14 ก.พ. 2022 เวลา 11:05 • ประวัติศาสตร์
เหลียนผอ แม่ทัพเทฒ่า เสาหลักแห่งแคว้นจ้าว
เหลียนผอ แม่ทัพเฒ่า เสาหลักแค้นจ้าว ตอนที่ 1 ลิ่นเซียงหยู นายกรัฐมนตรี ฝีปากกล้า
เหลียนผอเป็นแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นจ้าว ร่วมสมัยกับงักเย ในศึกที่พันธมิตรห้าแคว้นยกไปตีแคว้นฉีโดยมีงักเยเป็นแม่ทัพใหญ่ ต่อมาหลังจากที่งักเยหนีมาอยู่ที่แคว้นจ้าว จ้าวหวางก็มิได้ใช้งานงักเยเท่าใดนัก สมุหนายกแคว้นจ้าวเสียดายงักเย จึงขอน้องสาวเหลียนผอให้สมรสกับงักเยเพื่อมิให้งักเยหนีไปอยู่แคว้นอื่น นี่จึงเป็นความสัมพันธ์กันระหว่างแม่ทัพแห่งยุคทั้งสองคน
283 ปี ก่อน ค.ศ. ชาวนาคนหนึ่งในแคว้นจ้าวขุดพบหยกงามชิ้นหนึ่ง คือหยกเหอซื่อปี้ ซึ่งเชื่อกันว่าได้แทรกแผ่นดินมาแต่แคว้นฉู่เมื่อครั้งที่หยกหาย และจางอี้นักการฑูตแห่งยุค ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย ลิ่นเซียงหยู พ่อตาของผู้พบหยกจึงให้นำหยกนั้นไปถวายแก่จ้าวฮุ่ยเหวินหวาง ความจึงรู้ไปถึงฉินเจาเซียงหวางแห่งแคว้นฉิน จึงส่งสารมาขอหยกแลกกับเมือง 15 ตำบล ซึ่งแท้จริงแล้ว ฉินจาวเซียงหวางถือว่าตนเข้มแข็งกว่า มิได้คิดจะยกเมืองให้อยู่จริง เพียงแต่จะหลอกล่อให้แคว้นจ้าวส่งหยกให้เท่านั้น
ฝ่ายแคว้นจ้าวก็มีขุนนางผู้มีสติปัญญาอยู่ รู้ว่าฉินมาไม่ซื่อ ก็เสนอให้ส่งผู้ที่หลักแหลมไป เพื่อจะได้ดูท่าทีของฉินจาวเซียงหวางว่าจะเอาอย่างไรกันแน่
ลิ่นเซียงหยู จึงถูกแต่งตั้งให้นำหยกเหอซื่อปี้ไปแคว้นฉิน ในฐานะฑูต แต่เมื่อไปถึง ลิ่นเซียงหยูกลับให้ผู้ช่วยรักษาหยกไว้นอกเมืองพร้อมทหารรักษาการณ์ เมื่อได้เข้าเฝ้าและได้รับคำถามถึงหยกจากฉินเจาเซียงหวาง ลิ่นเซียงหยูจึงตอบไปว่า "อันหยกเหอซื่อปี้นั้นอุปมาดังกระทะทองเก้าใบของเมืองหลวง ถ้าใครจะดูแลจับต้องแล้ว ก็ต้องถือศีลนุ่งขาวห่มขาว มิได้กินเนื้อสัตว์สดคาว กินแต่ถั่วงาสาคูถึงเจ็ดวันจึงจะดูแลจับต้องได้ แม้นเมื่อข้าพเจ้าจะเชิญหยกมาครั้งนี้ ก็ต้องถือศีลเจ็ดวันก่อน จึงเชิญมาได้ ถ้าต้องประสงค์จะชมหยกให้ได้แล้ว ท่านจงถือศีลเจ็ดวันก่อน" ลิ่นเซียงหยูแกล้งหน่วงไว้ หวังจะดูท่วงทีกิริยาฉินอ๋อง ฝ่ายฉินอ๋องก็สำคัญว่าจริง จึงถือศีลนุ่งขาวห่มขาวมิได้กินเนื้อสัตว์ กินเจอยู่ถึงเจ็ดวัน
เมื่อครบกำหนดแล้วลิ่นเซียงหยูก็มิได้นำหยกมามอบให้อีก พร้อมทั้งว่า "ซึ่งข้าพเจ้ามิได้เอาหยกเข้ามานั้น ด้วยท่านยังมิได้เอาสิบห้าหัวเมืองมาแลกเปลี่ยน ถ้ามิได้สิบห้าหัวเมืองแล้ว ที่ไหนข้าพเจ้าจะกลับไปได้" ลิ่นเซียงหยูจึงทูลอีกว่า "ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจำจะเอาแผนที่สิบห้าหัวเมืองไปแจ้งแก่จ้าวหวางก่อน จะว่ากล่าวประการใดข้าพเจ้าจึงจะกลับมา ถ้าจะยกสิบห้าหัวเมืองแลกหยกจริงแล้ว จงให้เจ้าเมืองทั้งสิบห้าคนมามอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้จัดแจงให้สิบห้าหัวเมืองไปขึ้นแก่เมืองจ้าว" แล้วข้าพเจ้าจะให้หยกไว้แก่ท่าน
