19 ก.พ. 2022 เวลา 01:00 • สิ่งแวดล้อม
หมาป่าสีเทา ในสหรัฐได้รับการคุ้มครองอีกครั้ง
‘หมาป่าสีเทา’ กลับมาอยู่บนเส้นทางสู่การฟื้นฟูดูแลอย่างที่ถูกที่ควรอีกครั้ง
โดยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ศาลรัฐบาลกลาง สหรัฐอเมริกา ได้ฟื้นฟูกฎหมายคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์สำหรับหมาป่าสีเทาใน 44 รัฐ กลับมาบังคับใช่ใหม่
หลังองค์กรอนุรักษ์ อาทิ Human Society of the United States, EarthJustice และอีกหลายองค์กรร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาล
ผลพิจารณาอธิบายว่าฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย โดยการถอดรายชื่อ ‘หมาป่าสีเทา’ ออกจากรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์
ในปี 2020 ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ตัดสินใจอย่างร้ายแรงโดยเพิกถอนหมาป่าสีเทาออกจากรายชื่อ โดยไม่ได้สนใจข้อมูลการทางวิทยาศาสตร์เท่าที่ควร
รวมถึงข้ออ้างที่ว่า บทบัญญัติฉบับนี้กระทบต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ขุดเจาะ และป่าไม้
ทำให้เกิดความยุ่งยากในขั้นตอนการขออนุญาต เสียเวล่ำเวลาทำมาหากินนานเกินไป
พลันเมื่อชื่อของหมาป่าสีเทาถูกถอดออกจากรายชื่อสัตว์ที่ต้องอนุรักษ์ ไม่นานนักการ ‘สังหารหมู่’ ก็เกิดขึ้นในทันที
เช่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 รัฐวิสคอนซินได้เปิดให้มีการล่าหมาป่าครั้งใหญ่ ทำให้สายพันธุ์ที่สง่างามนี้ถูกสังหารไปมากถึง 200 ตัว (อย่างไร้ความปราณี) ภายในเวลาเพียง 3 วัน
ส่วนที่รัฐไอดาโฮและมอนแทนาได้ใช้นโยบายสุดโต่ง เพื่ออนุญาตให้พรานสามารถสังหารประชากรหมาป่าได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนที่มีอยู่ในรัฐ
ก่อนการเกิดพระราชบัญญัติสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ‘หมาป่าสีเทา’ เคยถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ จนเหลือประชากรเพียงไม่กี่พันคนใน 48 รัฐตอนล่าง
ปี 1940 ที่รัฐบาลกลางอนุญาตให้มีการล่าหมาป่าครั้งใหญ่ มีขึ้นเพื่อปกป้องสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม
ขณะเดียวกันเหตุการณ์ยังซ้อนทับกับห้วงนาทีที่ประชากรหมาป่ากำลังเหลือน้อยเพราะสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย จากการบุกรุกพื้นที่ทำการเกษตร และขาดแคลนเหยื่ออย่างกระทิงอเมริกันที่ถูกมนุษย์ล่าไปมากเช่นกัน
จนในอีก 30 ปีต่อมา จึงมีกฎหมายคุ้มครองหมาป่าเกิดขึ้น
การฟื้นฟูจำนวนประชากรหมาป่า หรือการอนุรักษ์สายพันธุ์นี้ คือ การสร้างสมดุลที่ดีให้กับโลก
กรณีศึกษาที่น่าสนใจเกิดขึ้นในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ที่ไร้ซึ่งเงาของหมาป่าเป็นเวลายาวนานถึง 70 ปี จนกวางป่าเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างทวีคูณ
ฝูงกวางจำนวนมากเที่ยวเทะเล็มพืชพรรณเสียจนอุทยานแห่งแรกของโลกแทบจะเหลือเพียงแค่ชื่อ
และไม่ว่าคนเราจะหาทางจัดการอย่างไร ก็ควบคุมจำนวนกวางไม่ได้สักที
ในที่สุดเราก็ถึงบางอ้อว่าควรเอาหมาป่ามาปล่อยคืนดีกว่า (ปี 1995) เพื่อให้ธรรมชาติทำหน้าที่ดูแลรักษาสมดุลของมันเองเหมือนกันดังเดิม
ในตอนแรกได้เอาหมาป่าจากแคนาดามาปล่อยไว้ 14 ตัว
แต่หมาป่าเพียงแค่ 14 ตัว กลับสร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายมหาศาล
มากกว่าแค่เรื่องหมาป่าช่วยกินกวางเพียงอย่างเดียว
ทันทีที่มีหมาป่าเข้ามา พวกกวางเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าไม่อาจใช้ชีวิตชิลๆ ได้เหมือนก่อน สัญชาติญาณการเอาตัวรอดถีบให้พวกมันต้องรู้จักหลบเลี่ยงหมาป่าให้เป็น
แต่เพราะอย่างนั้นจึงเปิดโอกาสให้ต้นไม้ในหลายพื้นที่ได้ฟื้นฟูตัวเอง จากที่โล่งเตียนก็เริ่มมีแมกไม้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
และเหมือนดังกลไกอัตโนมัติ ยิ่งป่าฟื้นตัวมากเท่าไหร่ สัตว์อื่นๆ ก็กลับมาใช้ประโยชน์ในป่ามากขึ้นเท่านั้น
นกเริ่มอพยพเข้ามา เช่นเดียวกับพวกบีเวอร์ ก็ตามมาตัดกิ่งไม้ลงไปสร้างเขื่อนในแม่น้ำ ทำให้นากมีที่หากิน เป็ด ปลา สัตว์สะเทือนน้ำสะเทือนบกก็กลับตามมา
หมาป่ายังฆ่าไคโยตี้ ทำให้จำนวนกระต่ายและหนูเพิ่มขึ้น
เมื่อสัตว์เล็กเพิ่มขึ้น สัตว์ผู้ล่าขนาดกลางก็กลับตามมาอีกพวก ไม่ว่าจะเป็นเหยี่ยว วีเซิล จิ้งจอก แบดเจอร์ หรืออินทรีหัวขาว
สุดท้าย เรื่องที่น่าสนใจมากที่สุด คือ เพียงหมาป่าแค่ 14 ตัว ได้เปลี่ยนพฤติกรรมให้กับแม่น้ำ จากที่เคยไหลบ่าแรงก็เริ่มเบาลง การกัดเซาะก็ลดน้อยลง เกิดแก่ง วังวนน้ำมากขึ้น ป่าฟื้นฟู ฝังรากลงพื้นยึดริมฝั่ง การพังทลายก็ลดลง แม่น้ำจึงไหลเปลี่ยนไปตามร่องอย่างเข้ารูปเข้ารอย
ตอบสนองการทำหน้าที่ของหมาป่าที่ได้ไล่กวางออกไปจากริมฝั่งแม่น้ำ
#IsLIFE #GreyWolf #Extinction
อ้างอิง
EarthJustice : https://bit.ly/3gXP43V
Sustainable Human : https://bit.ly/1fpWu6C
Photo : Thomas Bonometti l unsplash.com
โฆษณา