21 ก.พ. 2022 เวลา 12:01 • หนังสือ
“สิทธารถะ | จากพราหมณ์หนุ่มผู้ทรงศีลรูปงาม สู่ชายชราปลงสังขารผู้แจวเรือข้ามฟาก”
2
ชีวิตที่ขึ้นสูงลงต่ำราวกับเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ของสิทธารถะ ไม่อาจหวนกลับ แต่เวียนว่ายและฟื้นคืนเพื่อกลายเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งสรรพบนโลกใบนี้
___________________________________
เห็นชื่อหนังสือแล้ว คุณอาจจะคิดว่านี่คือหนังสือแนวพุทธศาสนาที่ดูจะอ่านยากและน่าเบื่อ เราคิดแบบนั้นในตอนแรก และทำให้ไม่เคยคิดจะซื้อมาอ่าน แต่นั่นก็ดูจะเป็นความคิดที่โง่เขลา เพราะเมื่อได้อ่าน คนรุ่นใหม่อย่างเราอ่านได้เพลินมาก ไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย ทั้งยังสอดแทรกปรัชญาทางศาสนาที่ทำให้เราเกิดปัญญา ทำให้เราเข้าใจเหตุผลของการมีชีวิตอยู่มากขึ้น รวมไปถึงการเห็นคุณค่าในตัวเองและในตัวผู้อื่น
2
วรรณกรรมตะวันตกเล่มนี้ (ไม่ใช่หนังสือพุทธประวัติ ไม่ใช่หนังสือเผยแผ่ศาสนา และไม่ใช่หนังสืออ่านยากที่ควรจะอยู่แต่บนหิ้งและบนชั้น) ว่าด้วยเรื่องการออกเดินทางแสวงหาวิถีดับทุกข์และดับอัตตาในใจของพราหมณ์หนุ่มนาม สิทธารถะ ผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์อันสูงส่ง สง่างาม เป็นที่นับหน้าถือตาและสร้างความปีติภาคภูมิในดวงจิตของผู้เป็นบิดามารดา ทว่า ภายนอกที่โอบล้อมด้วยการสรรเสริญนี้ ดวงจิตของเขาไม่เคยเป็นสุขเลย ต่างเฝ้าเสาะแสวงหาวิธีเอาชนะอัตตาและการมีอยู่ของตัวตน
ในวังวนชีวิตของบุตรพราหมณ์ อิริยาบถอันงดงาม การไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างตั้งอกตั้งใจตามวิถีที่ยึดมั่นปฏิบัติมาเนิ่นนานตั้งแต่เกิด ดูจะเป็นสิ่งที่คนภายนอกนึกชื่นชมและยกตัวเขาให้ลอยสูงกว่าบุตรพราหมณ์ทั่วไป แต่การทำเช่นนี้ในทุกวันก็ดูจะไม่ใช่คำตอบที่สิทธารถะตามหา เขาสงบเฉยต่อการเยินยอ เกิดความสับสนในใจ เคลือบแคลงสงสัย และไม่เคยได้รับคำตอบที่แท้จริงจากคำสอนของเหล่าครูบาอาจารย์ จึงคิดว่าอยากลองออกไปใช้ชีวิตอยู่กับเหล่าสมณะผู้ไม่สนใจในกายหยาบและวางเฉยต่อโลก
ระหว่างการผจญภัยบนเส้นทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจุดมุ่งหมาย ข้างกายของสิทธารถะก็ขนาบข้างด้วย โควินทะ พราหมณ์หนุ่มผู้เป็นสหายคนสนิทที่ฝักใฝ่การหลุดพ้นไม่ต่างไปจากบุตรพราหมณ์หรือสมณะท่านอื่น ๆ และเขาก็เป็นอีกคนที่มีความศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวสิทธารถะผู้นี้ ดวงตาของเขา พินิจสิทธารถะดุจนัยน์ตาของสาวกผู้เชื่อมั่นในศาสดา
จุดประสงค์หลักหนึ่งเดียวของการตามหาคำตอบก็เพื่อการหลุดพ้น แต่เขาทั้งสองต่างไม่รู้เลยว่า การผลักตัวเองให้ไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา กระหายที่จะรู้และนำหน้าผู้อื่นไปหนึ่งก้าวเสมอ จะพาให้พบพานกับอะไรที่เหนือความคาดหมายไปกว่านั้นได้บ้าง
