาญจากการซักไซ้ของชายหนุ่ม
“แต่ผมเห็นคุณไปกับมันบ่อยมาก ยังเคยเห็นจับมือกันเดินด้วย”
“ทำไมเหรอแอน ผมให้คุณทุกอย่างแล้ว ทำไมทำกับผมแบบนี้” ชายหนุ่มยังไม่วายสงสัยตื๊อถาม
“ต้องให้บอกอีกกี่รอบว่ามันไม่มีอะไรทั้งนั้น นี่เธอพูดไม่รู้เรื่องใช่มั้ย!” หญิงสาวตะหวาด
หลังโต้เถียงกันครู่ใหญ่ อารมณ์โทสะทำให้ผมหน้ามืดจนมีการใช้กำลังเล็กน้อยและมันก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุดขณะผมผลักเธอล้มลงไปบนเตียง มือผมประสานกับมือทั้ง 2 ข้างของเธอกดราบลงไปข้างตัว เธอก็เอ่ยประโยคที่ผมไม่อยากจะได้ยินออกมา
“เราเลิกกันเถอะ ออกไปจากชีวิตชั้นซะ!” เสียงนั้นตะโกนแหบแห้งแต่ฟังได้ยินชัด
มันเป็นประโยคอันเสมือนมีดคมแทงปักเข้ายังหัวใจของผมและกรีดซ้ำอย่างไร้ปรานี ใจผมหายวูบราวกับในทรวงอกตอนนี้มันว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว
หยาดน้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่เคยหลั่งมานานบัดนี้มันเริ่มคลอและไหลลงมาอาบแก้ม ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาชนิดไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกดีใจหรือเสียใจหรืออะไรกันแน่
แต่ที่จับได้อย่างชัดเจนคือความรู้สึกโหยหากับหวงแหนไม่อยากจะสูญเสียเธอผู้อยู่ตรงหน้าไป
“ได้ เราเลิกกัน” เป็นประโยคซึ่งผมก็ไม่อยากเชื่อปากตัวเองและแปลกใจว่าทำไมตนจึงพูดแบบนั้น พูดทั้ง ๆ ที่เสียงแหบเครือเกือบจะร้องไห้
อาจจะเป็นเพราะผมรักเธอมากกว่าใคร หวังดีกับเธอยิ่งกว่าใคร อยากให้เธอมีความสุขกว่าใครทั้งนั้น ถึงทำให้ผมเอ่ยออกไปแบบนั้น
เพราะไม่อยากเห็นเธอต้องทุกข์ใจอีกเมื่ออยู่กับผม อยากเห็นเธอยิ้มอย่างเป็นสุขได้แม้ว่าคนที่เธอยิ้มให้จะไม่ใช่ผมก็ตาม…
อาจจะเป็นด้วยความเสียใจ ความผิดหวังหรือความรู้สึกผิดอะไรก็ยากจะบอกถูก แต่มันได้พาผมเดินมายื่นใบลาออกจากบริษัทในวันนี้
ผมได้ละทิ้งหน้าที่การงาน ละทิ้งทรัพย์สินเงินทอง และละทิ้งเมืองเกิดอันคุ้นเคยนี้ไปเสียแล้ว
แหวนสีดำขลับสลักรอบไปด้วยลวดลายพิสดารถูกถอดออกจากนิ้วของชายหนุ่มก่อนมันจะถูกโยนออกทางหน้าต่างของรถประจำทางขาออก
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองไปอย่างช้า ๆ โดยมีชายหนุ่มนั่งกอดกระเป๋าที่วางอยู่บนตักพลางหันหน้าเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย
...
“อ้าวนังแอน นี่เอ็งแอบเอาแหวนวิเศษประจำตระกูลออกไปใช้เล่นอีกแล้วรึ”
“แหมยาย นิด ๆ หน่อย ๆ เอง มีตั้ง 2 วงทำเป็นงกไปได้ ทียายยังให้คนอื่นไปวงนึงได้เลย”
“จริง ๆ เลยเอ็งนี่ ละคราวนี้เอาแหวนไปใช้หักอกใครมาอีกล่ะแม่นางฟ้า”
#kakekung
โฆษณา