21 ก.พ. 2022 เวลา 21:14 • สุขภาพ
สรุปห้าขั้นตอนแก้ปมค้างใจ
(#สรุปแล้วแล้วก็ยังยาว – ผู้เรียบเรียง)
5 ขั้นตอนแก้ปมค้างใจ
1) การเรียนรู้การจัดการอารมณ์และความเครียด
2) การเรียนสร้างความรู้สึกเป็นสุขและความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาภายในใจ
3) การเปิดพื้นที่ภายในใจเพื่อสำรวจประสบการณ์ที่เป็นลบหรือเจ็บปวด
4) การเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองที่มีต่อเรื่องราว
5) การค้นพบความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นและการตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตเพื่อจะเดินไปข้างหน้า
1
ขั้นที่หนึ่ง : การเรียนรู้การจัดการอารมณ์และความเครียด
- เรียนรู้การจัดการอารมณ์และความเครียด ช่วยป้องกันการขยายวงของจุดเล็กๆจากปมค้างใจไม่ให้มันขยายเป็นปัญหาต่างๆ ประกอบด้วย
o ฝึกทักษะผ่อนคลาย เรียนรู้การกลับมาอยู่กับตัวเอง ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายแล้วอยู่กับการผ่อนคลาย จะรู้สึกได้ว่าเรากลับมาอยู่กับตัวเอง นิ่งๆ ทำให้เราถอยออกจากโจทก์หรือปมค้างใจได้ชั่วคราว การฝึกถอยมานี้สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นเราก็เหมือนกันจมอยู่ตลอดเวลา โดยฝึกทักษะผ่อนคลาย ตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ ฝึกหายใจ ทำสมาธิ ออกกำลังกาย โยคะ ชี่กง ไทเก็ก สะกดจิต ใช้จินตนาการ ฟังดนตรีที่ช่วยให้ท่านผ่อนคลาย เป็นต้น
o ฝึกวิธีคิดแก้ปัญหาให้เป็นระบบ เป็นตัวสำคัญที่ป้องกันไม่ให้ปัญหามันขยายวง ซึ่งมีหนังสือทั่วไปเยอะแยะไปหมด ถ้าท่านไม่รู้จะเอาวิธีไหนดีก็ดาวน์โหลดคู่มือชื่อ "บัญญัติสุข 10 ประการ" แล้วก็ไปดู “บัญญัติสุขที่ 6” จะเป็นเรื่องของการจัดการการคิดแก้ปัญหาให้เป็นระบบ
- เมื่อเราฝึกสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้นแล้ว เราจึงจะมีความพร้อมในการมาสำรวจปมค้างใจที่เจ็บปวดได้
- หมายเหตุ : คนส่วนใหญ่พยายามจะไปแก้ปมค้างใจด้วยการคิดวิเคราะห์ และพยายามจะผลักตัวเองออก ซึ่งหลายครั้งการผลักตัวเองออกมีเป็นการสร้างปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น เช่น การที่เขาปฏิเสธความสัมพันธ์เพราะเขาไม่ไว้วางใจคน การที่เขาตัดสินใจย้ายถิ่นฐานออกจากเครือข่ายที่รู้จักเพื่อหลีกเลี่ยงโจทย์ที่รบกวนใจเขา การตัดสินใจหลายๆอย่างที่ถูกผลักด้วยความพยายามจะหนีจากเรื่องราวที่เป็นปมค้างใจ มันกลายเป็นการทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้นอีกดังนั้นสิ่งที่เขาต้องฝึกก็คือ การจัดการอารมณ์และความเครียดให้ดีก่อนโดย
ขั้นตอนที่ 2 : การเรียนสร้างความรู้สึกเป็นสุขและความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาภายในใจ
- ความรู้สึกไม่ปลอดภัย เริ่มต้นจากเหตุสะเทือนใจ ทำให้สมองส่วนที่ประเมินสิ่งคุกคามซึ่งอยู่ลึกกว่าสมองส่วนคิดด้วยเหตุผลจะถูกเร้าให้มีความไวมาก ดังนั้นเราก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัย เราจะรู้สึกว่าเรื่องอะไรก็ตามมันคุกคามเราน่ากลัวมาก ซึ่งการทำงานของสมองส่วนนี้แก้ไม่ได้ด้วยการคิดเชิงเหตุผล โดยเราจะต้องฝึกสร้างความสุขให้เป็น เช่น “การอยู่กับประสาทสัมผัส การขอบคุณ การเป็นผู้ให้”
- เวลาที่เรามีความสุข สมองจะมีความยืดหยุ่นขึ้น เพราะความกดดันจากความเครียดก็ลดลง เรายังเติมปัจจัยบวกเข้าไปในสมองของเราด้วย สารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความสุขความอบอุ่น ความไว้วางใจ นั่นก็คือมันมีผลกับระบบชีวภาพของระบบร่างกาย ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นขึ้น ปลอดภัยขึ้น ยิ่งทำให้เราสามารถสร้างสภาวะความเป็นสุขและความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา แล้วความรู้สึกปลอดภัยนี้ก็จะเป็นฐานตัวที่ 2 ในการที่เราจะไปสำรวจเรื่องเจ็บปวด
- ย้ำว่าทั้ง 2 ตัวนี้ คิดอย่างเดียวไม่ได้ต้องฝึกปฏิบัติ (เพื่อปรับระบบชีวภาพก่อน-ผู้เรียบเรียง)
ขั้นตอนที่ 3 : การเปิดพื้นที่ภายในใจเพื่อสำรวจประสบการณ์ที่เป็นลบหรือเจ็บปวด
- การฝึกอยู่กับประสบการณ์เดิมโดยที่ไม่ต้องหนี เป็นขั้นตอนของการเผชิญหน้าเพื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจ โดยมีความรู้สึกปลอดภัยเป็นพื้นฐาน ที่จะสำรวจ(ประสบการณ์ตรง-ผู้เรียบเรียง) ซึ่งจะต้องมีความสามารถในการมองและจัดการอารมณ์ให้นิ่งพอ ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมตัวอีกเหมือนกัน เพราะขั้นตอนที่สำคัญที่สุดอยู่ในขั้นตอนที่ 4 แต่คนที่ทำไม่สำเร็จส่วนใหญ่ก็เพราะว่าจะกระโดดไปทำขั้นตอนที่ 4 เลย นอกจากนี้ขั้นตอนนี้จะทำไม่ได้ถ้าเรายังจัดการอารมณ์และความเครียดได้ไม่ดี และยังไม่ได้สร้างระบบชีวภาพในลักษณะที่เติมความสุขขึ้นในตัวเรา ซึ่งจะทำให้การหันไปดูสิ่งที่เจ็บปวดทำได้ยากขึ้น
- การถอยมาและอยู่กับตัวเองได้ในขั้นตอนที่ 1และ 2 แล้วทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น จะเป็นการจัดการความทรงจำ โดยสามารถเชื่อมโยงได้มากขึ้น เพราะเวลาที่เราเจอเหตุสะเทือนขวัญหรือมีเหตุในวัยเด็ก ความทรงจำมันจะบันทึกแบบเป็นท่อน แล้วไปย้ำในท่อนที่เป็นลบและเจ็บปวด แต่ว่าเราทบทวนหลังจากฝึกขั้นตอนที่ 1,2 แล้ว เราจะเรียบเรียงประสบการณ์ได้ดีขึ้นแล้วก็มองเห็นเรื่องราว และเข้าใจมันได้มากขึ้น แต่ต้องเป็นความรู้สึกเข้าใจที่ไม่ต้องรีบมีข้อสรุป และขอให้เราค่อยๆทำไปทีละขั้น
