Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
TODAY Bizview
•
ติดตาม
14 ก.พ. 2022 เวลา 07:31 • ธุรกิจ
#Knowledge ทำความรู้จัก คำศัพท์ทางธุรกิจคำว่า 'Spin-off' ที่หมายถึงการแยกบริษัทแม่ลูกเพื่อสร้างความเติบโตให้ธุรกิจ แต่คำถามคือมันมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้างไหม? แล้วต้องทำธุรกิจไปจนถึงจุดไหน จึงควรจะคิดถึงการแยกบริษัท?
TODAY Bizview พาไปหาคำตอบกันในบทความนี้ พร้อมยกตัวอย่างทั้งในและต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เห็นภาพที่ครอบคลุมทุกมิติ
[ Spin-off คืออะไร? ]
Spin-off (สปินออฟ) ในอุตสาหกรรมการเงิน หมายถึง การที่บริษัทจดทะเบียนแยกบริษัทลูกให้ออกมาระดมทุนเองในตลาดหุ้น โดยส่วนใหญ่คาดหวังให้บริษัทย่อยที่แยกตัวออกไป สามารถสร้างมูลค่าธุรกิจได้มากกว่าการเป็นบริษัทในเครือ
[ ทำไมบริษัทใหญ่ต้อง Spin-off? ]
การตัดสินใจ Spin-off มีหลายสาเหตุ แต่หากสอบถามไปยังบริษัทจดทะเบียนหรือที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ผู้ช่วยระหว่างกระบวนการ มักได้คำตอบว่า “เพื่ออันล็อกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทลูก” ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่ได้ผิดไปจากข้อเท็จจริง เพราะเมื่อบริษัทเข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้น ก็มักจะถูกเปรียบเทียบความถูกแพงกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้
1
โดยหนึ่งในอัตราส่วนทางการเงินที่มักถูกนำมาใช้เปรียบเทียบความถูกแพงของหุ้น คือ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) หากอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและมีปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก P/E ก็ควรจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
แต่ในบางกรณี เช่น ธุรกิจของบริษัทในเครือมีโอกาสเติบโตดีมาก นักลงทุนก็อาจให้พรีเมี่ยม หรือยอมซื้อขายกันด้วยระดับ P/E ที่แพงขึ้น กล่าวคือ ยอมซื้อขายหุ้นบนกระดานในราคาที่สูงขึ้นจากเดิม แต่ก็ไม่อาจสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้เท่ากับ Spin-off ลูกให้ออกมาระดมทุนเอง
อีกหนึ่งสาเหตุที่บริษัทใหญ่หลายแห่ง ตัดสินใจ Spin-off ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบในช่วงโควิด-19 คือ การลดภาระเงินลงทุนของบริษัทแม่ แม้ว่าในช่วงโควิด-19 หลายบริษัทจำเป็นต้องตุนสภาพคล่องเพื่อรองรับเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่สำหรับบริษัทใหญ่ที่ยังมีความแข็งแกร่งทางการเงินสูง ช่วงวิกฤตถือเป็นโอกาสลงทุนที่ต้องรีบเก็บเกี่ยว
แต่จะเดินหน้าลงทุนด้วยเงินก้อนที่น้อยลง ภายหลังแบ่งเงินไปตุนสภาพคล่องและงบลงทุนให้บริษัทย่อย ก็คงไม่เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกต่อบริษัทแม่มากนัก ดังนั้น หลายบริษัทจึงตัดสินใจส่งบริษัทลูกเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นด้วยตัวเอง เพื่อลดภาระเงินลงทุน
