9 ก.พ. 2022 เวลา 08:12 • ไลฟ์สไตล์
“ลดละกิเลส เจริญกุศล”
“ … ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนการปฏิบัติให้เรา
ท่านสอนเอาไว้กว้างขวางมาก เยอะแยะ
แต่ธรรมะเพื่อการปฏิบัติสำหรับคนๆ หนึ่ง จริงๆ มีไม่มาก
ท่านสอนคนจำนวนมาก ธรรมะมันก็เลยมาก
เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยไปกราบครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ชื่ออาจารย์มหาเขียน เป็นเจ้าคุณอริยเวทีอยู่วัดรังสีปาลิวัน ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ องค์นี้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เป็นน้องอาจารย์มหาปิ่น ท่านเป็นครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่
ตอนเข้าไปกราบท่าน ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ท่านสงสัยว่าในตำราบอกพระอานนท์จำพระสูตรได้หมดเลย ท่านสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือ พระสูตรมีตั้งเยอะ
ท่านก็เลยลองท่องดู ท่านเป็นมหาเปรียญเหมือนกัน เปรียญ 9 ตอนนั้นท่านก็บอกว่าท่านท่องได้ 30 กว่าเล่มแล้ว ท่องไปถึงอภิธรรมแล้ว
แล้วท่านก็สรุปอย่างหนึ่ง
ธรรมะทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าสอน หรือที่อยู่ในพระไตรปิฎก
ไม่ใช่มีแต่เฉพาะของพระพุทธเจ้า
ของสาวกรุ่นใหญ่ทันพระพุทธเจ้า
บอกธรรมะทั้งหมดทุกข้อเป็นเรื่องของการปฏิบัติทั้งสิ้น
ไม่ได้สอนเพื่อให้รอบรู้อย่างเดียว
แต่ถ้ามองเป็นก็จะพบว่า
เป็นหลักของการปฏิบัติทั้งนั้น หลากหลายมาก
เพราะว่าจริตนิสัยของคนมันแตกต่างกันมาก
ธรรมะที่ต้องแสดงก็เลยเยอะมาก
องค์นี้คนไม่ค่อยรู้จักท่านลืมท่านไปแล้ว เป็นน้องอาจารย์มหาปิ่น อาจารย์มหาปิ่นนั้นรุ่นใหญ่ รุ่นไล่ๆ ตามหลังอาจารย์สิงค์ ขันตยาคโม
อาจารย์สิงห์เป็นลูกศิษย์เบอร์หนึ่ง คนแรกของท่านอาจารย์มั่น หลวงปู่ดูลย์ยังถัดจากอาจารย์สิงห์ลงมานิดหน่อย เป็นกลุ่ม 4-5 องค์ถัดจากอาจารย์สิงห์
ท่านอาจารย์มหาปิ่น น้องชายท่านคืออาจารย์มหาเขียน ท่านมาเจอหลวงปู่มั่น อาจารย์มหาปิ่นมาเจอหลวงปู่มั่น ภาวนา ก็เห็นว่าดีจริงๆ ภาวนาแล้วละความทุกข์ได้จริงๆ ก็ไปชวนอาจารย์เขียนให้มาภาวนาอย่าไปเรียนเลย
อาจารย์มหาเขียนท่านบอกว่าท่านอยากเรียนก่อน จะได้เรียนทั้งปริยัติแล้วไปปฏิบัติ แล้วค่อยปฏิเวธ เอาให้ครบเลย เรียนน้อยๆ ไม่ได้ไม่ใช่นิสัยท่าน แล้วท่านก็บอกถ้าได้เปรียญ 9 แล้วท่านจะออกภาวนา
