19 ก.พ. 2022 เวลา 07:50 • ท่องเที่ยว
Jalan Pattani จาลัน ปาตานี
“ปาตานี” (Patani) หรือที่ในภาษามลายูถิ่นออกเสียงว่า “ปตานี” ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่ผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูมุสลิมและเป็นพื้นที่ของความขัดแย้ง
พื้นที่ความขัดแย้ง คำนีักั้นให้เราเจอกันช้าไป
บางทีก็ใช้คำว่า พื้นที่สีชมพู คือไม่แดง ไม่แรง ออกแนวละมุนและหวานขึ้นอีกนิด
จะอะไรก็ตามแต่ใครจะนิยาม แต่คำแทนที่ชั้นรู้จักปัตตานี วันนี้มีครบเครื่องเรื่องเรียนรู้ ศาสน์ ศิลป์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและวิถีกินอยู่อย่างมลายู
ประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคอาณาจักรปาตานีอันรุ่งเรืองเมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่แล้ว ก่อนที่จะถูกสยามยึดครองช่วงต้นยุครัตนโกสินทร์
ซึ่งต่อมามีการแบ่งพื้นที่นี้ออกเป็นเจ็ดหัวเมือง และแบ่งเป็นจังหวัดแบบปัจจุบัน
เจ็ดหัวเมืองในอดีตคือ
หัวเมืองยะหริ่ง
หัวเมืองสายบุรี
หัวเมืองหนองจิก
หัวเมืองจะบังตีกอ
หัวเมืองรามัน
หัวเมืองยาลอ
และหัวเมืองระแงะ
ครั้งนี้เวลาพอได้เยี่ยม 2 หัวเมืองเก่า ย่านตัวเมืองและชุมชนบนพื้นที่ประวัติศาสตร์
หัวเมืองยะหริ่ง
วังยะหริ่ง
แต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมยะหริ่งเป็นเพียงชุมชนในเขตของเมืองปัตตานี ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต้องการลดอำนาจและอาณาเขตเมืองให้เล็กลง เพื่อง่ายต่อการปกครอง จึงตั้งเมืองขึ้นต่างหาก
ยะหริ่งเดิมเป็นชื่อหมู่บ้านตั้งอยู่ที่บ้านยือริงหมู่ที่ ๔ ตำบลตันหยงดาลอ บนฝั่งแม่น้ำยามูตอนบน อยู่ในความปกครองของเมืองปัตตานีและอยู่ในบังคับบัญชาของผู้สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช
เจ้าเมืองมีราชทินนามว่า พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เจ้าเมืองคนแรกคือพระยายะหริ่ง(ฟาย)
ส่วนวังที่เราเห็นวันนี้ พระยาพิพิธเสนาบดีสงคราม
ท่านเป็นเจ้าเมืองยะหริ่งคนที่ 3 ท่านได้มอบหมายช่างเชื้อสายจีนที่มาจากกรุงเทพ เป็นผู้สร้างวัง เมื่อปี พ.ศ. 2438 ถึงปัจจุบันอายุ 124 ปี ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ ส่วนลายที่แกะสลักภายในวังเป็นลายชวา ซึ่งใช้ช่างจากอินโดนีเซีย สถาปัตยกรรมของวัง ได้รับแนวคิด 3 สไตล์รวมกัน ประกอบไปด้วย มลายู ชวา และยุโรป
ตัววังจะสร้างด้วยไม้ตะเคียนทองทั้งหลัง แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้ ชั้นบนจะเป็นที่ทำการของเจ้าเมืองไว้ตัดสินคดีความและรับแขกบ้านแขกเมือง โดยเจ้าเมืองกับลูกหลานจะอาศัยอยู่ชั้นบน ส่วนชั้นล่างจะเป็นที่อยู่อาศัยของทาสหรือเครือญาติ ภายในวังจะสร้างเป็นรูปตัวยู ปัจจุบันวังแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของลูกหลานไม่ใช่พิพิธภัณฑ์
กำแพงวังจะบังตีกอ
วังจะบังตีกอ
หัวเมืองจะบังตีกอ
อดีตนั้น เป็นวังโบราณของเจ้าเมืองปัตตานี ตัววังหันหน้าไปทางทิศตะวันออกบนเนื้อที่ 7 ไร่ ตัววังสร้างโดยสถาปนิกชาวจีนในสมัยตนกูมูฮัมหมัดหรือตนกูบือซา พ.ศ. 2388 – 2399 เชื้อสายราชวงศ์กลันตัน (กำปงลาว์หรือบ้านทะเล) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปัตตานี
ตัววังล้อมด้วยกำแพงทึบก่ออิฐถือปูน รูปทรงของวังเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ หลังคาทรงปั้นหยา หรือแบบลีมะ ตัวอาคารเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง 1 เมตร สร้างด้วยไม้
มัสยิดรายาจะบังตีกอ ฟาฏอนี
ฟาฏอนี คือ ปัตตานีในเวลาต่อมา
ด้านหน้าสร้างเป็นมัสยิดสำหรับประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม
ถัดจากมัสยิดเป็นสถานที่หลอมโลหะทำต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เพื่อใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการส่งไปยังกรุงเทพฯ
อีกทั้งยังมีการผลิตเงินเหรียญของเมืองปัตตานี เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยน เพราะเมืองปัตตานีเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญในการติดต่อกับพ่อค้าชาวต่างชาติ ประกอบกับเหรียญเม็กซิกันซึ่งใช้ในการแลกเปลี่ยนมีจำนวนไม่พอเพียง จึงได้มีการผลิตเงินเหรียญของเมืองปัตตานีขึ้น
ภายในมัสยิดรายาฯ
ย่านตลาดจีน /ไชน่าทาวน์ปัตตานี
เป็นที่ตั้งของศูนย์รวมความศรัทธาของชาวจีนที่นี่ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ตั้งในอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี มีเทพเจ้าในคติความเชื่อชาวจีนมากมายแต่ที่สำคัญ ประดิษฐานรูปสลักเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่แกะจากไม้มะม่วงหิมพานต์(อิงตามตำนาน)
ทุกปีของ #วันเพ็ญเดือน3 #15ค่ำเดือน3 #วันมาฆบูชา จะจัดพิธีไหว้เทพธิดาและมีขบวนแห่องค์เทพตลอดเส้นทาง
เดินเลยไปเรื่อยๆ ก็เพบินดียอาคารเก่าแบะศิลปะข้างกำแพง
สตรีทอาร์ท
มาเยือนครั้งนี้ ขอพักแบบบ้านๆ เดินเล่นกับผู้คนในชุมชนบาราโหม คือจุดหมายของเราจริงๆในทริปนี้ เป็นชุมชนที่อยู่ใกล้กับมัสยิดกรือเซะ ไม่มาเค้าว่าไม่ใช่ถึงปัตตานีที(สำเนียงใต้)
มัสยิดกรือเซะ หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี
สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบกอทิกของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง (คำว่า ปิตู แปลว่า ประตู กรือบัน แปลว่า ช่องประตูที่มีรูปโค้ง)
ส่วนตัวแล้วไม่ปลื้มกับการทำป้ายลักษณะนี้บนพื้นที่ท่องเที่ยวในเมืองไทยเลย
ชุมชนบาราโหม เรียกว่าคือแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของปัตตานี มีโบราณสถานที่เก่าแก่ร่วม 500 ปี ในยุคสมัยที่ปัตตานีเป็นเมืองท่าอันรุ่งเรือง มีชาวต่างชาติเข้า ออกกันทั้ง อาหรับ เปอร์เซีย ยุโรปและจีน มาค้าขายกันอย่างคึกคัก
เป็นชุมชนที่พื้นที่ตั้งทับซ้อนอยู่บริเวณกำแพงเมือง ป้อมเมือง หรือด่านหน้าก่อนขึ้นฝั่งเข้าตัวเมือง
พอมีเวลาเหลือๆ ก็เดินออกมาหาเพื่อนคุย จนเจอแบ(บัง)ยะห์ยา ศิลปินพื้นบ้านนั่งลงสีบนเรือกอและที่แกประกอบเอง ลงลาย ใส่สี เองทุกขั้นตอน
กอและหัวตัด /ใช้ออกทะเลในหาปลาแบบประมงพื้นบ้าน
เดินเลียบริมตลิ่งนอกจากห่านที่ชาวบ้านเลี้ยงกันแล้วก็เห็นจะเป็นซากถ้วยเก่า ชามแตกพวกนี้ละ เห็นแล้วอยากมีเวลาค่อยๆ หา คุ้ยเขี่ยแข่งกะห่านเอามาประกอบขึ้นรูปใหม่จัง