นอกจากนี้ การตัดสินใจ Spin-off ยังอาจมาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น บริษัทลูกมีการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทแม่อย่างสิ้นเชิง ซึ่งสาเหตุที่ Spin-off จะใกล้เคียงกับสาเหตุแรก คือ เพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทลูก รวมถึงการ Spin-off เพื่อให้การบริหารจัดการภายในมีความคล่องตัวมากขึ้น สนับสนุนให้บริษัทลูกโฟกัสกับธุรกิจหลักได้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น
ข้อเสียของการ Spin-off
แม้ว่าการ Spin-off ธุรกิจจะช่วยอันล็อกมูลค่าที่แท้จริง แต่ในกรณีที่บริษัทลูกมีความ “เซ็กซี่” มากกว่า ก็ย่อมส่งผลกระทบให้กระแสเงินทุนไหลออกจากบริษัทแม่ ซึ่งในตลาดหุ้นไทยก็มีอยู่หลายกรณี เช่น กรณีของ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ที่ภายหลังบริษัทลูก บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ราว 1 เดือน (2 ก.ค. – 3 ส.ค.2563) ราคาหุ้นแม่กลับปรับฐานลงประมาณ 10% สวนทางกับราคาหุ้นลูกที่ปรับขึ้นเฉียด 24%
Altria Group กับมูลค่า Spin-off สูงสุดในโลก
เมื่อปี 2551 “อัลเทรีย กรุ๊ป” (Altria Group) ประกาศ Spin-off บริษัทลูก “ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล” (Philip Morris International) เจ้าของแบรนด์บุหรี่ชื่อดัง “มาร์ลโบโร” (Malboro) ด้วยมูลค่าการ Spin-off ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 108 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.6 พันล้านบาท โดยจุดมุ่งหมายของการ Spin-off ครั้งประวัติศาสตร์เพื่อแยกพื้นที่ทางธุรกิจให้ชัดเจนระหว่าง 2 บริษัท โดย Altria จะเป็นผู้จำหน่ายบุหรี่ภายในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ขณะที่ Philip Morris จะเป็นผู้จำหน่ายบุหรี่ให้แก่ผู้สูบทั่วโลก
แม้ว่าในปี 2562 จะมีกระแสข่าวที่ทั้ง 2 บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการกลับมาควบรวมกิจการกันอีกครั้งเพื่อรับมือกับอนาคตของอุตสาหกรรมบุหรี่ที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา “ยาเซค โอลแซ็ก” (Jacek Olczak) ซีอีโอของ Philip Moris ปฏิเสธชัดเจนต่อแนวคิดการควบรวมดังกล่าวผ่านบทสัมภาษณ์กับ Financial Times โดยกล่าวว่า “หากคุณได้หย่าขาดกับภรรยาแล้ว คุณคงไม่ออกไปหาซื้อแหวนหมั้นวงใหม่เพื่อเธอ”
[ ยุคแห่งการ Spin-off ]
กลยุทธ์การ Spin-off ธุรกิจดำเนินมาอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ แต่ช่วงเดือน พ.ย.2564 เกิดปรากฏการณ์ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกประกาศแผน Spin-off ตามกันมาติดๆ เริ่มจาก “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” (Johnson & Johnson) ที่ประกาศ Spin-off ธุรกิจสินค้าอุปโภคกลุ่มดูแลสุขภาพส่วนบุคคล (Consumer Health Products) เช่น แป้งเด็ก น้ำยาบ้วนปาก แชมพู ฯลฯ ออกจากผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมและอุปกรณ์การแพทย์ โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1 ปีครึ่งถึง 2 ปีนับจากวันที่ประกาศ
ด้าน “เจเนอรัลอิเล็กทริก” (General Electric: GE) ผู้ประกอบธุรกิจไฟฟ้าในสหรัฐ ประกาศแผน Spin-off ครั้งใหญ่ โดยจะแยก 3 ธุรกิจย่อยของบริษัท ได้แก่ ธุรกิจการบิน ธุรกิจการแพทย์ และธุรกิจพลังงาน ออกไประดมทุนเองในตลาดหุ้น โดยคาดว่าจะช่วยเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจและช่วยให้บริษัทย่อยสามารถโฟกัสธุรกิจในมือได้ชัดเจนมากขึ้น