พอได้เปรียญ 9 ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดสุทธจินดา อาจารย์มหาปิ่นก็ไปทวงสัญญา
ว่าเคยตกลงกันไว้ว่าจะออกภาวนา ท่านก็ลาออกจากตำแหน่งเลย ออกภาวนาจริงๆ
ครูบาอาจารย์รุ่นนั้นท่านเด็ดเดี่ยวจริงๆ
พวกเราเทียบไม่ติดเลย
สวดมนต์นิดๆ หน่อยๆ ยังจำไม่ค่อยจะได้เลย
ไปเจอท่าน ท่านก็สอนว่า
“ธรรมะในพระไตรปิฎกทั้งหมด
ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ ไม่ใช่เพื่อความฉลาดรอบรู้
แต่เพื่อการปฏิบัติทั้งสิ้นเลย”
ธรรมะมันก็มีหลายระดับ ธรรมะของคนที่อยู่กับโลก ก็มีธรรมะมากมายที่จะดำรงชีวิตอยู่กับโลกแบบทุกข์น้อยๆ ไม่ถึงขนาดไม่ทุกข์หรอก เพราะโลกมันเป็นทุกข์ ตราบใดที่ยังอยู่กับโลกก็ยังทุกข์อยู่ แล้วธรรมะระดับสูง เป็นธรรมะเพื่อจะพ้นจากโลก
ทุกวันนี้คนไม่สนใจธรรมะ กระทั่งเรื่องโลกๆ อยู่กับโลกก็ไม่ได้อยู่ด้วยธรรมะ ไม่เห็นคุณค่าของศีลของธรรม
เอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง มองผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ได้รู้จักผลประโยชน์ระยะยาว ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่
หวังผลประโยชน์เฉพาะหน้า ได้เงิน ได้ทอง ได้ตำแหน่ง ได้ชื่อเสียง ได้สมัครพรรคพวก แย่งกัน ชาวโลกก็อย่างนั้นล่ะ ธรรมชาติธรรมดาสัตว์โลกก็เป็นอย่างนั้น หมามันก็กัดกันแย่งเป็นหัวหน้าฝูง ธรรมดา
1
แต่พวกเราชาวพุทธเราไม่ใช่ระดับสัตว์เดรัจฉาน ทำตามสัญชาตญาณอย่างนั้น เราก็รู้จักพัฒนาจิตใจตัวเอง ยังเป็นฆราวาสอยู่ ก็เรียนธรรมะที่เหมาะกับฆราวาส ส่วนธรรมะภาคปฏิบัติถ้ารู้ไว้บ้างก็ดี แล้วลงมือทำไป
หลวงพ่อก็อ่านพระไตรปิฎก แต่ไม่ได้อย่างอาจารย์มหาเขียน ท่านจำภาษาบาลีได้ หลวงพ่ออ่านภาษาไทยแล้วก็เอามาฝึกตัวเอง ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ย่อลงมามันก็มีเท่านี้
ธรรมะมากมายย่อลงมา ก็เหลือที่เราต้องปฏิบัติเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ฆราวาสก็เน้นไปที่ทำทาน รักษาศีล ไม่ได้หยุดแค่นั้น ให้เจริญภาวนาด้วย
ถ้าเป็นพระเป็นนักปฏิบัติจริงๆ เน้นไปที่ศีล สมาธิ ปัญญา เช่นมีศีลฆราวาสก็ต้องมี ฆราวาสเริ่มต้นจากทานก่อน
ทานมีประโยชน์อะไร
บางทีสอนเรื่องทานแล้วก็บอกว่า เป็นอุบายของพระหลอกให้คนทำทาน พระจะได้บริโภคเยอะๆ นี่มองทางวัตถุมากไป
อย่างคนมาทำทานกับหลวงพ่อมหาศาล เยอะมาก ทั้งข้าวของจีวรอะไรพวกนี้ หลวงพ่อก็ใช้อยู่ชุดเดียวนี่ล่ะ ที่เหลือเราก็แจกไป แล้วก็ทำทานต่อไปอีก