___________________________________
 
สวนมะเดื่อ ต้นมะม่วง สวนสำราญ ป่าทึบ และริมฝั่งแม่น้ำ ทุกสถานที่ที่กล่าวมา ล้วนเป็นสถานที่ที่สิทธารถะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง เกิดการตั้งคำถาม จนก้าวเข้าสู่โมงยามแห่งการตรัสรู้ นี่อาจเป็นโลกคู่ขนานกับพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า แต่เราว่าสิทธารถะต่างออกไป สิ่งเหล่านี้สื่อสารกับเราแบบกลาย ๆ ให้เราเข้าใจว่า คำสอนใด ๆ บนโลกนี้ก็ไม่อาจเทียบเท่าความจริงที่ตัวเราเองประสบพบเจอด้วยตัวเอง และธรรมชาตินี่แหละคือครูผู้ยิ่งใหญ่ คือศรัทธาอันสูงส่งในเงาไพร คือเทพเทวาลัย คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจเราทุกคน
จะว่าเล่มนี้เป็นแฝดคนละฝาของ The Alchemist ก็ย่อมได้ ไม่ใช่เพราะมีเนื้อเรื่องคล้ายกันนะ แต่เพราะอ่านแล้วได้เขยิบเข้าใกล้ชีวิตของตัวเองมากขึ้น ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้เขย่าตัวเองให้ตื่นจากฝัน ราวกับที่ผ่านมาเราหลับมาอย่างยาวนาน ราวกับไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ จนกระทั่งได้จับหนังสือ นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้น และเป็นความรู้สึกเดียวกันที่ทำให้เราเต็มตื้นไปด้วยความอิ่มใจ
สิทธารถะทำให้เรารู้ว่า ชีวิตของเรานั้น Rebirth อยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับสูญ และเกิดขึ้นใหม่ทุกขณะ คนเราสามารถเกิดใหม่ได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ตายเลยด้วยซ้ำ นิพพานที่สิทธารถะตามหา หรือที่ใคร ๆ เฝ้าตามหาอยู่อาจไม่เคยมีอยู่จริง เพราะนิพพาน มิใช่การหลุดพ้นจากวัฏสงสาร แต่คือนิพพานอันหลุดพ้นจากมายา กรอบหุ้มอันแน่นหนา และคติอันสูงส่งที่ครอบงำ กีดกันให้เราห่างพ้นจากการดำเนินชีวิตตามวิถีของเราเอง เรามักจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลตัวมากกว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ คุณว่าอย่างนั้นมั้ย :)
“เมื่อพระสัพพัญญูเจ้าทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับโลก พระองค์ยังทรงแบ่งเป็นวัฏสงสารกับนิพพาน แบ่งเป็นมายากับสัจจะ แบ่งเป็นความทุกข์กับการหลุดพ้น ใครก็ไม่สามารถใช้วิธีต่างไปจากนี้ ไม่มีวิธีอื่นให้พวกเขาใช้สอน แต่โลกทั้งที่อยู่ภายในและรอบ ๆ ตัวเราไม่ได้มีด้านเดียว ไม่มีใครหรือการกระทำใดที่เป็นวัฏสงสารล้วน ๆ หรือนิพพานล้วน ๆ ไม่มีหรอก มนุษย์ที่จะเป็นนักบุญล้วน หรือเป็นคนบาปที่ไม่มีดีเลย ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเราหลงอยู่ในมายา กาลเวลาไม่ใช่สิ่งแท้จริงหรอก เส้นที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้กับนิรันดร์ ระหว่างความสุขกับความทุกข์ ระหว่างความดีกับความชั่ว ก็เป็นมายาเหมือนกัน”
