10 ก.พ. 2022 เวลา 16:17 • ปรัชญา
วันแห่งความรัก ของ Saya 💌💘 💟
เมื่อช่วงเย็น ตั้งใจจะเขียนนิยายรัก ไปร่วมนิทรรศการวันแห่งความรัก ที่กำลังจะมีการจัดใน BLOCKDIT จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่า ไม่มีอะไรจะเขียน มีเป็นร้อยเรื่อง แต่ท้ายที่สุดมาเจอ ข้อความเกี่ยวกับความรัก ที่เห็นแจ้ง จากเพจมูลนิธิศึกษา และเผยแพร่ในพระพุทธศาสนา เป็นข้อความในกระทู้ ซึ่งคุณ paderm ได้เขียนไว้
ความรักที่แท้คือ การเข้าใจเบื้องลึกของตัวเอง ที่จะไม่สร้างความทุกข์ให้คนที่เรารัก
แล้วก็นึกถึงสิ่งที่ได้พบในผู้คนที่ได้เห็นในที่ต่าง ๆ คำว่า Attachment คือ ความติดข้องกับการพอใจในกามคุณ เป็นสิ่งที่คนเรามักไม่ค่อยรู้สึก หรือบางทีอาจจะรู้ แต่ก็เลือกที่จะเดินต่อไป ปรุงแต่งอารมณ์ ความพอใจที่จะเสพความพอใจดังกล่าวไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่กล่าวมานี้ เป็นการสะสมความเคยชิน ที่จะมีมุมมองผิด ๆ ไปเรื่อย ๆ เหมือนคนเราไปเล่นสนามเด็กเล่นแห่งชีวิต คนเราจึงมักเลือกบางสิ่งหรือบางคนไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ เพราะสบายดี 💑
แต่ในทางตรงข้าม หากเรามองเห็นตัวเอง และละ ลด เลิกในสิ่งเหล่านั้นลง สิ่งที่เติมเต็มขึ้นมาคือ ความเข้าใจในธรรมะ และสะสมกุศลที่จะสร้างปัญญามากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเห็นว่า ชีวิตนั้นมีแง่มุมต่าง ๆ มีศาสตร์ต่าง ๆ ที่สามารถจะปรับเข้ามาใช้กับชีวิต ทำความเห็นด้านต่าง ๆ ให้ตรง หรือ คำว่า ทิฏฐุชุกัมม์
จึงขอนำข้อความที่เป็นประโยชน์ที่ได้อ่านมา เพื่อ วันแห่งความรัก
💌💘💟💑😻
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แสดงไว้ว่า ความรัก ความติดข้อง ความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น 💌💘💑😻
ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน 👑 🤴 👸 🏰
และที่สำคัญ ตัณหาเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง เพราะมีรัก เมื่อยังไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เพิ่มโลภะมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าผิดหวัง หรือพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีตัณหา เมื่อดับตัณหาเสียได้ ทุกข์ย่อมถูกดับไปด้วย 💑😻
โลภะ (หรือตัณหา) เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำให้ไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะที่โลภะเกิด ย่อมมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ทำให้คิดไปในทางที่ผิด การพูดก็ผิด การกระทำก็ผิด ทำให้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์ ขณะที่อกุศลจิตเกิด จึงไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลย ทำให้ไม่รู้ความจริง
แต่โดยนัยตรงกันข้าม เมื่อปัญญาเกิด ย่อมเห็นตามความเป็นจริง แตกต่างจากขณะที่เป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง 💑😻
บุคคลผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้ว ก็ใคร่ที่จะละคลายกิเลสลง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ไม่ละเลยโอกาสของการเจริญกุศลประการต่างๆ สะสมอุปนิสัยในการอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติทุกๆ วันเพื่อละคลายกิเลสของตนเอง 💓
บุคคลประเภทนี้เป็นบัณฑิต ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ ด้วยการเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง สะสมความเข้าใจถูกต่อไป ความดีและปัญญาที่สะสมไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า 💖
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ โลภะก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ผู้ที่จะละโลภะที่กล่าวถึง อันเป็นความรัก ความติดข้องต้องการ ได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องอบรมปัญญาจนกระทั่งบรรลุธรรมถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล เพราะพระอนาคามีไม่มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
และที่จะดับโลภะได้อย่างหมดสิ้นจริงๆ ก็ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น ปุถุชนยังมีความติดข้องเป็นธรรมดา ยังไม่มีปัญญาที่จะละคลาย ก็ยังละคลายยังไม่ได้ แต่ค่อยๆ อบรมปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ เพราะโลภะก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง 💚💙💜
หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาจึงเป็นหนทางที่เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส จนกว่าจะกิเลสจะถูกดับหมดสิ้นไปได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย ก็ขอให้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจ ขณะนั้นก็ได้ขัดเกลาความติดข้องต้องการ ขัดเกลาความไม่รู้ เป็นต้น เนื่องจากว่าขณะที่กุศลจิตเกิด อกุศลย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
โฆษณา