12 ก.พ. 2022 เวลา 00:36 • สุขภาพ
#จะไปต่อหรือพอแค่นี้
1
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาผมรู้สึกล้ามาก เบื่อไปหมด ผมต้องใช้ความพยายามมากในการเริ่มทำอะไรต่างๆ ร่างกายไม่ค่อยมีแรง นอนทั้งวัน แต่ก็หลับๆตื่นๆ ความคิดฟุ้งซ่านกระจัดกระจาย จะเขียนบทความแต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีสมาธิ คิดวนเวียนถึงอดีตที่ผิดพลาดมาแล้ว ผมตัดสินว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ และก็คิดถึงความฝันที่ดูท่าว่าจะไม่มีทางเป็นจริงในอนาคต ผมเริ่มคิดว่าผมจะไปต่อหรือพอแค่นี้กับชีวิต รู้สึกว่าอยากจะจบทุกอย่างลงตรงนี้ ตอนที่ทุกอย่างยังราบรื่นพอจะเรียกว่าสละสลวยสวยงาม
ผมรู้ตัวว่า "ซึมเศร้า" มาอีกแล้ว
ตัวกระตุ้นสำคัญสำหรับผมก็คือ 'สุขภาพที่เสื่อมถอยลง' อาทิตย์ก่อนเคยวิดพื้นได้ 100 ที ดึงข้อได้ 30 ที และออกกำลังกายท่าอื่นๆอีกติดต่อกันหลายวัน ตอนนั้นผมรู้สึกดีมาก ทุกอย่างกำลังไปได้สวย
แต่ช่วงต้นอาทิตย์นี้ผมพบว่ามันมาได้เป็นอย่างนั้น แล้วผมก็ "ดิ่ง"
ฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆใช่ไหมครับ กะอีแค่ออกกำลังกายไม่ได้หนักเท่าเดิม ถึงกับเสีย self คิดไปไกล เรื่อยเปื่อย แต่ 'ซึมเศร้า' ก็เป็นแบบนี้แหละ เรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ผิกหวังในตัวเองมากมายใหญ่โต
มีความทรงจำตอนเด็กๆที่สอบไม่ได้คะแนนเต็มผุดขึ้นมา ตอนนั้นก็จะเป็นจะตายคล้ายๆแบบนี้ ตอนที่เกรดตกตอนเรียนมหาวิทยาลัย พูดไปคนก็คงจะหมั่นไส้ บอกเราว่า เรื่องแค่นี้เอง ไม่ตายหรอก
แต่ประสบการณ์ตลอดชีวิตที่ปลูกฝังผมมาว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" "คุณค่าของชีวิตขึ้นอยู่กับผลการเรียนและการปฏิบัติงาน" "สวัสดิภาพขึ้นอยู่กับผลงานที่สมบูรณ์แบบ" (แปลว่าถ้าไม่ได้คะแนนเต็มหรือไม่สมบูรณ์แบบชีวิตจะไม่ปลอดภัย) ข้อผิดพลาดเพียงเล็กๆน้อยทำให้รู้สึกถล่มทลาย เพราะถ้าไม่ได้คะแนนเต็ม หรือสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้ มันก็แปลว่าความพยายามที่ผ่านมามันไม่มีความหมายอะไร ไม่มีค่าอะไร 'ทุกสิ่งทุก' อย่างล้มเหลว และมันก็ 'แย่ไปหมด'
ผ่านไปอาทิตย์นึง ตอนที่อารมณ์ท่วมท้นเข้มข้นได้ผ่านไปแล้ว ก็พบว่าผมกำลังมี mindset แบบ "ผู้ตกเป็นเหยื่อ" คือ "ทุกอย่างมันแย่ไปหมด" และก็พบว่าเรากำลัง "ขยายผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปดังหวัง" เกินความเป็นจริง ซึ่งตอนที่ความผิดหวังเข้มข้น อารมณ์ท่วมท้นจนแยกอะไรไม่ออก มันมองไม่เห็นว่า เรากำลังมี mindset พวกนี้
วิดพื้นได้ไม่ถึง 100 ทีแปลว่ากำลังล้มเหลวในชีวิต และฉันก็เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ไร้ประสิทธิภาพ พอมาดูตอนมีสติแล้วมันก็ตลกดี ว่าไหมครับ? 🙂 (อะไรจะเวอร์ไปเบอร์นั้น)
จริงๆเรื่องที่อยากจะบันทึกไว้ก็คือ "ผมผ่านมันมาได้อย่างไร?"
