8 ก.พ. 2022 เวลา 02:23 • กีฬา
คำพูดทางอินเตอร์เน็ต แม้จะเป็นเพียงตัวอักษร แต่เมื่อโดนตอกย้ำซ้ำๆ เป็นพัน เป็นหมื่นข้อความ อาจทำให้บางคนจบชีวิตของตัวเองได้เหมือนกัน นี่คือเรื่องราวการฆ่าตัวตายของนักวอลเลย์บอลอาชีพที่โดนไซเบอร์บุลลี่จนรับมือไม่ไหว และลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม
1
คิม อิน-ฮย็อก เป็นนักวอลเลย์บอลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเกาหลีใต้ หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยกย็องนัม เขาถูกดราฟต์ตัวเข้ามาเล่นในลีกอาชีพทันที กับทีมซูวอน เค็ปโก้ บิ๊ก สตรอมในปี 2017 ก่อนจะย้ายทีม มาอยู่สโมสรแทจอน ซัมซุง ไฟร์ บลูแฟงส์ ในปี 2020
กับสโมสรใหม่ ในซีซั่นแรก (2020-21) คิม อิน-ฮย็อก ไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงได้ ยิ่งซีซั่นที่สอง (2021-22) ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเขามีอาการบาดเจ็บบ่อย จนได้ลงสนามแค่ 2 เกมเท่านั้น อย่างไรก็ตามเจ้าตัวก็ตั้งใจฝึกซ้อมเสมอ ถ้ามีโอกาสจากโค้ชเมื่อไหร่ ก็จะได้ลงแทนตัวหลักได้ทันที
คิม อิน-ฮย็อก เป็นผู้เล่นที่สูงใหญ่ 192 ซม. หน้าตาก็ดูดี ดูสมาร์ท แต่ปัญหาคือเขาโดนวิจารณ์เสมอว่า "ชอบแต่งหน้า" มาเล่นวอลเลย์บอล กล่าวคือใบหน้าของเขาจะโดดเด้งออกมา แตกต่างจากนักกีฬาชายทั่วๆไป นั่นทำให้ชาวเน็ตเกาหลีใต้สงสัยว่า เป็นนักกีฬาชายประสาอะไร มีการแต่งหน้าแต่งตาเสียด้วย
จากความสงสัย เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการบุลลี่ มีการไปอินบ็อกซ์ถาม คิม อิน-ฮย็อก ว่าเป็นเกย์หรือเปล่า จากนั้นก็เริ่มแซะในประเด็น LGBT พร้อมทั้งมีข่าวลือต่างๆ มั่วซั่วไปหมด เช่น เขาไปทำศัลยกรรมมาจนหน้าไม่เหลือโครงเดิม ตามด้วยการกล่าวหาว่า คิม อิน-ฮย็อก มีแฟนเป็นดาราหนังโป๊ AV
คือถ้าคอมเมนต์ทั่วไปในเว็บบอร์ดก็อาจจะกรณีหนึ่ง แต่ปัญหาคือมีแฟนวอลเลย์บอลที่หมั่นไส้ คิม อิน-ฮย็อก เข้าไปด่าในไดเร็กต์แมสเซจของเขาทางอินสตาแกรมเป็นจำนวนมาก พอโดนเรื่องนี้หนักเข้า ทำให้คิม อิน-ฮย็อก ทนไม่ไหว เขาโพสต์ตอบโต้ในเดือนสิงหาคมปี 2019 ว่า
"นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบมา 10 ปี แต่ผมเหนื่อยเกินไปแล้ว มันรับไม่ไหวแล้ว ขอบอกเลยนะ ว่าผมไม่เคยแต่งหน้าลงแข่ง และผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมมีแฟนเป็นผู้หญิงปกตินี่แหละ และเธอไม่ใช่ดาราหนังโป๊ด้วย"
"ผมไม่เคยติดขนตา ไม่เคยใช้มาสคาร่า ผมแค่ใช้โทนเนอร์กับโลชั่นแค่นั้น ถ้าคุณจะบอกว่าการใช้โลชั่นคือการเมกอัพ แบบนั้นผมก็คงต้องยอมล่ะ"
"ทุกเกมที่ผมลงแข่ง เจอแต่ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอรูปลักษณ์ภายนอกของผม มากกว่าจะสนใจผลงานในสนาม มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องทนอ่านทุกๆ คำ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณต้องการอะไร แต่ได้โปรดหยุดเถอะ"