เมื่อลิ่นเซียงหยูว่าขึ้นดังนั้น บรรดาขุนนางก็พากันโกรธ จะเข้ามาฆ่าลิ่นเซียงหยูให้ได้ ลิ่นเซียงหยูจึงว่า "เมืองจ้าวเป็นเมืองน้อยที่จะมาล่อลวงเมืองฉินก็ไม่ถูก ถึงมาตรว่าท่านจะให้จับข้าพเจ้าประหารชีวิตเสีย ชิงเอาหยกไว้ ตัวข้าพเจ้าเป็นแต่ขุนนาง ถูกใช้มาด้วยความเมือง ถึงจะตายอยู่ในเมืองนี้ก็มิได้เสียดายชีวิต แต่ว่ากิตติศัพท์รู้ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงก็จะติเตียนท่านได้ว่าเมืองใหญ่ข่มเหงเมืองน้อย กำลังโลภจะใคร่ได้หยกของเขา จนทูตมาเจรจาก็ประหารชีวิตเสีย" ฉินเจาเซียงหวางได้ยินดังนั้นก็ปล่อยลิ่นเซียงหยูกลับไป แต่คิดว่าต้องหาโอกาสเอาคืน
279 ปี ก่อน ค.ศ. ฉินเจาเซียงหวางยังไม่ลดความพยายามในการที่จะได้หยก จึงส่งสารนัดหมายให้จ้าวฮุ่ยเหวินหวางไปพบที่ตำบลปลายแดน จ้าวฮุ่ยเหวินหวางเมื่อใคร่ครวญดูแล้ว แม้จะรู้ว่า เมื่อไปก็อาจจะถูกจับเป็นตัวประกันบังคับให้มอบหยกให้ แต่เมื่อมีลิ่นเซียงหยูข้างกาย ก็คิดว่าน่าจะรอดกลับมา ก็ตกลงไปตามนัด โดยมีหลี่มู่คุมทหารสามพันคอยระวังอยู่ทางไกลสามสิบลี้
เหลียนผอ นายทหารก็โพล่งขึ้นกลางที่ประชุมว่า "ท่านไปครั้งนี้เหมือนเข้าถ้ำเสือ หากท่านไม่กลับมาภายในหนึ่งเดือน ข้าจะตั้งบุตรท่านเป็นเจ้าเมืองแทน ถึงเมืองฉินจะจับท่านไว้ เมื่อรู้ว่าเรามีเจ้าเมืองใหม่แล้วก็จะปล่อยท่านกลับมา" จ้าวฮุ่ยเหวินหวางกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อรู้ถึงความไร้ค่าของตนในฐานะเจ้าเมือง แต่ก็เห็นว่าเป็นความคิดที่ดี รับปากตามคำเสนอแนะของเหลียนผอ
เมื่อมาตามนัดก็เกิดศึกวัดความยิ่งใหญ่ขึ้น เริ่มจากฝ่ายฉิน ฉินจาวเซียงหวางพูดขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งผยองว่า "ได้ยินว่าจ้าวหวางดีขิมไพเราะนัก ดีดให้ข้าได้ฟังสักครั้งได้หรือไม่" จ้าวฮุ่ยเหวินหวางได้ฟังก็โกรธแต่ต้องจำใจดีด ฉินเจาเซียงหวางหัวเราะแล้วสั่งให้อาลักษณ์มาจดหมายไว้ว่า ครั้งนี้เราได้ฟังจ้าวฮุ่ยเหวินหวางมาดีดขิมที่แดนเมืองฉิน ลิ่นเซียงหยูจึงแกล้งว่ากับฉินอ๋องว่า "ข้าพเจ้าได้ยินเขาว่าเสียงท่านไพเราะนัก ท่านจงเคาะถ้วยแล้วร้องเพลงให้นายเราฟังสักหน่อยจะเป็นไร" ฉินเจาเซียงหวางโกรธจนหน้าแดงไม่ยอมเคาะ