___________________________________
ก่อนจะเริ่มอ่าน First impression ของเราคือหน้าปก ตอนแรกมโนและเข้าใจไปเองว่าหน้าปกคงมีรหัสอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ หรืออาจเป็นรหัสภาษาที่นักออกแบบตั้งใจจะซ่อนไว้ พยายามจะหาบทความที่เขียนถึงหน้าปกก็ไม่เจอ อนิจจา ฉันผู้คิดเยอะเกินไป แท้ที่จริง บนหน้าปกคือรูปหน้าของคนสองคน หรืออาจเป็นคนเดียวกันแต่ถูกแบ่งเป็นสองใบหน้า ซึ่งถูกคั่นระหว่างกลางด้วยแม่น้ำ หรือหากไม่ใช่ ก็คงเป็นมายาที่เรายกมันมาคั่นกลางเพื่อแบ่งแยกตัวตนให้ออกห่างจากความเป็นหนึ่งเดียว ธรรมดาสามัญมาก แต่ล้ำลึกและสวยงาม
ความประทับใจประการที่สอง ภาษาแปลลื่นไหลและงดงามราวกับเป็นวรรณกรรมไทยที่มีมาแต่ดั้งเดิม อ.สดใส ขันติวรพงศ์ หรือผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นลูกสาวของเฮสเส ก็เป็นจริงเช่นนั้น ท่านเป็นผู้ที่ถ่ายทอดความสุขอันเป็นนิรันดร์ผ่านตัวอักษรได้อย่างสละสลวยจับใจมาก และยืนยันว่าไม่ได้อ่านยากหรือเข้าใจยากแต่อย่างใดเลย กลับกัน เรากลับรู้สึกว่าได้ซึมซับถ้อยคำอันล้ำค่าที่ทำให้เราเข้าใจความสลับซับซ้อนในอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างแจ่มชัดทุกขณะที่เรื่องดำเนินไป
ประการที่สาม หนังสือเล่มนี้ไม่เคยยัดเยียดข้อถูกข้อผิด หรือข้อพิพากษาให้ผู้อ่านกลับมาตำหนิติเตียนตัวเอง หรือทำให้รู้สึกราวกับว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นปรัชญาอันล้ำค่าที่จับต้องไม่ได้ หนังสือเล่มนี้ทำให้เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยสติและปัญญาของเราเอง ไม่ชักจูง ไม่โน้มน้าว แต่แสดงความเป็นไปให้เห็นเด่นชัดอยู่ตรงหน้าผ่านตัวอักษร ราวกับจะพาเราไปผจญภัยในห้วงชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งของสิทธารถะด้วย
วรรณกรรมก็คือวรรณกรรม มีความสนุกสนานอยู่ในความขมขื่น มีความทุกข์อยู่ในความสุข มีความมืดหม่นอยู่ในแสงสว่าง มีทุกอย่างอยู่รวมกันเช่นนิยายแห่งชีวิต กล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้มิใช่หนังสือสอนใจที่เน้นแต่จะสั่งสอน จะมีก็แต่ความธรรมดา ที่เยือกเย็นและสงบมากพอจะทำให้คุณตื่นจากการหลับอันยาวนาน รู้ความลับบางอย่างที่คุณอาจเคยเฝ้าหาคำตอบแต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ ความจริงแล้วอาจไม่มีความลับอะไรเลยก็ได้ แต่จะใช่เช่นนั้นจริงหรือเปล่า ก็ต้องลองอ่านด้วยตัวเอง :)
ประการที่สี่ เป็นโอกาสอันดีของชีวิตที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ เราขอบคุณด้วยใจจริงต่อนักเขียน นักแปล และ THE BRIEFBOOK ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับมากขึ้น ไม่เพียงแต่ยอมรับชะตากรรมของชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปในแต่ละวัน แต่มันคือการยอมรับตนเอง ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้จะผ่านการบีบอัดจนบูดเบี้ยวมามากมายขนาดไหนก็ตาม เรายังคงอยู่ได้ และยังคงอยู่ต่อไป ไม่ใช่เพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตหรือสิ่งอื่นใด แต่เพื่อเข้าใจโลก และโอบกอดทุกสรรพสิ่งไว้ด้วยความรัก