แม้จะออกมาขอร้อง แต่ชาวเน็ตไม่หยุด มีการขุดรูปภาพของคิม อิน-ฮย็อก มานั่งถกกันว่า แบบนี้คือเมกอัพหรือเปล่า จากนั้นก็ตามด่าทอคิม อิน-ฮย็อกอยู่เรื่อยๆ โดยเน้นแซะว่าเป็น "นักวอลเลย์บอลเกย์" มีการ Make Fun รูปลักษณ์เขาตลอดเวลา จนกลายเป็นเรื่องโจ๊ก
คิม อิน-ฮย็อก โดนโยงด่าสารพัดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำศัลยกรรมจมูกโด่งเกินเบอร์ ตามด้วยวิจารณ์การแต่งตัว และวิจารณ์การเจาะหูนับสิบรูซึ่งไม่เหมือนนักกีฬาชายคนอื่นๆ
1
เอาจริงๆ ที่เกาหลี ก็มีหลายคนที่ไม่สนใจเรื่องบุคลิกภายนอก ขอแค่ทำหน้าที่ตัวเองในสนามได้ดีก็โอเค แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่มีความไม่ชอบใจ เพราะคาดหวังให้นักกีฬาชาย ควรวางตัวตาม Stereotype ที่ดูเข้มแข็ง ไม่แต่งหน้าทาปากแบบนี้
1
คนเรามีขีดจำกัดของความอดทนอยู่ การโดนด่า โดนแซะ เปิดอินเตอร์เน็ตเข้ามาเช็กอินบ็อกซ์ ก็มีแต่คำด่าตลอด ทำให้คิม อิน-ฮย็อก สั่งสมความเสียใจอยู่ภายใน ยิ่งบวกกับสถานการณ์ในสนาม ที่โดนดร็อปกลายเป็นตัวสำรองจนแทบไม่ได้ลงเล่น กลายเป็นแรงบวกให้รู้สึกแย่เป็นสองเท่า
4
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เขาโพสต์เนื้อเพลงลงในอินสตาแกรมของตัวเองมีใจความว่า
"ได้โปรดกอดฉันไว้ อย่าปล่อยให้คลื่นพายุมันกลืนกินฉันเข้าไป ได้โปรดกอดฉันไว้ เขย่าตัวให้ฉันมีสติ อย่าปล่อยให้สายลมแรงซัดฉันจนร่วงกับพื้น ฉันใช้สองมือของฉันคว้ามือเธอไว้ ได้โปรดอย่าสะบัดมือทิ้งไปเลย"
แคปชั่นนี้ก็ดูแปลกๆแล้ว แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เขาเปลี่ยน Bio บนไอจี ด้วยเขียนคำว่า [ 1995.7~2022.2 ] ขึ้นมา
1
โดยตัวเลขข้างหน้า 1995.7 คือเดือนและปีที่อิน-ฮย็อกเกิด (เดือน 7 ปี 1995) ซึ่งหลายคนก็สงสัยว่า ทำไมถึงเขียนเลขตัวหลังขึ้นมา (เดือน 2 ปี 2022) มีนัยสำคัญอะไรหรือไม่
คำตอบมาเฉลยในวันรุ่งขึ้น เพราะในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ อิน-ฮย็อก ไม่ได้ไปซ้อมตามรูทีนปกติ และไม่มีใครสามารถติดต่อได้ นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ของสโมสรไปหาเขาที่บ้าน เพื่อเช็กว่าปลอดภัยดีหรือไม่ ราวๆ ช่วง 15.00 น. โดยคาดว่า อิน-ฮย็อกอาจจะป่วยจนลุกไม่ไหวอะไรทำนองนั้น
แต่สุดท้ายก็ไปเจอว่า อิน-ฮย็อก เสียชีวิตอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว
3
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่าตรวจสอบที่เกิดเหตุทั้งหมดแล้ว ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีการเชื่อมโยงกับการฆาตกรรม ดูแล้วเป็นการฆ่าตัวตายแน่นอน ภายในบ้านมีหลักฐานเป็นจดหมายที่อิน-ฮย็อกเขียน แสดงความเศร้าตัดพ้อชีวิตของตัวเอง