- ทั้งนี้ ถ้าปมท่านไม่มากขั้นตอนนี้ท่านทำเองได้ แต่ถ้าปมท่านมากขั้นตอนนี้ท่านอาจจะทำเองไม่ได้(ต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ-ผู้เรียบเรียง) โดยที่หลักของมันก็คือเวลาที่เราเจอประสบการณ์ความเจ็บปวด ความกลัว หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในใจเราฝึกที่จะค่อยดูมันโดยที่ไม่ไม่พยายามกลบหรือหนี เป็นการฝึกที่จะอยู่กับประสบการณ์เดิมโดยที่ไม่ต้องหนี ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความพร้อม อาศัยความนิ่ง อาศัยความกล้าที่จะเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- จริงๆแล้วการเปิดเพื่อทำความเข้าใจด้วยตัวมันเองถือเป็นมาตรการการรักษาหรือเยียวยาด้วยเลย เช่นในสมัยที่มีเหตุการณ์สึนามิในเมืองไทย ในภาคใต้ ก็มีพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ทะเลท่านก็ใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของจิตใจคนเรา หลังเกิดเหตุสึนามิ คนจะกลัวเสียงน้ำทะเลแล้วไม่กล้าไม่กล้าไปริมทะเลในพื้นที่นั้นๆให้ขยับผ่อนคลายสมาธิ สัมผัสลมแล้วก็ไปอยู่ในจุดที่ได้ยินเสียงทะเล แต่ยังไม่ต้องเห็นทะเล อันนี้เป็นโปรแกรมที่เขาทำกับเด็กๆ จากนั้นพอได้ยินเสียงทะเลก็ขยับไปหน่อยนึง สัมผัสได้ถึงกลิ่น แล้วก็อาจจะขยับไปสู่การเห็นภาพแต่ว่าไม่ต้องไปเดินถึงริมน้ำแล้วค่อยๆขยับไป อันนี้ก็คือการขยับเข้าสู่สิ่งที่เราเคยกลัวเพราะมีปมค้างใจบางอย่างโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
เฉพาะการสำรวจความกลัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอยู่กับความรู้สึกปลอดภัยได้โดยตัวมันเองมันเป็นกระบวนเยียวยา แต่สำหรับบางคน เท่านี้ไม่พอนะจึงต้องเข้าสู่ขั้นตอนที่ 4
ขั้นตอนที่ 4 : การเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองที่มีต่อเรื่องราว
- ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ยากระดับหนึ่งสำหรับคนที่ติด แต่ว่ามันจะง่ายลงถ้าเราทำขั้นตอนที่ 1,2,3 แล้วส่งลูกมาสู่ขั้นตอนที่ 4
- ขั้นตอนที่ 4 นี้ก็คือเราจะเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองที่มีต่อเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกเป็นปมค้างใจ ซึ่งเรื่องนี้ขอย้ำว่า เราไม่สามารถแก้ปมได้จากการคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผล เพราะสมองส่วนที่ทำหน้าที่ในการคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผลมันอยู่เป็นสมองส่วนหน้าและเป็นสมองที่พัฒนามาทีหลัง แต่สมองที่เป็นปฏิกิริยาของความกลัว ปฏิกิริยาของการหนีต่อสิ่งคุกคามชีวิต มันเป็นโครงสร้างที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งสมองส่วนนี้จะได้รับการกระทบมากเวลาที่เรามีเรื่องสะเทือนใจหรือมีปมค้างใจที่รุนแรง มีเหตุการคุกคามชีวิต หรือแม้แต่ในเด็กก็จะมีปัญหาเรื่องของการคุมอารมณ์จากการที่สมองส่วนนี้ไม่ได้รับความรู้สึกผูกพันที่ดีพอ
ทีนี้เราไม่สามารถที่จะเอาความคิดนึกด้วยเหตุผลไปแก้ความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาลึกๆได้ แต่ถ้าเราจะเปลี่ยนได้ก็คือ เราต้องสร้างประสบการณ์บางอย่างขึ้นมาซ้ำๆจนกระทั่งปฏิกิริยาของสมองส่วนลึกนี้มันเปลี่ยนไป ซึ่งการเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองนี้จะต้องย้ำว่าไม่ใช่แค่เปลี่ยนความคิดว่าเราจะให้อภัย เราจะเป็นอิสระแล้วมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะมันเป็นเพียงการเอาพยายามจะเอาเหตุผลไปหลอกอารมณ์ซึ่งสู้ไม่ได้
สิ่งที่ท่านต้องทำนั้น จะต้องทำในระดับที่เป็นประสบการณ์ภายใน ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างกรณีของหญิงไทยที่ผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือ ซึ่งเธอเคยอยู่เหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น แล้วก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ซึ่งเป็นสิ่งที่สะเทือนใจคนญี่ปุ่นแล้วก็คนทั้งโลก ในโปรแกรมอบรมอาสาสมัครก็มีหญิงไทยคนหนึ่งซึ่งอยู่ในโปรแกรม เธอยืนอยู่ในเหตุการณ์ แล้วผมก็ได้ทำกระบวนการกับเธอหน้าชั้นเรียนประมาณครึ่งชั่วโมงแต่ว่าเชื่อมโยงกันกับสิ่งที่กำลังสอนเธอ แล้วก็ไม่ได้เจอเธอมาเลยหลายปีมากจนกระทั่งอาทิตย์ที่แล้วได้ เธอก็เลยมาบอกว่าจะหายดีเป็นปกติแล้ว แล้วก็การช่วยเหลือทั้งนั้นที่ผมได้ช่วยเธอนี่มันเปลี่ยนแปลงยังไง เลยถือโอกาสได้ฟังการเปลี่ยนแปลงของเธอซึ่งจะเป็นสิ่งที่ผมจะมาเล่าให้คุณฟัง
- ในครั้งนั้น ตอนที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหว เธออยู่ที่ชั้น 2 และลูกของเธอซึ่งยังเล็กอยู่อยู่ในโรงเรียน เธอไปอยู่ที่นั่นได้ 2 ปีแต่ยังไม่เคยเรียนรู้วิธีการปฏิบัติตัวเวลาที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว ลูกของเธอ เติบโตที่นั่น เคยฝึกเวลาที่มีเหตุแผ่นดินไหว และเธออยู่ในที่ อยู่ในที่คนญี่ปุ่นเขารู้วิธีปฏิบัติตัว เพราะฉะนั้นตอนที่เธออยู่ที่แผ่นดินไหวครั้งแรกสุดที่ซึ่งรุนแรงมาก ที่อยู่ชั้น 2 แล้วมันไหว เธอบอกว่าเหมือนโลกแตก เพราะเธอได้ยินเสียงดังมาก เธอรู้สึกกลัว ก็กระโดดลงมาชั้น 1 แล้วก็วิ่งออกไปพยายามจะไปหลบที่รถแต่รถมันก็ไม่อยู่นิ่งครับ มันเขย่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเธอในตอนนั้นก็คือเสียงมันร้องจากใต้ดินกระหึ่มอย่างรุนแรง ความทรงจำนี้ ถูกฝังเข้าไปอย่างเข้มข้น และหลังจากนั้นก็ยังมีการไหวเขาเรียกว่าอาฟเตอร์ช็อกอยู่ 90 ครั้งในเวลาวันหนึ่งแล้วมีภาพข่าว
เธอพบว่าร่างกายของเธอ มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงแม้ว่าจะเป็นอาฟเตอร์ช็อกที่เบาลง คุณนึกออก ครั้งแรก แผ่นดินไหวรุนแรง เธอมีปฏิกิริยาร่างกายที่รุนแรงมากแล้วมันฝังใจเธอ หลังจากนั้นเขย่าเบาๆ เห็นแค่สายไฟเขย่า หรือมีภาพข่าวทุกอย่างล้วนแล้วแต่ดึงเธอกลับเข้าไปอยู่ในความทรงจำและปฏิกิริยาร่างกายในแบบเดิม ในครั้งนั้นผมก็ประเมินระหว่างเธออยู่ต่อแล้วปล่อยให้เธอยังมีประสบการณ์แบบนี้ ทิ้งไว้ไม่นานเธอจะสูญเสียความเชื่อมั่นในการทำอะไรแล้วก็มีความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าเพราะว่าเธอจะเริ่มรู้สึกไม่ชอบตัวเองที่ขาดความเชื่อมั่นทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเอง และก็เธอยังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะมีโอกาสถูกกระตุ้นมาก
ผมจึงเลือกที่จะใช้เวลาของในชั้นเรียนทำกระบวนการในการช่วยเธอ ซึ่งเธอมาเล่าทบทวนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้ผมฟังว่า สิ่งที่ผมทำก็คือผมดึงเธอกลับมาอยู่กับร่างกายด้วยการสัมผัสตัวและให้รู้ว่านี่คือตัวเราซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเยียวยา จากนั้นให้เธอเล่าถึงภาพซึ่งเป็นเวลาที่ฟังแล้วผมรู้เลยว่าเธอบันทึกทั้งภาพและเสียงและความรู้สึกในร่างกายเพราะมันประสบการณ์ตรงของเธอ จากนั้นทันทีที่มีความทรงจำแบบนี้มันจะเร้าให้หัวใจเต้นแรงเหงื่อแตกแล้วก็เหมือนจะสติแตก
- ความทรงจำของมนุษย์เราจะถูกบันทึกผ่านประสาทสัมผัส เราเห็นอะไรเราบันทึกเข้าไป เราได้ยินอะไรเราบันทึกเข้าไปเรามีความรู้สึกในร่างกายอะไรเราบันทึกเข้าไป แต่เวลาหยิบมาฉายซ้ำ ถ้าเราหยิบมาใช้ซ้ำในใจเราแล้วปล่อยให้มันฉายซ้ำเอง ตรงนี้จะขึ้นอยู่กับว่าเราบันทึกอะไรไว้
ถ้าเรานำคน 10 คนไปอยู่ในเหตุการณ์เหตุการณ์เดียวกัน เช่น มีคนไปอยู่ในคอนเสิร์ตเวลาจบออกมาแล้วแต่ละคนจะจำคอนเสิร์ตนั้นไม่เหมือนกัน หรือเรานำคน 10 คนไปเที่ยวทะเล ให้เขาจำที่เกี่ยวข้องกับการไปเที่ยวทะเลครั้งนั้น สิบคนนั้นก็บรรยายความทรงจำไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนจะมีวิธีการสังเกตด้วยสายตา การซึมซับความรู้สึกด้วยความรู้สึกในกาย การรับลม หรือฟังเสียง ความเปิดรับต่อประสบการณ์ไม่เหมือนกัน
ดังนั้นในผู้หญิงไทยคนนี้ที่มีประสบการณ์จัดการแผ่นดินไหว แล้วต่อมาฟังข่าว ก็รับรู้ว่ามันเป็นสึนามิ แล้วก็รู้ว่ามันโรงไฟฟ้าระเบิดนี่ มันล้วนแล้วแต่ย้ำย้ำย้ำตลอด เราก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบความทรงจำของเธอ ซึ่งการเปลี่ยนรูปภาพความทรงจำของเธอนี่มันเป็นเทคนิคเฉพาะ ซึ่งขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด แต่บอกได้ว่ามันเป็นการ เปลี่ยนจากมุมของผู้อยู่ในเหตุการณ์ให้กลายเป็นมุมของผู้ดู ตัวเองในเหตุการณ์นั้น แล้วก็เปลี่ยนภาพ เสียง ความรู้สึกในกาย และดูว่าระบบประสาทสัมผัสตัวไหนที่ได้ผลในการช่วยเหลือเธอ
- หลังจากช่วยเหลือเธอครั้งนั้นผมก็รู้แต่ว่าผมช่วยเธอลดปฏิกิริยาลงในห้องเรียน แล้วผมก็ไม่ได้เจอเธออีกเลยเป็นมาหลายปี เธอมาเล่าว่าหลังจากจบครั้งนั้นเธอเรียนรู้จากที่ผมสอนไปว่าเธอจะถอยความรู้สึกออกมาเป็นผู้ดูได้ยังไง และเธอเรียนรู้ว่าสิ่งที่เธอกลัวไม่ใช่ภาพสั่นไหวไม่ใช่ความรู้สึกที่มันสั่นไหวแต่เป็นเสียงที่มันดังมาก ดังนั้นเธอจึงเรียนรู้ที่จะหรี่เสียงจนปิดเสียงความทรงจำในส่วนนี้ไป ซึ่งทำให้เมื่อเธอฝึกซ้อมซ้ำๆ โดยเธอใช้เวลาอีกครึ่งปีในการฝึก โดยเมื่อความทรงจำนี้ผุดขึ้นมา เธอปรับเป็นผู้ดู และก็หรี่เสียงมัน ปรับเป็นผู้ดู หรี่เสียงมัน ซ้ำๆๆๆ ตลอดครึ่งปี เธอถึงจะรู้สึกว่าจะเธอหายดี แล้วเธอก็มาเล่าให้ฟังในครั้งนี้ว่ากระบวนการนี้มันช่วยเธอได้ยังไง
- ทั้งหมดที่ผมเล่าก็คือขั้นตอนที่ 4 คือการเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้สึกหรือมุมมองที่มีต่อเหตุการณ์ ถ้าเป็นน้อยๆในขั้นตอนที่ 3 เราก็ไปเผชิญหน้าอยู่กับความกลัวบ่อยๆ มันก็เป็นการเปลี่ยนประสบการณ์ที่ทำให้เราหายกลัว แต่กรณีที่รุนแรงแบบนี้ ก็เป็นการเปลี่ยนประสบการณ์ที่มีผ่านรายละเอียดเชิงเทคนิค เพื่อช่วยให้เราเปลี่ยนประสบการณ์นั้นได้โย ให้ถอยออกมาเป็นผู้ดูได้ แล้วก็ลดอิทธิพลลง ซึ่งแม้แต่เธอซึ่งได้รับความช่วยเหลือแล้วในครึ่งชั่วโมงนั้น เธอก็ได้ไปฝึกต่ออีกครึ่งปีมันถึงดีขึ้น
- คราวนี้มีอีกกรณีหนึ่งที่จะนำมาคุยกัน ก็คือกรณีที่ถ้าเราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่เล็กแล้วมันก็เป็นประสบการณ์ที่มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เราจะเปลี่ยนประสบการณ์ของเราได้ยังไง เพราะได้กล่าวแล้วว่าถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในตอนที่เรายังเป็นเด็กมากๆเราอาจจะยังพูดไม่ค่อยเก่ง และเราอาจจะยังไม่ค่อยรู้ความมากนัก เรารู้แต่ว่ามันมันขาดอะไรบางอย่างไป ซึ่งเรื่องนี้สามารถแยกเป็นสองกรณี คือ กรณีที่หนึ่ง เด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่นี่จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องเกิดปัญหาก็ได้ถ้าเขาได้อยู่กับญาติผู้ใหญ่ที่ใส่ใจเขาได้แทนพ่อแม่
แต่ในกรณีที่สอง ที่เด็กที่อยู่กับญาติผู้ใหญ่ที่ทำเขารู้รู้สึกขาด โดยอาจจะมีปัจจัยบางอย่างมาทำให้เขารู้สึกไม่ดี เช่น เขาเป็นลูกคนเดียวที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่พี่น้องที่เหลือได้อยู่กับพ่อแม่ ซึ่กรณีที่เคยมีคนเล่าให้ผมฟังคือเข้าไปอยู่กับญาติแล้วญาติก็ปฏิบัติกับเขาเหมือนเขาเป็นส่วนเกิน คือ ญาติเขามีลูกหลานของตัวเองแล้วก็ให้ความรักกับลูกตัวเองแต่ไม่ค่อยได้ให้ความรักกับตัวเขา เขาจึงไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่รู้สึกขาด ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มีคนรักไม่มีคนยอมรับ โดยมันจะอยู่ลึกๆที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ค่อยถูก ทีนี้เราจะเปลี่ยนประสบการณ์แบบนี้ได้ยังไง “หลักการก็คือว่า ความโหยหาความรักที่ยังมีอยู่อยู่ลึกๆนี้ เราไม่สามารถตอบสนองได้โดยการความรักจากพ่อแม่ในปัจจุบัน แต่เราสามารถที่จะเรียนรู้ในการสร้างพลังแห่งความรักขึ้นภายในแล้วเยียวยาตัวเด็กน้อยในตัวเรา” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประสบการณ์อย่างหนึ่ง
- ทั้งนี้ท่านอาจจะเห็นว่า ขั้นตอนที่ 1 ท่านทำได้ ขั้นตอนที่ 2 ท่านน่าจะทำได้ ขั้นตอนที่ 3 ท่านก็อาจจะพอทำได้ ส่วนในขั้นตอนที่ 4 ถ้ามันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งท่านอาจจะทำได้ไม่มาก แต่ถ้าท่านทำขั้นตอนที่ 1,2,3 ได้ดีไปเรื่อยๆ แล้วไม่ใช่เรื่องปมใหญ่ท่านอาจจะผ่านขั้นตอนที่ 4 ไปได้ในระดับหนึ่งครับ ในระดับที่มันไม่ได้รบกวนใจท่าน
- จะขออนุญาตเพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องส่วนตัวของผม(หมายถึงของอ.นพ.ประเวช-ผู้เรียบเรียง) ในสมัยที่เรียนการบำบัดสกุลซาเทียร์ที่อเมริกา ในโปรแปรม จะมีอยู่วันนึงที่เราทำแผนที่ครอบครัว ซึ่งผมเคยเข้าใจว่าครอบครัวผมดำเนินไปเป็นปกติ แล้วก็คิดว่าตัวเองเข้าใจครอบครัวของตัวเองดี แต่เมื่อผมได้ทำแผนที่ครอบครัวและนึกภาพของประสบการณ์ของพ่อผมประสบการณ์ของแม่ผม ทำให้ผมก็เริ่มเข้าใจท่านได้มากขึ้น เข้าใจความยากลำบาก ความต้องต่อสู้ดิ้นรน ความเข้าใจแบบนี้มันเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้สึกข้างในที่เรามีต่อพ่อแม่ตัวเราเอง
- เหมือนกับครั้งหนึ่ง ตอนที่ผมบวชแล้วผมไปดูแลหลวงปู่ ก็คือไปนวดและดูแลพื้นฐานซึ่งจริงๆแล้วเป็นวิธีฝึกปฎิบัติอย่างหนึ่งของสายวัดป่า ช่วงนึงผมก็รู้สึกว่า ผมเคารพและเทิดทูนหลวงปู่มาก แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า เออ เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับพ่อแม่ตัวเอง แต่เรามีประสบการณ์ของความเทิดทูนบุคคลที่เหมือนช่วยให้เราได้เกิดใหม่ ดังนั้นผมก็เลือกที่จะย้ายความรู้สึกเพิ่มเข้ามาในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกที่ผมมีกับพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้คือการเปลี่ยนประสบการณ์
- ตัวอย่างนี้เหล่านี้ หมายความว่า “ตลอดชีวิตของเราเรามาสามารถที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ของตัวเราเองได้ด้วยตัวเองได้” ถ้ามันไม่ได้เป็นปมใหญ่ที่เราแก้ไม่ออก และผมก็หวังว่าถ้าท่านได้เรียนและได้ฟังมาถึงตรงนี้ท่านอาจจะมีแรงบันดาลใจในการที่จะฝึกปฏิบัติหลายๆอย่างเพื่อที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ การหันมาทบทวนชีวิตการได้ทำอะไรลงลึกและได้ทบทวน มันช่วยเราค้นพบหลายๆอย่างเกี่ยวกับชีวิตตัวเรา แล้วทำให้เราเติบโต ผมได้อ่านข้อความหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนส่งมาให้ว่า “ถ้าเราเข้าใจจิตใจตัวเองเราก็จะเข้าใจธรรมะ” ซึ่งผมคิดว่า การเข้าใจจิตใจตัวเองเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่ความเข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้งขึ้น อันนี้คือขั้นตอนที่ 4 คือเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมอง
ขั้นตอนที่ 5 : การค้นพบความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นและการตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตเพื่อจะเดินไปข้างหน้า
- การค้นพบความหมายที่เกิดขึ้นนี้จะนำไปสู่การมองชีวิตในมุมใหม่ แล้วก็เกิดการตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตของเราที่เพื่อจะเดินไปข้างหน้าโดยมองสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่ทำให้เราเติบโต เรื่องนี้ได้พูดถึงบ่อยๆว่า วิกฤตชีวิตหรือสิ่งที่มันมากระทบเรา ในมุมหนึ่งมันอาจจะทำร้ายเราได้จิตใจหรือร่างกายแต่ในอีกมุมนึงมันก็จะเป็นโจทย์ที่ทำให้เราเติบโต โดยนักปราชญ์คนหนึ่งในโลกตะวันตกได้พูดไว้ว่า เหตุการณ์ที่ทำร้ายเราถ้าไม่ทำให้เราตายเราจะเติบโตขึ้นได้ (เดิมเป็นภาษาเยอรมันว่า Was mich nicht umbringt, Macht mich stärker กล่าวโดย Friedrich Nietzsche แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า What does not kill me makes me stronger - ผู้เรียบเรียง) ในวงการของการดูแลผู้ที่มีเหตุที่มีบาดแผลทางใจ ก็มีคำทางเทคนิคที่แปลเป็นไทยได้ว่าการเติบโตภายหลังการเกิดเหตุสะเทือนใจหรือการมีบาดแผลทางใจ (เข้าใจว่าคือ Post traumatic growth - ผู้เรียบเรียง)
- ดังนั้นในขั้นตอนที่ 5 ก็หมายถึงว่าเราจะเปลี่ยนเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กลายเป็นการตั้งเป้าหมายของชีวิต นำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน และพัฒนายกระดับความเข้าใจของเราให้เราเติบโตขึ้นไปข้างหน้า นี้ก็คือ 5 ขั้นตอนที่ผมหวังว่าเมื่อท่านได้ฟังแล้ว ท่านจะมองเห็นว่ามีอะไรที่ท่านจะนำไปใช้กับตัวเองได้ อาจจะไม่ใช่ปมใหญ่อะไร เช่น เคยรู้สึกอกหักแล้วก็ยังค้างอยู่ (เรื่องนี้มีเยอะ ล่าสุดตอนที่ผมไปจัดอบรมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มีสมาชิกที่ไม่ใช่ผู้เรียนแต่เป็นผู้จัดมากระซิบบอกว่าเธอรู้สึกว่าการผิดหวังในรักยังค้างใจเธออยู่) กระบวนการก็จะใช้กระบวนการเดียวกันได้ (หรือถ้าท่านจำได้ผมก็เคยพูดถึงเรื่องอกหักแต่ทำไมเจ็บนานแล้วได้พูดถึงปัจจัยเหล่านี้ นี่คือทั้งหมดที่เป็นเนื้อหาเลย)
สรุป 5 ขั้นตอนแก้ปมค้างใจ
1) การเรียนรู้การจัดการอารมณ์และความเครียด
2) การเรียนสร้างความรู้สึกเป็นสุขและความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาภายในใจ
3) การเปิดพื้นที่ภายในใจเพื่อสำรวจประสบการณ์ที่เป็นลบหรือเจ็บปวด
4) การเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองที่มีต่อเรื่องราว
5) การค้นพบความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นและการตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตเพื่อจะเดินไปข้างหน้า
4
(จาก live อ.นพ.ประเวช วันที่ 12 สิงหาคม 2561 https://www.youtube.com/watch?v=HABARK46iM4 )
โฆษณา