10 ก.พ. 2022 เวลา 03:44 • ไลฟ์สไตล์
คาถาหลวงพ่อแขนดำ(๑)
เรื่อง/ภาพ นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว
ชีวิตเด็กๆ และบ้านเรือนริมทางบนดอยไตแลง รัฐฉาน พ.ศ.๒๕๔๙
.
ดูภาพถ่ายและจิตรกรรมโบราณบันทึกภาพ คน “เงี้ยว” หรือคน “ไทใหญ่” สักขาสักแขนจนดำมืดมาก็มาก ขึ้นดอยไตแลงไปทำงานกับทหารไทใหญ่ก็หลายครั้ง แต่ยังเหนียมๆว่าเราเป็นผู้หญิงอยู่บ้างเหมือนกัน ดังนั้น จะไปขอถลกผ้าดูแขนขาของหนุ่มทหารคนไหนๆมันคงไม่งาม ทั้งที่อยากรู้อยากเห็นของจริงนัก ว่า “ลายสัก” มันเรียงตัวเป็นพืดยังไง จึงทำให้ท่อนแขน หรือกระทั่งแข้งขาหนุ่มไทใหญ่ดำ ดำ ดำ เหมือนนุ่งกางเกงรัดรูปฟิตเปรี้ยะทันสมัยถึงอย่างนั้น ทำได้ก็แต่แอบลอบมองลายสักบนแขน บนข้อมือของหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่บนดอยไตแลง พยายามอ่านตัวอักษรโบราณยึกยัก รูปตัวสิงห์ ตัวสัตว์ต่างๆ ที่มองไม่ค่อยออกหรอกว่าเป็นตัวอะไร แต่สิ่งที่ปรากฏชัดเจนก็คือ รอยสักไม่ค่อยมีในทหารไทใหญ่อายุน้อยๆ เพราะถึงบัดนี้ชายหญิงไทใหญ่รุ่นใหม่ ไม่มีใครเขาสักเนื้อตัวกันอีกแล้ว
.
มาได้ประหลาดใจประหลาดตาอีกครั้ง เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ที่ผ่านมา เข้าไปที่วัดหัวฝาย (วัดวาฬุการาม) บ้านหัวฝาย ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบหลวงพ่อพระอธิการกอวิโท โกวิโท อายุ ๘๒ ปี ท่านชราภาพมากแล้ว แต่ยังแข็งแรงสดใส ท่านมีรอยสักดำมืดเต็มแขน สืบทอดประเพณีสักตัวตามแบบฉบับชายไทใหญ่โบราณมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และท่านยังเล่าเรื่องต่างๆ ได้สนุกครื้นเครง เต็มไปด้วยความรู้ทางวัฒนธรรมไทใหญ่อย่างน่าสนใจมากๆ ทำเอาเดินตามหลวงพ่อ นั่งเฝ้าหลวงพ่อ ชวนท่านสนทนาไม่ยอมเลิก จดข้อมูลใส่สมุดมาเป็นปึก ยังหวั่นๆอยู่จนเดี๋ยวนี้ เพราะไม่รู้ว่าวันนั้นไปทำบาปขอท่านเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังซะจนท่านคอแห้งเสียงแหบไปเลยหรือเปล่า
.
มีเรื่องเล่าจากหลวงพ่อที่น่าสนใจอยู่มาก แปดสิบกว่าปีของอายุ ท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทใหญ่หลายสมัย มาตั้งแต่ที่ท่านเริ่มเล่าถึงประวัติชีวิตไว้ว่า
.
“ผมเกิดที่เมืองปางยาง รัฐฉาน ติดชายแดนจีน ปีกระต่าย เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ช่วงที่เกิดยังมีเจ้าฟ้าปกครอง บ้านเมืองไทใหญ่ของเราสงบสบาย พ่อแม่ทำไร่ทำสวน นาไม่ค่อยมีเพราะบ้านเราอยู่บนภูเขา คนทำสวนแถวนั้นเป็นสวนฝิ่น ไร่ฝิ่นซะมาก เราใช้ฝิ่นเป็นยาดี แก้โรคได้หลายอย่าง คนไอไม่หยุด สูบฝิ่น ดมควันฝิ่น จะหยุดไอได้ชะงัด คนเกิดมาร่างกายเป็นตุ่มพุพอง เจ็บอ่อนเพลีย เอาฝิ่นผสมยาให้กินทีละน้อย หรือเผาฝิ่นใส่ผสมยากิน ตุ่มต่างๆจะยุบเลย ฝิ่นเป็นยาดี จะเป็นไข้ ปวดหัว ปวดท้องใช้ยาฝิ่นรักษาได้ทั้งนั้น คนปลูกฝิ่นยุคนั้นจะขายให้พวก(จีน)ฮ่อ พวกฮ่อเอาม้าต่างจากไทยไปซื้อฝิ่น ช่วงนั้นยังไม่มีใครห้ามซื้อขายฝิ่น ยิ่งหลังสงครามญี่ปุ่น การค้าขายฝิ่นรุ่งเรืองเป็นอย่างดี”
.