ลิ่นเซียงหยูจึงเอาตะเกียบกับถ้วยไปวางไว้ตรงหน้า แล้วว่า "ท่านคิดว่าท่านเป็นเมืองใหญ่หรือจึงไม่ยอมเคาะ" เหล่าขุนนางฉินโกรธจะเข้ามาจับตัวลิ่นเซียงหยู ลิ่นเซียงหยูตวาดกลับไปด้วยเสียงอันดัง คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ด้วยเห็นว่าฉินอ๋องยังไม่ตรัสสิ่งใด ฉินเจาเซียงหวางเห็นลิ่นเซียงหยูพูดจาแข็งแรงก็กลัวจะแตกหักกันเสียเปล่า จึงเคาะถ้วยได้เพียงครั้งเดียว ลิ่นเซียงหยูก็เรียกอาลักษณ์มาจดหมายไว้ว่า "ครั้งนี้ฉินเจาเซียงหวางทำเพลงถ้วยให้จ้าวฮุ่ยเหวินหวางฟังที่เมืองฉินดีนัก"
ฉินเจาเซียงหวางคิดว่าแม้นไม่สมคะเนก็จะอายแก่หัวเมืองทั้งปวง จึงให้อี้เหรินผู้หลานไปเป็นตัวประกันที่แคว้นจ้าว จะได้เป็นไมตรีกันสนิทจึงจะชอบ ขุนนางคัดค้านว่า "ท่านเป็นเมืองใหญ่มิได้พ่ายศึก เหตุใดท่านจึงจะมาให้หลานไปอยู่ด้วยเล่า" ฉินเจาเซียงหวางจึงว่า "เมืองจ้าวเดี๋ยวนี้เป็นเมืองแข็ง ถึงเราจะไปตีเอาก็ยังหาได้ไม่ เราจึงให้หลานไปครั้งนี้ก็หวังจะให้จ้าวฮุ่ยเหวินหวางสิ้นสงสัย ประการหนึ่ง แม้เราไปตีแคว้นหานเมื่อใด เห็นจ้าวฮุ่ยเหวินหวางก็จะไม่ช่วยแคว้นหาน ด้วยเป็นไมตรีกันกับเรา" ขุนนางก็เห็นชอบด้วย และอี้เหรินตัวประกันผู้นี้เองที่ต่อมาถูกจากรึกในนาม บิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้
เมื่อกลับมาถึงแคว้นจ้าว จ้าวฮุ่ยเหวินหวางได้กล่าวชื่นชมลิ่นเซียงหยูว่าได้ใช้ทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญรอดกลับมาทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ภายหลังถูกนำมาใช้เป็นคำพังเพยว่า "หวานปี้กวุยจ้าว" หมายความว่า การรอดกลับมาทั้งชีวิตและทรัพย์สินไม่บุบสลาย สมัยปัจจุบันยังใช้กับหญิงสาวที่รอดกลับมาจากการถูกฉุดโดยไม่เสียตัวอีกด้วย จ้าวฮุ่ยเหวินหวางจึงแต่งตั้งให้ลิ่นเซียงหยูเป็นสมุหนายก เหลียนผอไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เห็นลูกชาวนาอย่างลิ่นเซียงหยูมาทำงานได้ไม่เท่าไรก็ขึ้นตำแหน่งสูงเช่นนั้น ตนสู้อุตส่ารบตีหัวเมืองได้เป็นอันมาก แต่แพ้ให้กับคนฝีปากกล้าเพียงเท่านี้ จำจะต้องกำจัดลิ่นเซียงหยูจึงจะชอบ ในเลียดก๊กแปลว่า จะฆ่าลิ่นเซียงหยู
จากนั้นไม่ว่าจะไปที่ใด เหลียนผอก็จะพูดจาถากถางรบกวนลิ่นเซียงหยูอยู่เสมอ ส่วนลิ่นเซียงหยูก็จะหลีกเลี่ยงโดยตลอดไม่ตอบโต้ ผู้ติดตามลิ่นเซียงหยูก็โกรธ จึงว่ากับลิ่นเซียงหยูว่า "ท่านเป็นถึงสมุหนายก หาควรที่จะกลัวเหลียนผอไม่ เหตุใดท่านจะไปหาจ้าวฮุ่ยเหวินหวางก็กลัวเขาจะพบ พอพบระหว่างทางท่านก็หลบเสีย เขาคิดทำร้ายท่าน ท่านก็ไม่โกรธ พวกข้าพเจ้าเห็นท่านเป็นใหญ่ เหตุใดท่านจึงทำเหมือนใจผู้หญิงเล่า ข้าพเจ้าทั้งปวงสู้ละบิดามารดามาพึ่งท่าน หมายจะได้มีชื่อก็จะป่วยการเสียเปล่า ซึ่งท่านมาหลบเขาดังนี้ คนทั้งปวงเขาจะมิเห็นว่าท่านกลัวเหลียนผอหรือ" ข้าพเจ้าทั้งปวงมีความอายเป็นอันมาก