“โลกนี้ไม่ได้ขาดความสมบูรณ์ เพราะโลกสมบูรณ์อยู่แล้วทุกขณะจิต บาปทั้งหลายมีความดีอยู่ในตัว เด็กน้อยทุกคนมีโอกาสเป็นคนชรา ความตายแฝงอยู่ในทุกขณะที่ดื่มกิน และมีความเป็นนิจนิรันดร์อยู่ในลมหายใจของผู้ใกล้ตาย พุทธะมีอยู่ในตัวหัวขโมย เช่นเดียวกับความเป็นหัวขโมยที่มีอยู่ในตัวพราหมณ์ ทุกสิ่งคือพรหมัน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือความตาย บาปหรือความศักดิ์สิทธิ์ ปัญญาหรือความเขลา ทุกสิ่งเป็นสิ่งจำเป็น ที่ต้องการการยอมรับและความเข้าใจ เราจำเป็นต้องทำบาป ทดลองใช้ชีวิตทุเรศน่าคลื่นไส้ และผจญความผิดหวังอย่างล้ำลึก เพื่อเรียนรู้ที่จะไม่ต่อต้านสิ่งเหล่านี้
บางที ถ้อยคำนี่เอง ที่ขวางกั้นเราจากความสงบสันติ เพราะแม้แต่การบรรลุธรรม วัฏสงสาร และนิพพานก็เป็นเพียงแค่ถ้อยคำ สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นไม่มีหรอก มีแต่คำว่านิพพาน”
ประการสุดท้าย ฝากถึงคนที่รู้สึกท้อแท้กับชีวิต ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะทำสิ่งที่ฝันหรือสิ่งที่เป็นเป้าหมายสำเร็จหรือไม่ จะเจอสิ่งที่ขาดหายไปไหม และจะได้มีโอกาสเจอคำตอบที่ตามหามาทั้งชีวิตหรือเปล่า
สิทธารถะก็คงจะตอบว่า ความรู้นั้นคือสิ่งที่ถ่ายทอดและส่งต่อได้ แต่สติปัญญาเป็นสิ่งที่ไม่อาจสอนสั่งได้ อย่ากังวลไป คุณใช้ชีวิตของคุณต่อไปเถอะ ตามแบบที่เป็นเสมอมาและตลอดไป เพราะชีวิตนี้คือชีวิตของคุณ เมื่อไหร่ที่พยายามจะแสวงหา มักจะเจอความว่างเปล่า เมื่อไหร่ที่พยายามบิดพลิ้วหรือพยายามบังคับให้อะไรในชีวิตเป็นไปอย่างที่ควรจะต้องเป็น เป้าหมายดูจะหลุดลอยไปทุกครั้ง คุณอาจหามันไม่เจอแม้มันจะอยู่แค่ใต้จมูกก็ตาม ดังนั้นจงเดินหน้าต่อไป ขึ้นภูเขาบ้าง ลงเหวบ้าง ลองผิดลองถูก นั่นก็คือชีวิต คุณจะได้เรียนอะไรหลายอย่างจากมัน ครูของคุณอาจเป็นท้องฟ้าที่คุณเหม่อมอง อาจเป็นก้อนเมฆบางก้อนที่เคลื่อนผ่าน อาจเป็นก้อนหินก้อนกรวดที่คุณเขวี้ยงลงน้ำ หรือแม้กระทั่งหน้ากระดาษที่คุณกำลังพลิกบนหนังสือเล่มใดสักเล่มบนโลก
1
ทุกอย่างมันมีจังหวะของมันนะ พรุ่งนี้อาจมีลมพัดผ่านแล้วคุณได้ยินคำตอบที่แว่วมา คุณอาจลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างแล้วเจอสิ่งที่ตามหา หรือไม่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากมันเลย แม้กระทั่งการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุธรรม สมณะและสาวกบางท่านก็ไม่อาจทำได้แม้จะต้องใช้เวลาไปแล้วทั้งชีวิต
 
บางทีกาลเวลาก็ไม่ได้พิสูจน์อะไรทั้งนั้น แต่เป็นตัวคุณต่างหาก เป็นดวงตาของคุณต่างหาก เป็นเสียงข้างในนั้นต่างหากที่จะพิสูจน์ได้ว่าคุณเจอคำตอบของชีวิตหรือยัง
 
แม้ความสงสัยและการทดลองจะนำพามาซึ่งความล้มเหลวของชีวิต แต่นั่นก็เป็นบทเรียนสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจถ่ายทอด สอนสั่ง หรือส่งต่อ หากแต่ต้องพานพบและประสบเองเท่านั้น นั่นคือความลับที่สิทธารถะตามหามานานและในที่สุดก็ค้นพบ
 
ความลับข้อเดียวที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และในขณะเดียวกัน เราทุกคนก็รู้
 
“สิทธารถะมีอยู่ในตัวเราทุกคน”
1
//RAVEN
โฆษณา