17 ก.พ. 2022 เวลา 17:45 • ปรัชญา
ข้อคิดจากสัตว์ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิล
ตั๊กแตน : การเชื่อฟังสร้างพลังที่แข็งแกร่ง
ความสามัคคีนั้นจะเกิดผล เมื่อเป็นผลพวงมาจากความเชื่อฟัง
“ในสุภาษิต อพยพ 10:14 ฝูงตั๊กแตนต่างแห่กันเข้าสู่แผ่นดินอียิปต์และเกาะอยู่บนพื้นดินทั่วเขตแดนอียิปต์ มันรุนแรงมาก ไม่เคยมีตั๊กแตนมากมายขนาดนี้มาก่อน และหลังจากนี้ก็จะไม่มีมากเท่านี้อีก”
ในอพยพบทที่ 10 จะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าสั่งฝูงตั้กแตนให้เข้าทำลายล้างอียิปต์เหตุเพราะฟาโรห์ไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลเดินทางกลับไปดินแดนคานาอัน
ตั้กแตนที่ตัวเล็กน้อยเท่านิ้วมือ แต่เมื่อมันรวมฝูงกันก็กลับกลายเป็นภัยพิบัติการลงทัณฑ์จากพระเจ้าเมื่อพระองค์สั่ง
เราคริสเตียนอาจจะกำลังสงสัยว่าเพียงแค่เราจะ ‘เปลี่ยน’ โลกที่กำลังเสื่อมทรามลงไปทุกวันนี้ได้จริงหรือ?? แต่หากเราย้อนกลับไปมองฝูงตั๊กแตน เราจะเห็นว่าทุกสิ่งนั้นเป็นไปได้ในนามของพระเจ้า
ดังนั้น จงอย่าสงสัยที่จะเชื่อฟัง แต่จงมุ่งหน้าไปตามหนทางแห่งพระประสงค์อย่างไร้กังวล
ความสามัคคีที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรา ถ่อมใจ และเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่จะได้ดังใจเราไปเสียทุกอย่าง หากเราให้ความเห็นชอบต่างๆอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง คือ พระคำของพระเจ้า และยอมทำในสิ่งที่ถูกใจท่านแต่อาจขัดใจเราบ้าง
แต่มนุษย์นั้นมีสมองมากกว่าตั๊กแตนพวกเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือ ต้องทำตามคำสั่งอย่างเดียวหรือ ความฉลาดนั้นไร้ค่า ในสายตาพระเจ้าหรือ?
ความฉลาดนั้นมีค่า เมื่อ มาพร้อมกับความถ่อมตน ถ่อมใจ
ฉลาดในฐานะผู้รับใช้ ไม่ใช่ในฐานะเจ้านายของคนอื่น
คนโง่ที่แบ่งปันข้าวให้ผู้อดอยาก ย่อมทรงคุณค่ากว่าคนฉลาดที่ต่อสู้เรื่องความอดอยากในขณะที่ไม่
เคยแบ่งปันอะไรให้ใครเลย
การกระทำใดที่ไม่ขัดกับคำสอน และไม่ล่วงละเมิดคำสั่งของพระเจ้าเป็นสิ่งที่คริสเตียนสามารถกระทำ บนพื้นฐานความรัก
เพราะพระเจ้าคือพลัง ทำให้ผลของความสามัคคีนั้น ยิ่งทรงพลัง
ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอเมื่อพระเจ้าอนุญาต
ในกันดารวิถีบทที่ 13
ตอนที่โมเสสสั่งให้คนของเขาไปสอดแนมดินแดนคานาอัน
“ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะยกให้พวกเขาชาวอิสราเอล”
และเมื่อในบรรดาคนเหล่านั้นกลับมาก็บอกว่า
ดินแดนพวกนั้นอุดมสมบูรณ์มากเลย แต่ประชาชนน่ะตัวใหญ่มาก พวกเราสู้มันไม่ได้หรอก
33 : พวกเราเห็นชาวเนฟิลที่นั่นด้วย (ลูกหลานของอานาคก็มาจากเนฟิล) พวกเรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตั๊กแตน และพวกเขาก็เห็นเราเหมือนตั๊กแตนด้วย”
คนอื่นๆก็หวาดกลัว ร้องห่มร้องไห้ รวมทั้งโมเสสและอาโรน
มีเพียงโยชูวากับคาเลบ ที่เสนอให้ต่อสู้เพราะเชื่อในคำสัญญาของพระเจ้า แต่คนอื่นๆกลับจะเอาหินปาพวกเขาให้ตาย
พระยาห์เวห์โกรธที่เห็นเช่นนั้นและพูดกับโมเสสว่า
“พวกนี้จะดูหมิ่นเราไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาจะไม่ไว้ใจเราไปอีกนานแค่ไหน ทั้งๆที่เราได้แสดงการอัศจรรย์มากมายให้พวกเขาเห็นแล้ว
เราจะให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงกับพวกเขาและเราจะทำลายพวกเขา และเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าคนพวกนี้
แต่โมเสสก็ได้ร้องขอการอภัย และพระเจ้าก็เปลี่ยนไปลงโทษให้พวกเขาต้องทนอยู่ในถิ่นทุรกันดารโดยไม่มีโอกาสได้เหยียบคานาอัน มีเพียงโยชูวาและคาเลบที่ได้เข้าไปในดินแดนตามพระสัญญา
พระเจ้ากำลังบอกอะไรกับเราในการจัดการกับชาวยิวที่หวาดกลัวเช่นนี้
พระเจ้ากำลังบอกพวกเราว่า
การดูถูกตัวเองก็เหมือนกับการดูหมิ่นพระเจ้า
เพราะ เมื่อพระเจ้าบอกว่าได้ จะไม่คำว่า “ไม่” เด็ดขาด
เพราะการมองว่าตัวเองขาดซึ่งคุณค่า ก็ไม่ต่างกับการมองว่าพระสัญญานั้นไม่มีจริง
เราปฏิเสธตัวเอง ก็คือการปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
จงยำเกรงพระเจ้า และเชื่อโดยไม่ตั้งข้อสงสัยในความยิ่งใหญ่ของพระองค์
อย่าดูถูกคริสตจักรว่า อ่อนแอ ว่าเล็กน้อย ว่าเป็นแค่ส่วนเล็กๆของสังคม
เมื่อพระองค์บอกว่า บุกตะลุยไป ประกาศออกไป พูดออกไป เราคือทางนั้น นอกจากเราแล้วไม่มีทางอื่น
ก็จงทำตามนั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำในฐานะคริสเตียน
อย่าได้เอามาใส่ใจถ้าใครจะมองว่างมงาย เพราะเรางมงายในความจริง
มาร่วมมือรับใช้อย่างเชื่อฟัง อย่างทรงพลัง
ให้เหมือนกับฝูงตั๊กแตนที่ถล่มอียิปต์จนราบคาบ อาเมน
คำถามท้ายบทเรียน
1.เคยมีการงานไหนที่พี่น้องคิดจะทำแล้วสงสัยว่ามันจะสำเร็จจริงหรือ พี่น้องทำอย่างไรกับความรู้สึกนั้น (เลิกทำ/ก้มหน้าทำต่อไปอย่างขาดสันติสุข/ทำบ้างไม่ทำบ้าง หรือ อื่นๆ)
2.พี่น้องคิดว่าทุกวันนี้พี่น้องได้ทำอะไรบ้างเพื่อรับใช้เพื่อแสดงออกว่าพี่น้องเชื่อฟังโดยที่ไม่ได้แค่พูดแต่ทำมันจริงๆ
3.เคยรู้สึกแย่และโทษตัวเองบ้างไหม แล้วผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาอย่างไร พระเจ้าช่วยอย่างไร
4.การงานใดบ้างที่พี่น้องเห็นชัดที่สุดในโบสถ์ของเรา ที่สำเร็จจากความสามัคคีของทุกคน
โฆษณา