ผมพบว่าวิธีที่ผมใช้คือ "ยอมรับมันอย่างที่มันเป็น" ครับ ความรู้สึก ความคิด ความทรงจำ รับรู้มันอย่างเต็มที่มันเป็น ไม่ต้าน ไม่ฝืน สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็น "ประสบการณ์ภายใน" บางทีก็เกิดความคิดที่อยากจะจบทุกอย่างตรงนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ทำตาม ไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงอะไร ผมปล่อยให้มันเป็นอย่างที่มันเป็น ผมเพียงแต่รับรู้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในใจผมบ้าง สนใจใคร่รู้กลไกภายในใจ (internal process) เป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนชีวิตภายนอก เราก็ยัง "กิน นอน ออกกำลังกาย" เหมือนเดิม อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าที่เรา set เป้าไว้สูงลิ่ว แต่ตอนเช้าก็ลุกขึ้นมาเก็บที่นอน (enjoy ความสำเร็จเล็กๆ) ทำกิจวัตรประจำวัน ไปทำงาน (ชมตัวเองเสียหน่อยว่ามาเซ็นชื่อทัน มาถึงที่ทำงานก่อนเวลา เตรียมนั่นเตรียมนี่ให้พร้อม) ช่วงทำงานก็พูดเพราะๆ(ถือว่าได้ "เป็นผู้ให้" คำพูดที่ดี) เที่ยงแล้วหิวก็กิน ทำงานเสร็จมาตอนบ่ายง่วงก็นอน ตื่นมาก็ไม่มีแรงหรอก ก็เลยกินขนมสักสองสามชิ้น แล้วก็ถ่อสังขารไปสวนสาธารณะทุกวัน เล่นหนักๆไม่ไหวหรอก แต่ก็ไปนั่งดูฟ้าดูนก สัมผัสลมเย็นๆ เล่นกับแมว (อยู่กับธรรมชาติ) วิดพื้นห้าที ดึงข้อสามที ยืดเหยียดเล็กน้อย คุยกับคนโน้นคนนี้ ค่ำๆก็กลับบ้าน ก่อนนอน "เขียนขอบคุณ" (ต้องเค้นนิดหน่อย แต่ที่ขอบคุณเสมอคือ เดินทางปลอดภัย ไปไหนมาไหนร้อยเอ็ดเจ้ดน่านน้ำ ยังมีชีวิตรอดจากการจราจรในกรุงเทพจนมาถึงเวลานอน)
มีความคิดที่จะทำโอะไรอย่างอื่นโน่นนี่ เช่น เอา Self esteem maintainance kit ของ Satir มาใช้ อ่านหนังสือเพิ่ม ฯลฯ แต่หัวมันก็ล้า ทำไม่ไหว ก็ปล่อยให้สมองได้พัก เผื่อว่าร่างกายและจิตจะฟื้นฟู ไว้เดี๋ยวตอน "สภาวะภายใน" เราดีขึ้นแล้ว ค่อยกลับมาทำก็ได้ ปล่อยให้สมองอยู่สบายๆ ไม่ต้องรับความกดดันว่า "จะต้องดีขึ้นเดี๋ยวนี้วันนี้" บ้าง หัดอยู่กับความคับข้องใจเสียบ้าง นั่นก็เป็นเรื่องของโลกภายใน ส่วนที่เป็นกิจกรรมในโลกภายนอก ดูแลตัวเอง กินข้าวอาบน้ำแปรงฟัน ทำงาน เราก็ทำของเราต่อไป...เท่าที่ได้
สองสามวันต่อมาผมก็พบว่ามันดีขึ้นนะครับ เลยมีแรงมานั่นเขียนอยู่นี่ไง ฮ่าๆ
***จริงๆถ้าความรู้สึกอยากตายให้มันพ้นๆไปมันรุนแรงแบบคราวก่อนโน้น ผมก็คงไปโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ แต่อันนี้รู้สึกว่ามันเป็นความหดหู่ เบื่อหน่าย ความคิดจะตายไม่ได้เข้มข้นรุนแรงมาก ก็ดูแลตัวเองไปก่อน จริงๆแล้วแม้เราจะมีจิตแพทย์ที่เป็นคนพิจารณาว่า จะให้ยาเรายังไง ทำจิตบำบัดให้เรายังไง แต่การจัดการความคิด ความรู้สึก ก็ยังคงเป็นส่วนที่เราต้องรับผิดชอบเอาเอง และเราก็เรียนรู้ที่จะทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ***
โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า ซึมเศร้าไม่ใช่การตั้งครรภ์ ที่ว่ามีแค่ "ท้อง" กับ "ไม่ท้อง" คลอดแล้วก็จบกัน (สำหรับหลายคนอาจจะเป็นแบบนั้น) แต่ในกรณีของผมก็คล้ายๆจะเป็นความรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ ที่แวะเวียนมาเป็นครั้งคราว และถ้าสังเกตดูเรื่อยๆ ก็จะเห็นตัวกระตุ้นและ pattern พอเห็นบ่อยๆ ก็ดูเหมือนว่าความรุนแรงจะลดลง จัดการสิ่งกระตุ้นซะ (ในที่นีี้คือความคาดหวังต่อสมรรถภาพทางกายที่เกินความเป็นจริง(unrealistic expectation))
รอบนี้ใช้เวลาสามสี่วัน แต่เดี๋ยวผมก็จะกลับไปวิดพื้น ดึงข้อใหม่ครับ อยากหุ่นดีไปถึงตอนอายุ 50 (แน่ะ ความคาดหวังต่อตนเองมาอีกแล้ว ไวมากเลยนะครับ) แต่เาเถอะ มันก็เป็น "การเดินทาง" ดังนั้นก็ต้องมีล้มลุกคลุกคลานบ้างเป็นธรรมดา อาจจะไปไม่ถึงจุดหมายหรอก แต่จะลองอีกแนวนึง ก็คือ enjoy the journey มันมีวันที่ดีและวันที่แย่ แต่ความสำเร็จเล็กๆก็มีเสมอ อย่างน้อยผมก็เก็บที่นอนตอนเช้านะ 🙂
วันนี้เล่าให้ฟังเท่านี้ก่อนนะครับ เริ่มสบายๆเรื่อยเปื่อย ฮ่าๆ
แล้วคุยกันใหม่ครับ
ปล.สรุปว่า "ไปต่อ" นะ 🙂
โฆษณา