ครอบครัวผู้ตายไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต ยอมรับว่าเป็นการฆ่าตัวตาย และไม่มีการร้องขอชันสูตรศพแต่อย่างใด ตำรวจจึงอนุญาตให้นำร่างมาทำพิธีศพทันที และปิดคดีไปโดยไม่มีอะไรซับซ้อน
1
เรื่องราวชีวิตของนักกีฬา คิม อิน-ฮย็อกก็จบลงตรงนี้ด้วยวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันกลายมาเป็นบทสนทนาให้สังคมเกาหลีใต้ได้พูดถึงในประเด็นไซเบอร์บุลลี่
เพราะก่อนหน้านี้ ในเดือนสิงหาคม 2020 โก ยู-มิน นักวอลเลย์บอลหญิงวัย 25 ปี ก็โดนบุลลี่จนฆ่าตัวตายมาแล้ว
หรือในวงการบันเทิง ก็มีเคสของซอลลี่ จากวง f(x) ที่โดนไซเบอร์บุลลี่จนจบชีวิต เช่นเดียวกับเพื่อนสนิท คู ฮารา จากวง Kara ที่โดนโจมตีในโลกออนไลน์ลักษณะคล้ายๆ กัน รวมถึงยูทูบเบอร์ชื่อดัง Jammi ที่ฆ่าตัวตายหลังโดนบุลลี่ออนไลน์ไปอีกคน
น่าสนใจตรงที่ ทิศทางความเห็นในโลกออนไลน์ที่เกาหลี ไม่ได้เอียงไปทางเดียวกัน แต่แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนมาก คือมีคนที่มองว่าคนฆ่าตัวตายนั่นแหละผิดเอง กับกลุ่มคนที่มองว่าคนไซเบอร์บุลลี่ต่างหากที่ผิด
ฝั่งแรกบอกว่า เมื่อคุณเป็นคนสาธารณะแล้ว มีชื่อเสียง มีรายได้มากกว่าคนอื่น ก็ต้องรับมือกับเสียงวิจารณ์ได้ทุกอย่างสิ ความเห็นหนึ่งในเว็บ Naver ระบุว่า "คนอ่อนแอย่อมพ่ายแพ้ นี่เป็นการคัดสรรจากธรรมชาติหรือเปล่า?"
ส่วนอีกความเห็นหนึ่งบอกว่า "ถ้าคุณไม่อยากเจอคอมเมนต์แย่ๆ คุณก็อย่าออนไลน์สิ แค่นี้คุณก็ไม่ตกเป็นเป้าหมายของคำด่าแล้ว เลิกเล่นไอจี เลิกเล่นยูทูบ เฟซบุ๊ก เลิกให้หมด ก็มีชีวิตอย่างปกติได้แล้ว"
2
กับอีกความเห็นหนึ่งระบุว่า "คุณจะขวางสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกได้อย่างไร เราเป็นประเทศจีน ที่อยู่ใต้การปกครองของสี จิ้นผิงหรอ ที่เกาหลีใต้ใครอยากจะคอมเมนต์อะไรก็คอมเมนต์ไปสิ"
4
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็ตอบโต้คืนว่า ต่อให้เขาทำศัลยกรรม แต่งหน้า หรือชอบเพศไหน ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปแซะเขา ทำไมการให้เกียรติกันมันเป็นเรื่องยากขนาดนั้น การเป็นบุคคลสาธารณะไม่ได้แปลว่าต้องเป็นเหยื่อให้คนด่าทออะไรก็ได้โดยไม่รับผิดชอบแบบนั้น
1
อีกความเห็นบอกว่า ถ้าวิจารณ์กันอย่างสุภาพ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่มาด่าทอกันยับเยินด้วยคำหยาบคาย แถมโยนเรื่องเท็จสารพัดใครมันจะไปรับได้ แล้วจะมาบอกให้เลิกเล่นโซเชียลมีเดียได้ยังไง อย่าลืมว่านักกีฬาหรือนักร้องก็เป็นคนเหมือนกัน ก็อยากมีสังคม มีเพื่อนฝูง อยากลงรูป อยากตั้งสเตตัส โน่นนี่ ควรจะไปห้ามคนด่า แทนที่จะมาบอกคนโดนด่าให้เลิกเล่นอินเตอร์เน็ตดีกว่าไหม
ส่วนอีกคนบอกว่า "นี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายหรอก แต่เป็นฆาตกรรมด้วยพวกคอมเมนต์ไร้สติต่างหาก"