ลิ่นเซียงหยูจึงถามกลับไปว่า "เหลียนผอกับฉินอ๋องใครน่ากลัวกว่ากัน" ผู้ติดตามก็ว่า ฉินอ๋องน่ากลัวกว่า ลิ่นเซียงหยูจึงว่า "แต่ฉินอ๋องผู้ใหญ่เรายังไม่กลัว เหลียนผอผู้น้อยหรือเราจะกลัว ซึ่งเราทำทั้งนี้ก็เพราะรักจ้าวฮุ่ยเหวินหวาง ถ้าเราโกรธตอบก็เหมือนเสือต่อเสือเข้าสู้กัน แม้ว่าข้างไหนเสียทีก็คงตายกันไปข้างหนึ่ง อันเหลียนผอผู้นี้เป็นคนมีฝีมือ ตัวเราก็มีแต่สติปัญญา อุปมาดังปีกสองข้างของจ้าวฮุ่ยเหวินหวาง แม้นปีกนั้นหักเสียข้างหนึ่งก็จะพาจ้าวฮุ่ยเหวินหวางไม่มีความสบาย ซึ่งเราทำทั้งนี้ด้วยหมายว่าจะดีกับเหลียนผอ จะได้ช่วยกันทำนุบำรุงจ้าวฮุ่ยเหวินหวางกับราษฎรให้เป็นสุขสือไป" เหล่าผู้ติดตามได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับรับว่าประเสริฐแท้ ๆ
เรื่องนี้เข้าหูจ้าวฮุ่ยเหวินหวางทุกประการ จ้าวฮุ่ยเหวินหวางรู้ดังนั้นจึงให้หาตัวเหลียนผอเข้ามาก็เล่าความซึ่งลิ่นเซียงหยูพูดกับผู้ติดตามให้เหลียนผอฟัง เหลียนผอจึงว่า "ข้าพเจ้าผิดเองจะต้องไปขอขมาลิ่นเซียงหยูจึงจะชอบ"
เมื่อออกมา เหลียนผอก็แต่งตัวเหมือนคนโทษเอาไม้หวายผูกหลังไป ครั้นมาถึงก็เข้าไปคำนับแล้วว่า "ข้าพเจ้าผิดเอง ซึ่งท่านไม่ถือโกรธนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าว่าเกินเลยไว้แต่หลังจงขออภัยเสียเถิด" ลิ่นเซียงหยูจึงว่า "เราก็เป็นขุนนางด้วยกัน เมื่อท่านรู้สึกตัวว่าผิดแล้วก็แล้วไป เราไม่ถือโทษ" ต่อมาคนทั้งสองก็สมัครรักใคร่กันโดยดี การกระทำของแม่ทัพใหญ่ครั้งนี้ถูกจดบันทึกใน
ประวัติศาสตร์ว่า "ฟู่จิงฉิ่งจุ้ย" แบกหนามรับโทษ เป็นการกระทำที่ผู้ทำผิดยอมรับโทษไม่กลัวเสียหน้า แม้จะมีอายุมากกว่า แต่เห็นแก่บ้านเมือง และอีกฝ่ายก็ยินยอมประณีประนอมด้วยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เมื่อคนสำคัญทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊เข้ากันได้ดีเช่นนี้ก็เป็นที่อุ่นใจของจ้าวฮุ่ยเหวินหวาง เพราะช่วงนั้นแม่ทัพไป๋ฉีแห่งฉินกำลังอาละวาดทั่วแผ่นดิน โจมตีแคว้นฉู่จนต้องย้ายเมืองหลวง ยึดเว่ยได้อีกสองเมืองในปีถัดมา ทั้งช่วงหลังจากนั้น ฟ่านซุย ผู้มีสติปัญญาจากแคว้นเว่ยก็ได้เข้าทำงานกับฉินอ๋อง ส่งผลให้ฉินเข้มแข็งขึ้นไปอีก จ้าวจึงต้องระวังภัยจากฉินขึ้นอีกเท่าตัว เหลียนผอ ในฐานะของเสาหลักแคว้นจ้าวจะทำอย่างไรกับศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ติดตามตอนต่อไป
อ้างอิง
- เลียดก๊ก ฉบับแปลไทย ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ.2362
- เลียดก๊ก ฉบับคนรุ่นใหม่ โดย สุขสันต์ วิเวกเมธากร
โฆษณา