ครั้นถึงปีพ.ศ.๒๔๘๑ นับเป็นปีที่หลวงพ่อจำได้แม่นยำ เพราะท่านอายุเพียง ๑๑ ปีเมื่อตัดสินใจบวชเณร ด้วยเหตุที่ไม่อยากอยู่บ้าน เนื่องจากได้พบประสบการณ์ทำให้อึดอัดใจอย่างสุดๆ ที่ท่านเล่าว่า
.
“ในบ้านผม ผู้หญิงคลอดลูกบ่อย ผมกลัว ผมเหม็นสาบเลือด ไม่กล้ากินข้าวบ้าน ต้องไปอยู่วัดใกล้บ้าน ชื่อวัดบางแลม ผมไปบวชเณรที่นั่น ได้เรียนภาษาบาลีก็จากที่นั่น จนบัดนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าวัดบางแลมยังมีอยู่ไหม เพราะออกมาจากที่นั่นไม่เคยกลับไปอีกเลยตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๐๙”
โบสถ์วัดหัวฝาย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นตามลักษณะศิลปะไทใหญ่ (ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒)
.
การบวชครั้งนั้น เณรน้อยได้เรียนวิชาใหม่ๆมากมาย ทั้งตัวหนังสือไทใหญ่ ได้เรียนคาถาอาคมหลากหลาย แต่คาถาหนึ่งที่เรียนมาตั้งแต่ก่อนบวช และจำได้แม่นยำคือ การปลุกเสกลูกหิน เพื่อเอาไปฝังนอกบ้าน ศัตรูจะไม่เข้ามารบกวน เวลาไปนอนป่า เอาลูกหินมาปลุกเสก พวกเสือเย็นหรือเสือกินคนจะไม่เข้ามาวุ่นวาย เสือเย็นนั้นเทียบทางไทยคงประมาณเสือสมิง อันหมายถึงคนที่กลายเป็นเสือ หากินทางไล่ล่ามนุษย์เป็นอาหาร แต่ถ้าใครมีคาถาอาคมแข็งแกร่ง จะป้องกันตัวได้ หากไม่มีคาถา หรือคาถาไม่ดีพอ จะกลายเป็นเหยื่อเสือเย็นไปง่ายๆ
.
คาถาที่หลวงพ่อเล่าถึง เป็นคาถาปลุกเสกลูกหินแม่หินไว้ป้องกันอันตราย คาถาเริ่มที่ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วสวด –วีตาส่าคุ คุส่าตาวี คูต๊ะคูภูภู เมื่อปลุกเสกลูกหินเสร็จ ก็เอาลูกหินทิ้งทั้ง ๔ ทิศ ทิศไหนก่อนก็ได้
.
หลวงพ่อให้รายละเอียดว่า คาถานี้อาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งสอนมาตั้งแต่หลวงพ่อยังไม่บวชเณร ถามว่าชายไทใหญ่คนอื่นๆเขารู้จักคาถาเดียวกันนี้บ้างไหม หลวงพ่อตอบว่า คนชายไตถ้านับถือ ปฏิบัติ ขวนขวายหาคาถาต่างๆไว้ป้องกันตัวก็จะรู้ได้ แต่ถ้าไม่นับถือ ไม่ปฏิบัติคาถาก็ไม่อาจคงอยู่ได้หรอก
.
หลวงพ่อยังบอกอีกว่า คนที่จะใช้คาถานี้ มีข้อห้ามสำคัญไม่ให้คาถาเสื่อมคือ คนใช้คาถาห้ามกินอาหารในงานศพโดยเด็ดขาด ถ้ากินอาหารในงานศพ คาถาเสกลูกหินแม่หินจะใช้ไม่ได้ผล คาถาไม่คง ใช้ไม่ได้
.
ถามหลวงพ่ออีกว่า ข้อห้ามของคนใช้คาถา รวมถึงเรื่องห้ามเอาเมียคนอื่นด้วยไหม หลวงพ่อตอบว่า “ไม่” คนเอาเมียคนอื่นใช้คาถาก็ยังคงความขลัง และหลวงพ่อยังบอกอีกด้วยว่า พอไม่ห้ามเอาเมียชาวบ้านด้วยนี่แหละ มันถึงยุ่งกันเยอะ มีเรื่องยุ่งตามมาอีกเยอะ
.
