22 ก.พ. 2022 เวลา 04:31
ด่วน! สธ.ยกระดับเตือนภัยโควิดระดับ 4 ทั่วประเทศ หลังยอดผู้ติดเชื้อพุ่ง
กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับเตือนภัย "โควิด" จากระดับ3 เป็น ระดับ 4 ทั่วประเทศ หลังยอดผู้ติดเชื้อโควิดพุ่ง ขอให้รีบฉีดเข็มกระตุ้นพร้อมเผยมาตรการที่เป็นข้อปฏบัติตัวที่ควรทำ
วันนี้ (21 ก.พ.65) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าสถานการณ์โควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น สธ.จึงประกาศการเตือนภัยโควิดระดับ 4 ทั่วประเทศ จากสถานการณ์การแพร่ระบาด สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ประเทศไทยคาดการณ์ 1-2 สัปดาห์ นี้ระดับผู้ติดเชื้อยังคงอยู่ในระดับสูง ปฏิเสธมาจากการรวมกลุ่มกันในการสังสรรค์ โดยขอให้หลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่แออัดหรือพบคนหมู่มาก หากพบว่าตัวเองมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เบื้องต้นขอให้ได้ตรวจด้วยชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยตัวเอง หรือ ATK ได้ทันที
1
ทั้งนี้การฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็ม อาจจะไม่เพียงพอต่อการติดเชื้อ ดังนั้น ขอให้ประชาชนไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยเร็วหากครบกำหนดระยะเวลา
ด้วยสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่ยังคงสูงขึ้นทำให้กระทรวงสาธารณสุขมีความจำเป็นจะต้องยกระดับเตือนภัยโควิด จากระดับ 3 เป็นระดับ 4
มาตรการควบคุมหลังยกระดับเตือนภัยโควิดระดับ 4 ทั่วประเทศ
2
  • งดเข้าสถานที่เสี่ยง
  • งดทานอาหารร่วมกัน ดื่มสุราในร้าน
  • เลี่ยงไปซื้อของที่มีคนจำนวนมาก เช่น ตลาด ห้าง
  • เลี่ยงใกล้ชิดผู้อื่นนอกบ้าน
  • งดร่วมกิจกรรม กลุ่มตามเกณฑ์ต่างๆ
  • มาตรการทำงานที่บ้านให้ได้ร้อยละ 50-80
  • ชะลอการเดินทางข้ามจังหวัดหากจำเป็นใช้รถยนต์ส่วนตัว
  • เลี่ยงไปต่างประเทศ
  • หากเข้าประเทศต้องปรับตัวในสถานที่กักกัน
6
ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สธ. กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ในขณะนี้เป็นการเตือนภัยโควิด-19 ระดับ 4 โดยยกระดับจังหวัดเสี่ยงสูงเป็นทุกจังหวัด พร้อมขอความร่วมมืองดเข้าสถานที่เสี่ยง (เปิดเฉพาะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต) เลี่ยงการรวมกลุ่ม ชะลอการเดินทางข้ามพื้นที่ และทำงานที่บ้าน (Work From Home: WFH)
เนื่องจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 13-19 ก.พ. 65) พบการติดเชื้อกระจายไปทั่วประเทศแล้ว โดยอัตราการติดเชื้อต่อประชากร 1 แสนคน พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100 คน
ส่วนสถานการณ์โรคโควิด-19 ประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยอาการหนัก ผู้ป่วยเสียชีวิต มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจัยเสี่ยงจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในครอบครัว และคนที่รู้จักขณะทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น กินอาหารร่วมกันกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักเรียน เล่นกีฬา รวมทั้งกิจกรรมงานบุญ งานศพ งานแต่ง โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนล่าง
1
สำหรับผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ ยังคงเป็นกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป) ที่ไม่ใด้รับวัคซีน รวมทั้งที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มบูสเตอร์ โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียง ให้เน้นตรวจคัดกรองหาเชื้อในกลุ่มผู้ดูแล รวมทั้งติดตามกำกับการใช้มาตรการ VUCA ในศูนย์ดูแลผู้สูงวัยอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ยังพบการระบาดลักษณะคลัสเตอร์ จากการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ เช่น งานศพ งานแต่ง งานบุญ ซึ่งขาดการกำกับมาตรการป้องกันโรคที่ดีของผู้จัดงาน หรือจัดกิจกรรม การระบาดในสถานที่ทำงาน ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงจากการที่มีบุคลากรติดเชื้อจากครอบครัว หรือชุมชน และแพร่โรคต่อให้เพื่อนร่วมงาน จากการไม่ระมัดระวังตัวขณะถอดหน้ากากรับประทานอาหาร และพูดคุยโดยไม่สวมหน้ากาก
ในขณะเดียวกัน ยังพบว่า ขาดมาตรการควบคุมกำกับ Universal Prevention (UP) โดยเจ้าของกิจการ พบในหน่วยงานราชการ สถานพยาบาล ร้านอาหาร ค่ายทหาร โรงงานพบการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ (Healthcare workers: HCW) โดยมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากชุมชน ครอบครัว และในสถานพยาบาล โดยเน้นให้ผู้บริหารสถานพยาบาลควบคุมกำกับงาน IC (ระบบควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล) และมาตรการป้องกันโรค UP กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด
สำหรับการคาดการณ์ฉากทัศน์ของโรคโควิด-19 ในไตรมาส 1/65 ขณะนี้ผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากขึ้น โดยเกินระดับกลางที่คาดการณ์ไว้แล้ว เนื่องจากประชาชนละเลยมาตรการ VUCA มากขึ้น ด้านจำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ต่ำที่สุดอยู่ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งมีอาการน้อย
นพ.จักรรัฐ ได้กล่าวถึงโควิดสายพันธุ์โอมิครอนว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ไม่ต่างจากโอมิครอน BA.1 เรื่องอาการป่วยหนัก และอาการรุนแรง ทั้งนี้ มีรายงานว่าโควิดสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 สามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่า BA.1 กว่า 1.4 เท่า อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับมาตรการของแต่ละประเทศ หากประชาชนในประเทศไทยสามารถปฎิบัติตามมาตรการต่างๆ และฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม ก็จะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ให้เพิ่มมากขึ้นได้
1
ด้าน นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ สธ. กล่าวถึงสถานการณ์และการบริหารจัดการเตียงในกทม. ว่า จากวันที่ 21 ม.ค. 65 ถึงปัจจุบันผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากโรคโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ยังมีเตียงในระบบรองรับเพียงพอ เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยอาการหนักยังอยู่ในระดับทรงตัว และการรักษาเน้นการรักษาระบบ Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) เป็นลำดับแรก ยกเว้นผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยง
1
สำหรับสถานการณ์เตียงทั่วประเทศขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 173,000 เตียง มีอัตราการครองเตียงอยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเตียงสีเขียว ดังนั้นถือว่ายังมีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนัก ส่วนผู้ป่วยเด็กอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป สามารถรักษาแบบ HI ได้ โดยประสานไปที่โทร. 1330
สำหรับความสามารถในการรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ของ HI ในกทม. สามารถรับผู้ป่วยรายใหม่ได้ถึง 5,540 คน/วัน ในขณะเดียวกัน CI มีทั้งหมด 31 แห่ง เตียง 3,981 เตียง มีการครองเตียง 2,065 เตียง นอกจากนี้อยู่ระหว่างเตรียมเปิด CI อีก 9 แห่ง รวม 970 เตียงด้วย
"ขอความร่วมมือประชาชน ดูแลป้องกันตนเอง ปฏิบัติตนตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข รับการฉีดวัคซีน ตามระยะเวลาที่เหมาะสม ถ้ามีผล ATK เป็นบวกไม่จำเป็นต้องตรวจ RT-PCR ซ้ำ สามารถเข้าสู่ระบบการรักษา โทร 1330 ได้เลย" นพ.ณัฐพงศ์ กล่าว
โฆษณา