การทำทานเป็นการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน
การทำทานนั้นทำไปเพื่อลดละความเห็นแก่ตัว ลดละความตระหนี่ ลดละความเห็นแก่ตัว รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้คนที่ลำบาก ให้สัตว์ที่ลำบาก
ใจที่รู้จักให้มันมีความสุขมากกว่าใจที่อยากได้ ฉะนั้นการทำทานนั้นก็เป็นการพัฒนาจิตใจเหมือนกัน
ไม่ใช่ทำทานแล้วผลประโยชน์มาอยู่ที่พระ พระจะบริโภคอะไรได้เยอะ ฉันข้าวได้อย่างมากก็แค่ไม่เกินเที่ยง ไม่ได้มีมื้อค่ำมื้อดึกอย่างพวกเรา จะกินข้าววันหนึ่งจะกินได้สักเท่าไรเชียว เสื้อผ้าของพระก็มีอยู่ชุดเดียว
เพราะฉะนั้นการทำทานจริงๆ วัตถุประสงค์หลักมันไม่ใช่แค่เพื่อบำรุงรักษา ให้พระมีกำลังที่จะศึกษาสืบทอดศาสนาเท่านั้น คนแรกที่ได้ประโยชน์คือตัวเราเอง
การทำทาน สิ่งที่เราจะได้คือลดความเห็นแก่ตัวลง นี่เป็นเรื่องใหญ่ โลกที่วุ่นวายทุกวันนี้ก็เพราะความเห็นแก่ตัวนี่ล่ะ ไม่มีเรื่องอื่นเลย
บางทีกัดกันเหมือนหมูเหมือนหมา ก็เพราะเรื่องเห็นแก่ตัว ฉะนั้นถ้าเราฝึกตัวเองให้รู้จักให้ อะไรที่เป็นส่วนเกินในชีวิตเรานั้น ให้
ทุกครั้งที่ให้ จิตใจเรามีความสุข ไปสังเกตดูเวลาเราอยากได้ของๆ คนอื่น กับเวลาที่เรารู้จักแบ่งปันให้คนอื่น อันไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน
จิตใจที่รู้จักแบ่งปันมีความสุขมาก แบ่งปันไม่ใช่แค่วัตถุหรอก แบ่งปันความรู้ความเข้าใจ
แต่การแบ่งปันความรู้ความเข้าใจ ก็เหมือนการแบ่งปันวัตถุ จะต้องฉลาดในการแบ่งปัน ไม่ใช่มีอะไรก็แจกๆ ไปเรื่อย คนที่รับอาจจะได้รับโทษไปด้วย
อย่างรัฐบาลถ้าเอะอะอะไรก็แจกเงินๆ ไปเรื่อยๆ หลายประเทศเป็นอย่างนั้น คนไม่ยอมทำงาน คนจำนวนมากไม่ทำงานรอรับสวัสดิการ วันๆ ก็เดินไปเดินมา
หลวงพ่อเคยไปเห็นบางประเทศพวกฝรั่งนี่ล่ะ ไม่ทำงานหรอกเดินไปเดินมาทั้งวัน เราก็ถามคนในประเทศเขาบอกว่าตกงานรัฐบาลเลี้ยง
บางประเทศเลี้ยงกันจนล่มจมเลย ประเทศล้มละลาย จากประเทศที่เคยรุ่งเรืองกลายเป็นประเทศรุ่งริ่งเลย ไปเป็นขอทานในประเทศอื่นๆ เยอะเลย ฝรั่งนี่ อันนี้ได้รับมากไป ได้รับจนเคยตัว
ฉะนั้นเรารู้จักทำทาน ทำทานที่ดีคือทำให้เขาช่วยตัวเองได้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านบอกนี่สำคัญ สำคัญกว่าเอาของไปให้เขาโดยตรงอีก