เช่นเดียวกับ “โตชิบา” (Toshiba) ที่ประกาศ Spin-off 3 ธุรกิจย่อย ได้แก่ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยคาดว่าการแยกตัวออกมาจะช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างอิสระ รวมถึงช่วยลดต้นทุนของบริษัทแม่ ซึ่งบริษัทจะนำเสนอแก่แผนดังกล่าวต่อผู้ถือหุ้นอีกครั้งในช่วงสัปดาห์นี้ (7-11 ก.พ.2565)
สำหรับประเทศไทย เมื่อต้นปี 2564 กลุ่ม ปตท. (PTT) Spin-off ธุรกิจเรือธง บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เข้าตลาดหุ้น โดยมีจุดมุ่งหมายให้การดำเนินธุรกิจของ OR สามารถทำได้คล่องตัวมากขึ้น รวมถึงคาดหวังให้บริษัทเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดย OR เป็นผู้ประกอบด้วยธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน สถานีบริการน้ำมัน ปตท. และพื้นที่ค้าปลีกภายในสถานีฯ แม้จะเข้าระดมทุนในช่วงที่โควิด-19 ยังระบาดหนัก แต่เป็นดีลที่มีการเตรียมการมานานกว่า 5 ปีแล้ว
ย้อนไปในปีก่อนหน้า กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ประกาศแยก บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ออกมาระดมทุนท่ามกลางโควิด-19 เช่นเดียวกับกรณีของกลุ่ม ปตท. โดยสาเหตุที่ Spin-off เพราะคาดว่าธุรกิจแพคเกจจิ้งจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน จากที่ยอดขายยังเติบโตได้ดีในช่วงโควิด-19 จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับธุรกิจอื่นในช่วงการแพร่ระบาด
ขณะที่ในปี 2565 บอร์ด SCC มีมติอนุมัติ Spin-off อีกหนึ่งบริษัทย่อย บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) โดยหวังนำเงินระดมทุนที่ได้ไปขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ภายหลังจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา งบลงทุนส่วนใหญ่ของ SCC ที่ตั้งไว้ปีละหลายหมื่นล้านบาท ถูกจัดสรรเป็นงบลงทุนให้แก่ SCGC เพื่อใช้ลงทุนพัฒนาโครงการปิโตรเคมีในประเทศเวียดนาม แม้โครงการดังกล่าวจะก่อสร้างไปแล้วกว่า 90% และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2566 แต่บริษัทมีแผนขยายเฟสถัดไปอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเทรนด์ในอนาคตข้างหน้า เชื่อว่าจะมีอีกหลายบริษัทที่ทยอยขยับปรับโครงสร้างภายใน เพราะเมื่อสอบถามไปยังที่ปรึกษาทางการเงินในตลาดหุ้น รายหลายยอมรับว่ามีบริษัทจดทะเบียนเข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับแผน Spin-off เพิ่มขึ้น บางส่วนเข้ามาขอคำปรึกษาเพราะบริษัทลูกมีรายได้และกำไรเข้าเกณฑ์ระดมทุนของตลาดหลักทรัพย์ และบางส่วนเข้ามารื้อฟื้นแผนเดิมที่เคยปรึกษาเอาไว้
#TODAYBizview
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
1
ติดตาม TODAY Bizview จากทีม workpointTODAY
ไม่พลาดข่าวธุรกิจ การตลาด การเงิน เทคโนโลยี
กับเพจ TODAY Bizview
https://bit.ly/3picIeS
ติดตามรายการ TOMORROW เทรนด์สำคัญของโลกเพื่อวันพรุ่งนี้
ทาง YouTube
https://bit.ly/3prjBfI
ติดตามรายการของ workpointTODAY
ทาง YouTube
https://bit.ly/2YDfyiK
ติดต่อโฆษณาอีเมล
advertorial@workpointnews.com
2 บันทึก
5
6
2
5
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย