16 ก.พ. 2022 เวลา 13:48 • การศึกษา
สวีเดน ประเทศที่เคยยาก
สู่ประเทศที่คุณภาพชีวิตสูงในปัจจุบัน
2
เมื่อพูดถึงสวีเดน หลายคนคงมองภาพความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น
รัฐสวัสดิการที่ดีเยี่ยม มีระบสาธารณูปโภคที่ครบครัน บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน อากาศดี เป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นต่ำ อันดับต้นๆ ของโลก
แต่รู้ไหมว่าในอดีต สวีเดนเคยเป็นประเทศยากจนมาก่อน..
แล้วทำไมประเทศนี้ถึงก้าวข้ามมาเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลก ในหลายๆ ด้านได้ ไปหาคำตอบพร้อมกัน..
1
พื้นที่สวีเดน ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียน ทางยุโรปเหนือ ติดกับทะเลบอลติกทางทิศตะวันออก ประเทศนอร์เวย์ และฟินแลนด์
สวีเดนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนอร์ดิก ที่ประกอบไปด้วย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน
2
ก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนสวีเดนในปัจจุบัน คือ “ชาวนอร์ส” ซึ่งดำรงชีพด้วยการทำประมง
ในศตวรรษที่ 7 และ 8 การค้าทางทะเลของสวีเดนค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นในจุดเล็กๆ จนกลายเป็นที่รู้จักในแถบสแกนดิเนเวีย แต่ในศตวรรษที่ 9 ชาวไวกิงบุกเข้าไปยังพื้นที่แถบนี้ และส่วนอื่นๆ ของยุโรป
รัฐอิสระของสวีเดนเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 และหลังจากนั้นในศตวรรษที่ 14 เกิดการระบาดของกาฬโรคครั้งใหญ่ คร่าชีวิตชาวสแกนดิเนเวียไปกว่า 1 ใน 3 มิหนำซ้ำยังเจอการรุกรานทางการเมืองและเศรษฐกิจจาก “กลุ่มฮันเซอ”
ซึ่งฮันเซอคือการรวมกลุ่มของพ่อค้าทางทะเล ที่ถือกฎหมายเป็นของตนเอง มีการสานสัมพันธ์อันดีกันในเครือข่าย เพื่อสร้างฐานอำนาจในการทำการค้า และอำนาจทางการเมืองแบบย่อมๆ
ข้ามมาถึงยุคกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5-15 สวีเดนรุ่งเรืองจากการส่งออกเหล็ก ทองแดง และไม้ชั้นนำของยุโรป
พอมาถึงยุคใหม่ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปี 1945 การขนส่งและคมนาคมในยุโรปสะดวกสบายขึ้น มีการใช้รถม้า ก่อนจะพัฒนามาเป็นรถยนต์เชื้อเพลิงดีเซลโดยครอบครัวเบนซ์ และพัฒนาอากาศยานโดยสองพี่น้องไรซ์ ส่งผลให้การค้าไม้ และแร่เหล็กในสวีเดน เติบโตมากกว่าที่เคย
ศตวรรษที่ 17 สวีเดนขยายอำนาจและอาณาเขตด้วยสงคราม จนกลายเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป
เศรษฐกิจสวีเดนเวลานี้ มีการเปลี่ยนเศรษฐกิจจากการค้าแร่เหล็ก ไม้ และประมงเป็นหลัก มาสู่เกษตรกรรมและกสิกรรมส่วนตัว ซึ่งแม้จะเป็นการพึ่งตนเอง แต่เมื่อมีการพึ่งตนเองมากไป ก็ไม่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเชื่อมต่อการค้ากับนานาประเทศได้มากนัก
นอกจากนี้ ผลผลิตทางการเกษตรมักได้น้อย เนื่องจากอยู่ในประเทศที่มีอากาศหนาวจัด ส่งผลให้ทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการบริโภค ตามมาซึ่งเศรษฐกิจสวีเดนเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ
ในช่วงนั้นเสือแห่งสแกนดิเนเวียเจอเข้ากับวิกฤติหนัก ประเทศร่ำรวยกลายเป็นประเทศยากจนในสายตาของชนชาติอื่น
จนทำให้ประชากรเริ่มหันหลังให้กับบ้านเกิด เลือกคุณภาพที่ดีกว่าให้กับชีวิตตนเอง ผู้คนหลั่งไหลออกนอกประเทศ ซึ่งปรากฏการณ์นี้อาจเรียกได้ว่า “สมองไหล”
มีการสำรวจในปี 1850 ถึง 1890 ชาวสวีเดนนับล้านคนย้ายไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา
หลังจากนั้น สวีเดนพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เปลี่ยนให้มีการค้าขายเพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อทางการค้าทั้งในและนอกประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการผลักดันระบบการศึกษาและเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ อากาศยาน ยา เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาวุธ
1
เมื่อพูดถึงความมั่นคง สวีเดนเสียพื้นที่ส่วนหนึ่งไป ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่ประเทศฟินแลนด์ ในปี 1814
นับจากนั้นมา สวีเดนก็ไม่เคยเข้าร่วมสงครามอีกเลย แม้แต่สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามเย็น แม้จะเป็นชาติที่อยู่ใกล้กับกลุ่มสมาชิกนาโตก็ตาม
อย่างไรก็ดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้สวีเดนจะไม่เลือกข้าง แต่ก็ยังได้รับผลประโยชน์จากการค้าลูกปืน และไม้ขีดไฟ รวมไปถึงอาวุธสงครามต่างๆ
เมื่อสวีเดนไม่คุ้นเคยกับมหันตภัยทางสงคราม คนสวีเดนก็มองโลกในแง่ดีเสมอมา กลางทศวรรษ 1990 กองทัพสวีเดนที่ไม่รู้จักกับสงครามมาเป็นร้อยปี ได้ปรับลดกำลังพลทั้งหญิงและชายจากกองทัพบก เรือ และอากาศ จนเหลือเพียง 30,000 เศษ
1
ในปี 2010 ยังได้มีการประกาศยกเลิกการเกณ์ทหาร ด้วยเหตุผลว่าสิ้นเปลืองงบประมาณ และไร้ความจำเป็น เพราะไม่ได้อยู่ในสภาวะภัยคุกคาม แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนไม่เห็นด้วยเพราะระแวงถึงสถานการณ์ความขัดแย้งจากประเทศใกล้ตัวอย่างรัสเซีย จอร์เจีย และยูเครน จึงต้องมีการกลับมาใช้การเกณฑ์ทหารอีกครั้งในปี 2017 โดยใช้วิธีอาสาสมัคร
1
ภัยคุกคามจากภายนอกดูเหมือนจะเป็นเพียงทฤษฎีในตำรา เพราะในประเทศ สวีเดนยังต้องเผชิญกับภัยอาชญากรรม โดยเฉพาะแก๊งตามเมืองต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มสาววัยประมาณ 20 ปี ที่พักอาศัยอยู่ในย่านอันตราย และคลุกคลีกับยาเสพติด
1
มาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจและสังคมของสวีเดนในยุคปัจจุบัน
ข้อมูลปี 2020
GDP สวีเดนอยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท
GDP ต่อหัวอยู่ที่ 1.6 ล้านบาทต่อปี
โดยประชากรสวีเดนเท่ากับ 10 ล้านคน
ด้วยความที่ประชากรในสวีเดนไม่มาก ส่งผลให้การบริโภคทรัพยากรในประเทศเหลือต่อการส่งออก ทำให้สวีเดนพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก อีกทั้งยังมีพื้นที่ติดกับทะเลเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้การเป็นเมืองท่ามีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์แล้ว
ผู้เขียนได้กล่าวไปข้างต้นว่า ในศตวรรษที่ 19 สวีเดนพึ่งพาตนเองเรื่องการทำเกษตรกรรม ซึ่งหลักจากวิกฤติการเงิน จนเกิดเป็นภาวะสมองไหล อุตสาหกรรมขั้นสูงก็เข้ามาแทนที่ จนอุตสาหกรรมการเกษตรของสวีเดนคิดเป็นเพียงร้อยละ 2 ของ GDP
และระบบรัฐสวัสดิการที่ใครๆ ต่างก็ยกยอสวีเดน ทั้งในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคดีเยี่ยม ระบบคมนาคมดีเยี่ยม บ้านเมืองสะอาด โดยมีการบริหารจัดการขยะที่ดี
รู้ไหมว่าขยะที่สวีเดนต้องฝังกลบมีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นจากทั้งหมด และปริมาณขยะส่วนที่เอาไปผลิตไฟฟ้ายังไม่เพียงพอจนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ส่วนระบบการศึกษา สวีเดนได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลปฏิบัติต่อสถาบันรัฐและเอกชนอย่างเท่าเทียม ทำให้ค่าเทอมของเอกชนไม่สูงจนเกินไป และนักเรียนสวีเดนจะได้รับอาหารเช้าและกลางวันฟรี
แต่ทั้งหมดนี้ต้องแลกมาด้วยอัตราภาษีที่สูง ตัวอย่างของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงถึง 50-60% ของเงินได้ ซึ่งชาวสวีเดนไม่ให้ความสนใจกับตัวเลขเหล่านี้สักเท่าไหร่นัก ถามว่าเพราะอะไร ?
คำตอบก็คือ มันคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป ยังไงล่ะ..
ปกติแล้วประชากรหลายประเทศจะไม่ชอบสรรพากร แต่ไม่ใช่กับสวีเดน สแกตเตอเวอเก็ต (Skatteverket) หรือเทียบกับกรมสรรพากรในบ้านเรา ทำหน้าที่ในการเก็บภาษีประชาชนทั้งผู้ที่เกิดในสวีเดน หรือผู้อพยพเข้ามา
แต่ไม่ได้มีหน้าที่แค่จัดเก็บภาษีเท่านั้น แต่ยังดูแลชีวิตชาวประชากรตั้งแต่เกิด เจ็บป่วย ไปจนถึงการตาย หน่วยงานนี้จึงมีความสำคัญและมีขนาดใหญ่มาก ทั้งในแง่ของจำนวนเจ้าหน้าที่และอำนาจการควบคุมพลเมือง
ที่สำคัญคือ สแกตเตอเวอเก็ตเป็นองค์กรที่ชาวสวีเดนให้ความไว้วางใจและพึงพอใจในผลงานมากเป็นอันดับ 5 เนื่องจากผู้ใช้บริการต่างก็มั่นใจว่าบริการขององค์กรเป็นไปอย่างยุติธรรม สะดวก รวดเร็ว เป็นมิตรต่อประชาชนที่มาใช้บริการ และมีบริการออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ
ที่สำคัญชาวสวีเดนไม่มีแนวคิดต่อต้านการเก็บภาษี แต่พวกเขาพร้อมใจที่จะจ่ายภาษีแพงๆ เพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตที่ดีที่ได้จากรัฐสวัสดิการ
เงินภาษีของคนสวีเดนถูกจัดเก็บแบบอัตราก้าวหน้า หรือใครมีรายได้มากก็จ่ายภาษีมาก และภาษีส่วนใหญ่จะจัดเก็บโดยท้องถิ่นก่อน เงินส่วนที่เหลือจากผู้มีรายได้สูงจึงค่อยแบ่งไปให้รัฐบาลระดับชาติ โดยผู้มีรายได้ราว 440,000 สวีดิชโครนต่อปี จะต้องเสียภาษีประมาณ 30-33% ให้กับท้องถิ่น
ทั้งนี้ อัตราภาษีขึ้นอยู่กับเขตปกครองท้องถิ่นที่ผู้เสียภาษีอาศัยอยู่ในขณะนั้น หากผู้เสียภาษีมีรายได้มากกว่า 440,000 แต่ไม่เกิน 640,000 สวีดิชโครนต่อปี จะต้องเสียภาษีระดับประเทศอีก 20% ส่วนบุคคลผู้มีรายได้เกิน 640,000 สวีดิชโครนต่อปี ต้องเสียภาษี 25%
ที่สำคัญคือผู้ที่จ่ายภาษีมากที่สุด ไม่ใช่คนรวย แต่เป็นชนชั้นกลาง แต่ไม่ว่าใครจะจ่ายมากจ่ายน้อย ทุกฝ่ายต่างได้รับการศึกษาและสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน
แต่อย่างไรก็ดี แม้ชาวสวีเดนจะมีชีวิตที่ดีจนลืมว่าตัวเองเสียภาษีไปเท่าไหร่ แต่มันก็มีข้อเสียตามมาคือการให้ความรู้ในเรื่องกลไกทางเศรษฐศาสตร์ ที่ชาวสวีเดนจะไม่ค่อยรับรู้เรื่องของนโยบายทางการเงินสักเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่ส่วนน้อยเท่านั้น
และการแก้ปัญหาที่ทำให้ชาวสวีเดนสามารถรับรู้เรื่องเหล่านี้ คือความโปร่งใสทางการเงิน แม้จะเป็นประเทศคอรัปชั่นต่ำอันดับ 3 ของโลกก็ตาม และมันจะดีมากหหากความโปร่งใสเกิดในทุกพื้นที่ของโลก
เรื่องโดย : เรื่องโดย : ธนวัฒน์ ศรีจินดา
╔═══════════╗
ไม่พลาดบทความสาระดีๆ ที่ Reporter Journey ตั้งใจสร้างสรรเพื่อผู้ติดตามทุกท่าน อย่าลืมกดติดตามเพจ ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
╚═══════════╝
.
ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
โฆษณา