1
สำหรับบทสรุปของเรื่องนี้ ก็คงจะพอวิเคราะห์ได้ว่า การตายของ คิม อิน-ฮย็อก คงไม่ใช่ศพสุดท้าย ที่เป็นเหยื่อจากการโดนไซเบอร์บุลลี่แน่นอน การที่เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในเอเชีย ย่อมมีเหตุผลรองรับอยู่
1
ยิ่งเทคโนโลยีไปเร็วเท่าไหร่ คนที่เป็นเหยื่อของการโดนไซเบอร์บุลลี่ก็เยอะขึ้นเท่านั้น สถิติระบุว่า ที่เกาหลีใต้ในปี 2020 มีคนไปแจ้งความเกี่ยวกับการโดนบุลลี่ในโลกออนไลน์มากถึง 19,388 คดี ซึ่งถ้านับคนที่โดนกระทำแต่ไม่ได้มาแจ้งความด้วยน่าจะมีมากกว่านี้นับเท่าตัว
1
จริงๆที่เกาหลีใต้ก็มีความพยายามจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ บางเว็บไซต์ได้ถอดพื้นที่สำหรับคอมเมนต์ออกไปเลยเพื่อลดความ Toxic แต่ก็ไม่เห็นผลเท่าไหร่ เพราะคนก็ไปคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียอย่าง ไอจี ยูทูบ หรือเฟซบุ๊กได้อยู่ดี
1
รวมถึงเคยมี ส.ส.จะออกกฎหมายชื่อ Sully Act เพื่อให้หน่วยงานรัฐจับ IP คนที่คอมเมนต์อะไรแย่ๆ ได้ แต่สุดท้ายกฎหมายนี้ก็ไม่ผ่านการอนุมัติจากสภา
2
ดังนั้นจึงพอจะบอกได้ว่า ยังไม่มีวิธีการจัดการเรื่องไซเบอร์บุลลี่อย่างเป็นรูปธรรมตอนนี้ ทำได้อย่างดีที่สุดคือการกระตุ้นจิตสำนึกให้เข้าใจว่าการด่าทอคนอื่น แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ก็เป็นเรื่องเลวร้ายเช่นกัน
มีการเปรียบเทียบที่น่าสนใจว่า ในยุคนี้คดีฆาตกรรมทั่วไป ตำรวจยังหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดต่างๆ จนจับคนร้ายได้ แต่การโดนรุมบุลลี่ออนไลน์นั้นไม่เหมือนกัน
1
เพราะคนถูกกระทำจะโดนใครก็ไม่รู้ ใช้แอคหลุมบ้าง ใช้เฟซบุ๊กปลอมบ้าง มาด่าทอวันแล้ววันเล่า จนสุดท้ายเหยื่อบางคนทนไม่ไหวชิงฆ่าตัวตายเอง แล้วแบบนี้จะให้ตำรวจไปหาคนร้ายที่ไหน
1
สุดท้ายแล้วคนที่ด่าอาจจะไม่ได้คิดอะไร จริงเท็จไม่รู้ โพสต์ด่าไว้ก่อนเอามันส์ พอด่าแล้วก็จบ จากนั้นก็ใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป ออกไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ไม่ได้มาใส่ใจกับสิ่งที่ตัวเองพิมพ์ทิ้งไว้
2
ตรงข้ามกับคนที่โดนด่า หลายคนเก็บเอาสิ่งที่โดนต่อว่ามาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น พร้อมตั้งคำถามว่าเราผิดตรงไหน ทำไมถึงต้องโดนแบบนี้ และถ้ามีจิตใจไม่เข้มแข็งพอ เรื่องนี้ก็อาจจบลงแบบโศกนาฏกรรมเหมือนหลายๆ เคสที่ผ่านมา
เพราะคนเราในโลกนี้ มีความสามารถในการรับมือกับคำต่อว่า คำด่าทอ ไม่เท่ากัน บางคนอาจรับมือได้ดี ก็อาจเอาตัวรอดจากสถานการณ์แย่ๆ ไปได้
แต่บางคนอาจไม่เข้มแข็งพอจะรับมือได้ พอโดนคำพูดรุมทำร้าย มันทำให้จิตใจแตกสลายจนไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกแล้ว
2
#CYBERVICTIM
โฆษณา