ส่วนเรื่องคาถาใช้ได้จริงแค่ไหนนั้น หลวงพ่อเล่าว่า ตอนหลวงพ่อเป็นเณร เคยไปหาน้องสาว ๒ คนในป่า น้องสาวไปทำสวนฝิ่นในป่าลึกยังไม่กลับ เณรน้อยจึงต้องนอนคอยน้องกลางป่า สบโอกาสได้บริกรรมคาถาใช้เสกลูกหินป้องกันเสือรบกวน คืนนั้นหลับสบาย แต่เช้าขึ้นมาออกไปดูรอบๆ เห็นรอยตีนเสือรอยเบ้อเริ่มมาเดินวนเวียนอยู่หน้าลูกหิน เข้ามารบกวนเณรน้อยไม่ได้ ดังนั้นคาถานี้จึงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าใช้ได้จริง หลวงพ่อเห็นมาจริงๆ ถ้าไม่มีคาถานี้ก็เป็นเหยื่อเสือไปแล้ว
.
ศาลาใหญ่วัดหัวฝาย เป็นที่ให้พุทธศาสนิกชนมาทำบุญและอยู่อุโบสถในทุกวันพระ (ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒)
เล่าเรื่องคาถาเสร็จหลวงพ่อบอกว่า คาถานี้ท่านไม่เคยสอนใครมาก่อน หนูมาถามเป็นคนแรกเลยนะ ทีแรกนึกว่าคาถาจะตายไปกับหลวงพ่อ เพราะคนเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครอยากรู้ ไม่มีใครนิยม
.
ฟังหลวงพ่อแล้วก็เห็นด้วยกับท่านที่ว่า คนยุคนี้ไม่มีใครสนใจคาถานี้หรอก เป็นเรื่องจริงแท้เลยล่ะ ยิ่งในเมืองไทยแล้ว คาถาเสกลูกหินป้องกันเสือหมดประโยชน์โดยสิ้นเชิง ป่าดิบรกทึบยังแทบไม่มีเหลือ แล้วจะไปหาเสือที่ไหนมายืนแกว่งหางร้องโฮกปี๊บ กระโจนกัดคนกินคนได้อีกเล่า มีก็แต่เสือในสวนสัตว์เท่านั้นแหละ นั่งหน้าหงอยๆโทรมๆ แทบไม่สมศักดิ์ศรีความเป็นเสือ ราชาเจ้าป่า ดังนั้นทุกวันนี้ใครอยากดูอยากเห็นเสือไม่ต้องใช้คาถาอะไรหรอก ควักเงินไม่กี่บาทไปซื้อตั๋วเข้าชมได้ก็พอแล้ว
.
แต่ก็ยังมีคาถาอื่นที่หลวงพ่อใช้ประจำเป็นพวกคาถาป้องกันตัว คาถาเมตตามหานิยม หนุ่มไทใหญ่สมัยโบราณโดยมากจะขวนขวายสืบหาความรู้ บ้างเรียนวิชาอาวุธ บ้างหาคาถาไว้ป้องกันตัวอย่างเป็นปกติ เพราะสมัยก่อนหนุ่มไทใหญ่มักรวมกลุ่มกันเป็นขบวนวัวต่าง ม้าต่าง หลายร้อยคนเลยก็มี เดินทางร่อนเร่ไปค้าขายในที่ไกลแสนไกล ไปกันทั่ว คาถาและวิชาอาวุธจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ป้องกันตัวป้องกันทรัพย์สินไม่ให้ใครมาดักปล้นเอาไปได้
รอยสักเต็มแขนของหลวงพ่อกอวิโท ตอนท่านเป็นเณรเคยใช้ชื่อ “กอวิต๊ะ” (ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒)
.
สำหรับหลวงพ่อที่บวชเณรแต่เด็กนั้น เมื่อถึงช่วงสงครามญี่ปุ่น(พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘) หลวงพ่อเล่าว่า “ฝ่ายพันธมิตรเข้ามาเกณฑ์ทหารในหมู่บ้าน ผมโดนเกณฑ์ด้วยแต่ไม่ได้ไป พ่อเอาเงินใส่ทดแทนให้ เพื่อนรุ่นเดียวกันที่ถูกส่งไปรบกับญี่ปุ่นเขาไปรบแถวน้ำจ๋าง มีเรื่องหนึ่งผมยังจำได้พวกทหารญี่ปุ่น เอาข้าว มัน น้ำมัน ใส่หม้อคลุกรวมกันหมด ผมกินไม่ได้ ใคร่ฮาก (อ้วกแตก)
.
ตอนสงครามญี่ปุ่น ผมถูกสักเป็นเครื่องหมายว่าโดนเกณฑ์ทหาร ผมจึงแก้ไขด้วยการสักทับรอยสักนั้นไปเลย จะไปลบรอยสักออก มันทำไม่ได้ เชื่อว่าลบแล้วจะตาย แต่สักยาโบราณทับไปจะช่วยให้แข็งแกร่ง ยิงไม่เข้า ป้องกันตัวได้ คนไทใหญ่ถึงนิยมสักกันมาก”
โฆษณา