ลวดลายจากซากถ้วยชามเหล่านี้ ผุดเป็นไอเดียให้เกิดงานศิลป์ บนผ้าพิมพ์ ผ้ามัดย้อม ในชื่อแบรนด์ BARAHOM BARZAAR
ขนาดที่พักที่เราสู้ขอร้อง ฟารีดาผู้ประสานงานในชุมชน ว่าเราอยากพักในพื้นที่จริงๆ พี่ไม่เอาโรงแรมหรือรีสอร์ทนะค่ะ
คุณฟารีดา ชุมชนบาราโหม
ฟารีดาบอกได้ค่ะพี่ มีหนึ่งหลังที่พอรับแขกตอนนี้ได้ แต่ต้องขอเวลาน้องนิดนะค่ะ เพราะเราไม่รับแขกมาจะ 2 ปีละ ช่วงโควิด
อ้อ..ไม่เป็นไรเข้าใจค่ะ ต้องใช้เวลาปัดกวาด ทำความสะอาด ที่นอน ห้องน้ำไรงี้ พี่เข้าใจ
ค่ะ...และขอเวลาติดประตูหน้าบ้านด้วยนะค่ะ 555
หูยยย...ไม่รับแขกนาน ขนาดต้องถอดประตูเก็บเลยเหรอ
บ้านพักหลังในสุดในชุมชน บ้านบ่อกุ้งแต่ปลาหมอเทศเต็มบ่อแถมตัวแลน เดินข้ามบ่อกันอย่างอิสระมาก
เดินเลยเข้าไปในสวน ริมขอบบ่อกุ้งพบเศษอิฐแนวป้อมและกำแพงเดิมผสมอยู่บนพื้นดินมากมาย นี่เราเดินย่ำประวัติศาสตร์แท้ๆ
แถมเจ้าของบ้านตัวจริงมีไอเดียบรรเจิดมาก มานั่งคุยกับแขกอย่างเราเพื่อทำวิจัยตลาด เก็บข้อมูลก่อนลงทุน เดาซิ้ ลุงแกจะได้อะไรกลับไปมั้ยย นอกจากคำชมว่ากล้วยหินเชื่อมอร่อยมากค่ะ
เดินเล่น เพ่นพ่านในชุมชน ไม่ต้องไปไกลเลยแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์อย่างสุสาน 3 ราชินี ก็อยู่ปากทางเข้าที่พัก
ก่อนที่อาเจะห์จะมีสุลต่านหญิง ปัตตานีมีเจ้าเมืองเป็นสตรีมาแล้ว ไม่ได้เรียกสุลต่านะฮฺ แต่เรียกว่าราชา(ราชินี) อาจเป็นไปได้ว่า อาเจะห์เลียนแบบจากปัตตานีก็เป็นไปได้ กล่าวคือ เจ้าหญิงที่ทรงปกครองปัตตานี ตามรายนามด้านล่างนะค่ะ
สุสานราชินี
ตกเย็น ฟารีดาพาเราไปล่องเรือดูความมหัศจรรย์ธรรมชาติ อุโมงค์ป่าโกงกางที่ยาวราว 800 เมตร บรรยากาศสบายตา แถมสบายเท้า เดินให้ปุ่มโกงกางมันกดนวดฝ่าเท้าได้ด้วย
อุโมงค์โกงกาง
ตบท้ายด้วยอาหารค่ำประจำถิ่น อย่าง นาซิอีแด กำปง แท้ๆ ตัองกินมือ
กาบูซือเป๊ะ/ยำผักกูด
ยำพืชน้ำแถบนี้ ซึ่งมีเฉพาะช่วง หาทานไม่ง่าย ยำใส่เนื้อปลาป่นปรุงรสนุ่มนวลเค็มหวานนำ เปรี้ยวตาม เผ็ดเล็กน้อย
ขนมหวาน ข้าวเหนียวแก้วชุบไข่...นาซิ มานิ
ขนมทานเล่น แป้งข้าวเหนียวผสมกะทิเสียบไม้ย่าง หอม หวานนิด...มาดู ฆาตง
ก่อนเดินทางออกจากปัตตานี ยังมีเวลาไปดูงานฝีมือจากปราชญ์ชาวบ้านหนึ่งเดียวในชุมชนที่ยังทำกระต่ายขูดมะพร้าว ด้วยลวดลายสลักเสลาแบบมลายู งานไม้รุ่นเก๋ายกให้ อาเยาะห์ลี อายุ 83 ขวบแล้วปีนี้แต่แกบอกบายใจได้ ลูกก็เป็น หลานก็ได้อยู่
สุดท้ายของปัตตานีครั้งนี้ที่ มัสยิดกลางปัตตานี
รูปทรงภายนอกของมัสยิดมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่กลางอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น และโดมขนาดเล็กลงไปล้อมรอบ 4 ด้าน ด้านข้างมีหออะซาน 2 หอ และมีสระน้ำเบื้องหน้าส่องสะท้อนแสงเงาของมัสยิดอย่างงดงาม
ส่วนภายในสร้างเป็นห้องโถง มีระเบียงอยู่สองข้าง มีมิมบัรทรงสูงและแคบตั้งอยู่ มีหินอ่อนประดับประดาอย่างงดงาม
ก่อนจะก้าวเข้าสู่เขตยะลา ไม่ลืมแวะกราบหลวงปู่ทวดกันที่วัดช้างให้ ยังไงคณะนี้ไม่ให้เสียน้ำใจทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิมนะค่ะ
เพราะเสียงแว่วมาด้านหลังว่า อย่าลืมแวะนะ ต้องลงไปเช่าเหรียญตามออเดอร์ด้วย
แล้วพบกันอีกทีที่ผืนป่าฮาลาบาลานะค่ะ
1
โฆษณา