8 ก.พ. 2022 เวลา 04:58 • ท่องเที่ยว
“เที่ยวห้วยกุ๊บกั๊บ นอนโฮมสเตย์ในวันขึ้นปีใหม่ของเผ่าลาหู่”
เล่าทริป 3 วัน 2 คืนที่ บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ ต.กื้ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ผู้ร่วมทริป เราเอง แฟนเรา และ สามเณร (ไม่ต้องงง ทริปนี้เณรอยากมาเที่ยวด้วย อ่ะ... อยากมาก็มา โยมพี่เลยจัดให้)
(จริงๆ ทริปนี้เป็นทริปล่มจากเดือนมกรา ซึ่งตอนแรกนัดกันไว้7-8 คน สุดท้ายเหลือเท่าเท่านี้แหละ ตัดสินใจ ไปก็ไป จะเลื่อนไป ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเมื่อไหร่)
เริ่มต้นทริปคืนวันที่ 3 ก.พ. จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปถึงเชียงใหม่ประมาณ 4 ทุ่ม แล้วค้างในเมืองก่อน 1 คืน
เช้าวันที่ 4 ก.พ. 65 เริ่มทริปด้วยการไปเลาะคูเมืองหาข้าวซอยกินที่ร้าน “ข้าวซอยบ้านคุณยาย” พิกัดอยู่ตรงข้ามวัดโลกโมฬีรสชาติให้ 8 เต็ม 10 ข้าวซอยเนื้ออร่อยถูกใจมาก ไม่เลี่ยน เส้นนุ่ม เนื้อหอม น้ำลำไยก็หอมอร่อยไม่หวานเกินไป แต่หักคะแนนความหลากหลาย เพราะมีเมนูไม่มาก เพราะอยากกินไส้อั่ว และน้ำเงี้ยวรสชาติอ่อนไปนิดนึง ใครชอบข้าวซอยเนื้อต้องรีบไปหน่อยนะ เพราะสายๆ ก็หมดแล้ว (ร้านเปิด 10.00 น.)
พอกินเสร็จเราก็เดินเท้าไปที่คิวช้างเผือกระยะทางประมาณ 900 เมตร ลัดเลาะคูเมืองไปเรื่อยๆ มองปลา มองรถวิ่งไปวิ่งมาไปเพลินๆ แปปเดียวก็ถึง เพื่อไปขึ้นรถสองแถวสีขาวสายแม่แตง ค่ารถคนละ 27 บาท โดยใช้เวลาเดินทางจากในเมืองไป อ.แม่แตงประมาณ 45 นาที และเมื่อถึงคิวรถที่แม่แตง เราก็โทรให้ “อาโหล” ชาวบ้านห้วยกุ๊บกั๊บมารับ
 
นั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง รถกะบะของอาโหลก็มาถึง (รถมีคอกแหล็ก และมีที่นั่งเป็นไม้กระดานพาดไว้อย่างแน่นหนา) เราเลือกที่จะนั่งกะบะหลัง เพราะอยากได้บรรยากาศเที่ยวแบบเชิงนิเวศ สูดอากาศดีๆ กลิ่นป่ากลิ่นดิน และกลิ่นขี้ช้างของปางช้างสองข้างทางให้เต็มปอด
อาโหลขับรถพาเราเข้าไปทางแม่ตะมาน (ตรงข้ามเป็นสวนสน ที่เด็กๆ ชอบไปถ่ายรูปกัน) ขับไปเรื่อยๆ ทางขึ้นไม่ลำบาก ขึ้นเขาลงเขาไม่ชันมาก รถเก๋ง หรือมอเตอร์ไซด์ขับไปได้สบายๆ ผ่านปางช้างแม่แตง ผ่านรีสอร์ทเยอะแยะ และผ่านแก่งกื้ด ที่เค้าชอบมาล่องแก่งด้วยเรือยางกัน
 
ปล. ถ้าใครเอารถมาเองก็ขับรถมาจอดไว้ที่ อบต.กื้ดช้าง แล้วค่อยนัดชาวบ้านให้มารับตรงนี้ก็ได้ มีค่าบริการฝากคืนละ 50 บาท
อาโหลขับผ่านทางไปเรื่อยๆ จนถึงทางขึ้นหมู่บ้าน ตรงนี้แหละที่เค้าไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขับขึ้นไปเอง เพราะเป็นทางลาดชัน ดินแดงน้ำเซาะ แคบ และออฟโรดสุดๆ แนะนำตรงนี้เลยว่าถ้านั่งกะบะหลัง อย่านั่ง!! เพราะรับรองว่าจุกแน่นอน “ให้ยืน” หาที่ยึดไว้ให้แน่นๆ แล้วย่อเข่าเพื่อให้พลิ้วไหวไปตามแรงกระแทก (เราลองนั่งแล้วตรูดถูไปถูมากับไม้กระดาน ไฟแทบลุก)
ระยะทางช่วงนี้ประมาณ 4 กิโลเมตร โยกไปเยกมา เพราะต้องหลบรอยน้ำเซาะ และทางขรุขระมากๆ ขึ้นเขาสูงชัน และข้างๆ ทางก็มีเหวเป็นระยะๆ สูงขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเหมือนว่าจะสูงที่สุดในย่านนั้น ก็จะเจอประตูหมู่บ้าน ..เห้อถึงซะที
อาโหลขับเข้าไปจอดที่ลานหมู่บ้านเพื่อให้เราพักก้นสักแปป ถือกล้วยมาให้ เราก็นั่งกินกล้วยหวานๆ ชมวิวเขาสุดลูกหูลูกตา เพลิดเพลินกันไป ลักษณะบ้านเรือนที่เห็นเป็นบ้านที่สานขัดกันด้วยไม้ไผ่ รั้วก็ไม้ไผ่ ห้องน้ำก็ไม้ไผ่ อากาศเย็นๆ อุณหภูมิประมาณ 24-25 องศา กำลังดีเชียว แต่แดดแอบร้อนแรงอยู่เหมือนกันนะ แสบตามากๆ เลย ส่วนสัญญาณโทรศัพท์ที่นี่มีบ้างเป็นระยะ เหมือนมาตามลม เพราะฉะนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่ติดโซเชียล
พักกันแปปนึงอาโหลก็พาเราขึ้นรถไปต่อที่โฮมสเตย์ ซึ่งห่างออกไปประมาณ 400 เมตร เราพักกันที่ “อาบูดายา โฮมสเตย์” มี 3 หลัง 2 โซน โซนนึงเป็นโซนบ้านสานฝัน เป็นห้องเดี่ยวนอนได้ 2 คน มีห้องน้ำในตัว มีอาหารเช้า ราคาห้องละ 1500 บาท และอีกโซนเป็นโซนอาบูดายา มี 2 หลังใหญ่ หลังนึงนอนได้ 10 กว่าคน แบ่งเป็นหลังละ 2-3 ห้อง ห้องนึงนอนได้ 4-5 คน มีอาหารเช้าเย็น ห้องน้ำรวม คนละ 700 บาท
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เป็นทริปล่ม ซึ่งตอนแรกเราจะมากันหลายคน เราเลยจองบ้านไว้หลังนึง เราเลยต้องนอนบ้านหลังใหญ่ แบบเหมาๆ กัน 3 คน
เนื่องจากเรามาถึงก่อน อาโหลจึงให้เราเลือกว่าจะนอนบ้านหลังไหน เราเลือกบ้านหลังในสุด เพราะเห็นว่าระเบียงกับห้องนอนติดกันเลย สามารถปูเสื่อนอนเล่นที่ระเบียงได้โดยไม่ตากแดด บอกเลยว่าสวยมากกกก วิวดี เป็นส่วนตัวสุดๆ
นั่งเล่นนอนเล่นกันไปพักใหญ่เพื่อรอให้แดดเบาหน่อย แล้วว่าจะเดินขึ้นไปวัดบนเขา 4 โมงก็แล้ว 5 โมงก็แล้ว แดดก็ยังไม่เบาเลย มันจะจ้าเกินไปแล้ว รอแดดจน 5 โมงครึ่งดูท่าแดดก็ไม่มีทีม่าจะลดลง เลยตัดสินใจว่าไม่รอละ จึงชวนกันเดินเล่นในหมู่บ้านขึ้นไปที่วัดประจำหมู่บ้าน ที่นี่มีพระเจ้าอาวาสมาประจำแค่รูปเดียวก็ได้สนทนากันอยู่สักแปปนึง ฟ้าทำท่าจะมืด (นึกจะมืด มันมืดเลย) เราจึงกราบลา ท่านก็ให้ศีลให้พร พรมน้ำมนต์ให้เสร็จสรรพ
ระว่างเดินกลับก็แวะตรงจุดชมวิวที่มีป้าย เลยแวะถ่ายรูปให้เณรสัก 1 รูป แล้วก็รีบเดินกลับที่พัก ดีที่ยังทันมาดูพระอาทิตย์ตกที่ที่พัก
6 โมงเย็น ทางโฮมสเตย์ก็มาก่อไฟให้ แล้วก็เอาอาหารมาส่งเป็นกับข้าวแบบชาวบ้าน ๆ วางมาในโต๊ะขันโตก มีไข่เจียว น้ำพริกอ่องที่ไม่เหมือนน้ำพริกอ่อง ผัดผัก แล้วก็ต้มจืดใส่มัน แต่เราไม่หยุดเพียงเท่านั้น อากาศแบบนี้มันช่างเหมาะกับหมูกะทะจริงๆ เราจึงสั่งหมูกะทะชุดใหญ่มากิน บอกเลยเยอะมาก ผักก็สดมาก
ฟ้ามืดแล้ว อากาศคืนนี้ไม่หนาวมาก ประมาณ 19 – 20 องศา ถือว่ากำลังดี แต่น้ำเย็นมาก น้ำไฟที่นี่ไม่สมบูรณ์นัก น้ำเป็นระบบปะปาภูเขา ใช้น้ำจากบนเขา สีก็จะขุ่นๆ หน่อย ส่วนไฟ บางบ้านก็มีไฟฟ้า (เปิดให้ใช้ประมาณ 17.00 – 00.00 น.) บางบ้านก็เป็นพลังงานแสงอาทิตย์ และบางบ้านก็ไม่มีไฟฟ้าใช้เลย
กินข้าวเสร็จก็เอาเสื่อมาปูที่ระเบียง ปิดไฟนอนดูดาว ดาวเยอะมากกกกกกก ใกล้เหมือนยื่นมือไปจับได้เลย ยุ๊บยิ๊บๆ เต็มไปหมด ได้เห็นดาวตกดวงนึงด้วย ตกฟิ้วไปเลย สวยมาก จำไม่ได้แล้วว่าเคยเห็นดาวตกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ครั้งนี้เลยประทับใจสุดๆ
สวัสดีเช้าวันใหม่ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565
รีบตื่นออกมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า เปิดห้องหวังว่าจะเจอหมอกแบบในภาพรีวิว แป่วววว มีหมอกนะ แต่มันไม่เหมือนในรีวิว คงเป็นเพราะว่าไม่ใช่ฤดูของมัน ต้องมาประมาณเดือน พย. ธค ช่วงนั้นน่าจะสวยมากๆ แต่ไม่เป็นไรแค่ได้ขึ้นมาเห็นดาวสวยๆ เมื่อคืน มาสูดอากาศดีๆ มาสัมผัสอากาศเย็นๆ และมาเห็นวิถีชาวบ้านที่แปลกตา แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว
อากาศเช้านี้ดีมากกกกก ประมาณ 19-20 องศา สดชื่นเย็นๆ กำลังดี แล้วก็เดินไปกินอาหารเช้าที่โซนบ้านสานฝัน กะว่ากินข้าวเสร็จก็จะไปเดินป่าขึ้นผาสามเหลี่ยม แต่อาโหลบอกว่าวันนี้หมอกบนเขาหนามาก ขึ้นไปก็มองไม่เห็นอะไร สรุปก็เลยไม่ได้ขึ้นเขา กินข้าวเสร็จก็เดินคอตกกลับที่พัก ปูเสื่ออ่านหนังสือนอนเล่นหน้าระเบียง
พอเที่ยงๆ ก็เริ่มรู้สึกหิว เลยพากันเดินไปหาอะไรกินที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน แต่ที่นี่ร้านค้าเยอะนะ มีหลายร้านเลย อาหารกับข้าวก็ไม่ได้แพงมาก ที่แพงคือเครื่องดื่ม แต่เอาจริงๆ ก็จ่ายให้เค้าเถอะ กว่าเค้าจะเอาขึ้นมาได้ สรุปแล้วก็ได้ส้มตำมากินกัน แม่ค้าแถมลาบหมูคั่วมาให้ถุงนึง ถูกปากดีจริงๆ
ลืมเล่าไปว่าวันที่ 5 กพ. นี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ (เขาะเจ๊าเว) ของชาวเผ่าลาหู่ ตลอดทั้งวันทั้งคืน เด็กๆ ก็จะจุดปะทัด โป้งป้างๆ ตลอดทั้งวัน เด็กในที่นี้คือเด็กมาก คือ 5 ขวบก็จุดปะทัด โยนกระจับกันแล้ว โหดมาก
ในวันปีใหม่นี้ชาวบ้านเค้าก็จะเชือดหมูดำ เอาไปไหว้ และแจกจ่ายทำกินกัน แม่ค้าบอกว่า วันปีใหม่เค้าจะไม่ทำงานกันนะ เค้าจะทำกินเฉลิมฉลองกันทั้งวัน ส่วนตอนกลางคืนก็จะมีการเต้นรำแบบชาวลาหู่ กินเล่นกัน 5 วัน 5 คืน
นอกจากนี้ ยังมีการตำ “ข้าวปุก” เป็นการเอาข้าวมาตำ ดังปุกๆ ปุกๆ เราได้ชิมไปเมื่อเช้า ที่โฮมสเตย์เค้าเอามาทอดเสริฟคู่กับนมข้น อร่อยดีเลยทีเดียว กรอบๆ กินเอาอิ่มได้เลยเหมือนกัน
ตกบ่ายก็ไม่ได้ทำอะไร นั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือจบเป็นเล่มๆ แต่อากาศดี เหมือนคลึ้มฟ้าคลึ้มฝน มีเมฆดำๆ ลอยเฉียดไปเฉียดมา อุณภูมิ 26-27 องศา กำลังสบายๆ มีลมพัดไอเย็นมาเป็นระยะๆ ลุ่นว่าฝนจะตกมั้ย
ห้าโมง พระอาทิตย์ยังไม่ทันตก อากาศเย็นขึ้นมาอีกหน่อย แหม่อากาศเป็นใจอีกแล้ว ก็เลยสั่งหมูกะทะมาอีกชุด กะว่ากินไปเรื่อยๆ ระหว่างรอไปดูเค้าเต็นรำกัน กินไปสักแป๊ป ฝนตก โชคดีที่บ้านเราระเบียงมีหลังคายื่นออกมา เลยได้กินหมูกะทะในบรรยากาศฝนตก กินเสร็จ ฝนก็หยุดพอดี อากาศเริ่มเย็นขึ้นมาอีก เลยนั่งผิงไฟต่อรอเวลา 2 ทุ่ม ไปดูเค้ารำกัน
2 ทุ่ม เราก็เดินลงไปที่ลานหมู่บ้าน ได้ยินเสียงกลองเสียงฉาบแว่วๆ เริ่มครึกครึ้นแห๊ะ พอเดินลงไปภาพที่เห็นคือมีชาวเผ่าใส่ชุดประจำเผ่าเค้า แล้วก็เต้นรำกันเป็นจังหวะ พร้อมเพรียง รอบเสาไม้ไผ่ 4 ต้นที่ได้รับการตกแต่ง มีของแขวนๆ อยู่ มองไม่ชัดว่าเป็นอะไร เพราะไฟบริเวณนั้นไม่ค่อยสว่าง เป็นบรรยากาศบ้านๆ นุ่มๆ น่ารักๆ กรุ่นศรัทธา กรุ่นพิธีกรรมเล็กๆ แบบชาวเขา แปลกตา สนุกสนาน รอบๆ วงเต็นรำก็ มีนักท่องเที่ยวยืนล้อมดูอยู่ห่างๆ บางคนก็เข้าไปร่วมวงรำกับเค้า บางคนก็พยายามก้าวขาอยู่กับที่งับจังหวะให้เหมือนต้นแบบ น่าร๊าก
เหมือนเค้าจะเต้นกันเป็นรอบๆ รอบนึงเป็นแบบวัยรุ่น คือใช้กลองคล้ายกลองยาว แล้วก็มีฉาบ อันนี้ครึกครึ้นเร้าใจสนุกสนานมาก ส่วนอีกรอบจะเป็นเครื่องดนตรีเก่าๆ เสียงคล้ายปี่ เป่าโดยคนสูงอายุหน่อย อันนี้ดูนุ่มนวลสนุกเหมือนกัน ได้อารมเย็นๆ ยิ้มๆ ละมุนละไมมาก
เรายืนดูอยู่ครึ่งชั่วโมงได้ เริ่มมีนักท่องเที่ยวัยรุ่นๆ ลงมาจากที่พักมากขึ้น หลายคนเมาแหงมมาแล้ว เสียงดัง คึกคะนอง เราเริ่มรู้สึกไม่ค่อยชอบ แถมเรายังมีเณรน้อยอยู่ด้วย เลยไม่อยากให้เณรอยู่ในบรรยากาศนี้เท่าไหร่ เลยชวนกันเดินกลับบ้านมานั่งผิงไฟ ดูดาวกันดีกว่า นั่งคุยกันรอบกองไฟอยู่สักแปป ก็เข้านอน หลับสบายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ
 
ประมาณ ตี 5 ฝนตกแรงมาก ทั้งลมทั้งฝนแบบพายุมาก สักพักได้ยินเสียงปุกปักๆ เหมือนคนปาหินใส่บนหลังคา คิดว่าน่าจะเป็นลูกเห็บ ลุกขึ้นมาบ้าหอบฟางเก็บข้าวเก็บของใหญ่ เผื่อต้องย้าย เพราะกลัวหลังคาทะลุ แล้วน้ำจะเท แต่ก็แป๊ปเดียวฝนก็เบา โล่งใจ นอนต่อได้
6 โมงเช้า ลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุก เหมือนมีควันขาวๆ ลอดช่องฝาบ้านเข้ามา ตกใจอีก คิดว่าไฟไหม้ สรุปแล้วหมอกบุก!!! เปิดประตูออกมา ขาวโพลนนนนนนนนนนนนไปหมด แต่ก็ไม่ใช่ภาพแบบในรีวิวอยู่ดี 5555แต่ก็มองไปทางไหนก็หมอก ทัศนวิสัยใกล้มาก อุณภูมิตอนนี้น่าจะประมาณ 16-17 องศา แต่ที่สำคัญคือรองเท้าเปียกชุ่มเลย คาดว่าวันนี้ต้องใส่รองเท้าเปียกท่ามกลางอุณภูมิ 16-17 องศา เท้าชากันไป
วันนี้เรามีนัดอาโหลให้พาไปส่งที่คิวรถตอน 9 โมงเช้า เพราะเรามีแพลนจะไปขับรถเล่นในเมือง เลยรีบลงมาหน่อย
จบทริปบนห้วยกุ๊บกั๊บ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมากมาย เพราะไม่ได้เอาพาวเวอร์แบงค์ไป กังวลอยู่แต่กับกลัวแบตหมดแล้วจะไม่มีไฟชาจ
ส่วนทริปในเมืองเชียงใหม่ก็ไม่มีอะไรมาก เราแยกย้ายกับเณร แล้วก็ไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ขับไปหา “ลาบควาย” กิน ค้นดูในกูเกิลเจอร้านเด็ดร้านหนึ่ง ห่างออกไป 10 กิโล แอบไกลเหมือนกันนะ กับแดดจ้าๆ ในเมืองเชียงใหม่ แต่ก็ไหนๆ ก็ไหนๆ มาทั้งทีต้องได้กินลาบควาย ขับรถไปถึง ..หมดแล้วจ้าาาา น้ำตาแทบไหล ก็เลยค้นหาใหม่ว่ากินร้านไหนดี มาเจอ “ร้านลาบหลักปัน” เป็นร้านบ้านๆ ตายายทำลาบ เลยสั่ง ลาบควายดิบ!! ตอนแรกคิดว่าจะกินไม่ได้ สรุป กินได้อร่อยมากด้วย คือตายายน่ารักมาก นุ่มนิ่มตต๊ะต่อนยอนสุดๆ เลยสั่งมาเติมอีกหลายอย่าง อร่อยทุกอย่าง ใครมาย่านนี้ แนะนำเลย ต้องร้านนี้เลย อร่อยมาก คนน้อย แถมยังถูกด้วย
กินเสร็จก็ขับกลับเมืองไปกินกาแฟอาข่าอาหม่า แล้วก็นวดในวัดศรีเกิดคนละ 2 ชั่วโมง นุ่มๆ ผ่อนคลายๆ ได้ยินคนข้างๆ หลับจนกรนไปสองสามครืด
นวดเสร็จก็ขับไปใน มช.ขับวนๆ เล่นๆ รอบอ่างแก้ว เพราะอยากรู้ว่าเด็กๆ เค้าไปทำอะไรกัน นั่งกันจนเย็นแล้วก็พากันขับรถออกไป จะไปกินสุกี้เห็นมีหลายสาขา เราเลยเลือกสาขาตรงแยกสนามบิน ถึงร้านปุ๊บ ..เฉพาะสั่งกลับบ้าน.. เอ๋าาาา แบตก็จะหมด สรุปกินโอ้กะจู๋ จบๆ ไป แล้วก็ขับรถต่อไปสนามบิน คืนรถเรียบร้อย ก็ขึ้นเครื่องกลับ … จบทริปสนุกสนาน ประทับใจทุกๆ อย่าง
แม้บางอย่างมันจะไม่เหมือนกับที่เราคิด แต่ทุกอย่างก็ล้วนเป็นประสบการณ์สนุกๆ ที่ถ้าไม่ทำ มันก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรก็ทำเหอะ เวลามันหมุนไปเรื่อยๆ ชีวิตเราก็เดินไปเรื่อยไม่รออะไรเลยเช่นกัน
R.Titapa
สนุกมาก แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า ..บั๊ย
โฆษณา