อย่างเอาข้าวไปให้เขา เอาปลาไปให้เขา สู้สอนเขาแนะนำเขาให้ปลูกข้าว ให้เลี้ยงปลา ทำทานด้วยความรู้ของคนที่เหนือกว่า ไม่ได้ทำให้เขาโง่ลง หรือทำให้เขาขี้เกียจมากขึ้น ฉะนั้นการให้วัตถุมันก็ยังง่าย แล้วก็ต้องมีสติปัญญาด้วย
ให้ที่ดีกว่าให้วัตถุก็คือให้ความรู้เรียกว่าธรรมทาน การให้ความรู้ท่านถือว่าสูงสุด เป็นทานที่สูงสุด คือให้แล้วเขาพึ่งตัวเองได้ เขาช่วยตัวเองได้ ไม่ใช่ให้เพื่อให้เขาพึ่งเราไปตลอดกาล
ถ้าเราช่วยคนแล้วเขาต้องพึ่งเราตลอดกาล ไม่ใช่การช่วยที่ดี จะเกิดความผูกมัดเกาะเกี่ยววุ่นวาย
เรื่องของการทำทานไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องเรียนเหมือนกัน อย่านึกว่าทำทานคือมีของเอาไปแจกอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ ผู้ให้ก็ต้องมีปัญญาด้วย รู้จักให้ของที่ควรให้กับคนที่ควรรับ ไม่ใช่นึกจะให้อะไรก็ให้ส่งเดชไป ให้เมื่อจำเป็นที่จะให้
ที่ให้สำคัญที่สุดคือให้ความรู้เขา ให้เขาช่วยตัวเองให้ได้
อย่างลูกศิษย์มาเรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ให้มาเกาะเกี่ยวอยู่กับหลวงพ่อ บอกอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องเอาอะไรมาให้หลวงพ่อหรอก หลวงพ่ออยู่ของหลวงพ่อได้ ภาวนาให้มากๆ มาเรียนกับหลวงพ่อ ขืนมาติดหลวงพ่อ หลวงพ่อไล่
ใจร้ายไหม ไล่
ใจไม่ร้าย ไล่ให้ไปภาวนา ไม่ได้ไล่ให้ไปลงนรก
จะมาเกาะแข้งเกาะขาออดอ้อน ขอโน่นขอนี่
อันนั้นมันลูกศิษย์ชูชก นักขอทั้งหลาย
ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าพึ่งตนเองให้ได้ เรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อพยายามสอนพวกเราให้พึ่งตัวเองให้ได้ ไม่ใช่พึ่งหลวงพ่อ
อย่างสอนก็บอกวิธีปฏิบัติให้ บอกให้ละเอียดไม่มีใครเขาบอกละเอียดเท่านี้แล้ว อยู่ที่เราต้องเอาไปทำเอา
ประเภทมานั่งตาปรอยๆ มองหลวงพ่อ หลวงพ่อไล่ เสียเวลา ไม่เกิดประโยชน์อะไร
แต่ถ้าพวกอินทรีย์อ่อนจริงๆ หลวงพ่อก็ไม่ไล่ มานั่งดูเราแล้วก็เคลิ้มๆ มีความสุขไป ชาตินี้เขาจะได้แค่นี้ก็ให้เขาแค่นี้ แต่คนไหนมีโอกาสจะได้สิ่งที่ดีกว่านั้น หลวงพ่อไม่ปล่อยไว้หรอก
อย่างพระก็เหมือนกันไม่ปล่อยไว้หรอก ต้องภาวนา ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ วันนี้ยังพึ่งไม่ได้ก็อาศัยครูบาอาจารย์ก่อน อาศัยครูบาอาจารย์เพื่อรู้วิธีปฏิบัติ แล้วก็ลงมือทำเอา
ถึงวันหนึ่งก็พึ่งตัวเองได้ พอพึ่งตัวเองได้แล้ว ก็สามารถเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ต่อไปอีก แบบนี้ศาสนามันถึงจะอยู่ได้
มาผูกพันอยู่กับครูบาอาจารย์อย่างเดียว พอครูบาอาจารย์ตายไป ก็ไปเที่ยวหาครูบาอาจารย์อื่นๆ ต่อไปอีกไปเกาะต่อไปอีก ตลอดชีวิตทำอยู่แค่นั้น มันจะได้อะไรขึ้นมา
ฉะนั้นเราพยายามพัฒนาตัวเองให้ดี ทำทานก็ทำแบบรู้เหตุรู้ผล เห็นอานิสงส์นะ อย่างเราเห็นคนลำบาก เห็นสัตว์ลำบากเราให้ความช่วยเหลือ ให้อาหารเขา ให้ที่อยู่ เห็นเขามีความสุขเราก็พลอยมีความสุขด้วย นี่มีมุทิตาจิต
ต่อไปจิตมันคุ้นเคยที่จะมีมุทิตาจิต
ไปเห็นคนที่เขาดีกว่าเรา
เขามีความสุขมันยังมีมุทิตาจิตได้ ไม่ใช่อิจฉา
ค่อยๆ ฝึกตัวเองจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
อย่างเราไปปล่อยปลา เอาปลาลงไปในน้ำปลาดีใจ ทีแรกถูกขังจะเอาไปฆ่าแล้ว เห็นมันดีใจ มันดีใจเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย ดีใจไปด้วย แต่ก็ต้องมีปัญญา
ทุกวันนี้เราปล่อยปลาแบบเบียดเบียนธรรมชาติ อย่างเอาปลาดุก ปลาช่อน ซึ่งไม่ใช่ปลาเมืองไทยไปปล่อย มันไปกินปลาพื้นบ้านหมด กลายเป็นไปเบียดเบียนสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า
ฉะนั้นอย่างปล่อยปลาไม่ใช่ภูมิใจ ไปซื้อปลาดุกมา 100 โล 1,000 โลไปปล่อย ระบบนิเวศเสียหมดเลย สัตว์เล็กสัตว์น้อยถูกทำลายหมด
สุดท้ายปลาพวกนี้ก็อยู่ไม่ได้ มันไปกินกุ้งกินปลาเล็กๆ อะไรกินหมด จะปล่อยปลาให้ดีก็ปล่อยปลาพื้นบ้าน ถามกรมประมงดู ปลาไทยๆ เดี๋ยวนี้หายาก มันมีแต่ปลาเศรษฐกิจ
เวลาเราทำทานเรามีความสุข แล้วเรามองให้ออกระยะยาวด้วย ทำอย่างไรเขาจะอยู่ได้ ทำอย่างไรสัตว์นั้นจะอยู่รอด จิตใจที่รู้จักให้มันจะพัฒนา
อันแรกเลยมันลดความเห็นแก่ตัว ลดความตระหนี่
อันที่สองมันมีความอ่อนโยน ใจที่รู้จักเกื้อกูลมันจะอ่อนโยน
ใจที่อ่อนโยนใจมันเป็นกุศลง่าย อ่อนแอไม่ใช่ ต้องอ่อนโยน
ใจที่อ่อนแอเป็นอกุศล ใจที่อ่อนโยน นุ่มนวล เป็นกุศล
ฉะนั้นฝึกเป็นการพัฒนาจิตใจขั้นพื้นฐาน พัฒนาด้วยทาน
ใจก็เกิดมุทิตาจิต เคยขี้อิจฉาก็หายไป ลดลง
ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเอง เป็นการพัฒนาใจขั้นต้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
สุดท้ายมันก็มาลงที่การพัฒนาใจทั้งนั้น
ที่อาจารย์มหาเขียนท่านบอกว่า
“ธรรมะทั้งหมดที่ท่านสอนนั้น เป็นไปเพื่อการปฏิบัติ”
ปฏิบัติมันคืออะไร
ก็คือการลดละกิเลส การเจริญกุศล …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
29 มกราคม 2565
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา