24 ก.พ. 2022 เวลา 06:23 • สุขภาพ
ความเหงา 4 ประเภทและวิธีจัดการ
Executive summary
A. ความเหงาสี่ประเภท ได้แก่
1) ความเหงาที่เกิดจากสถานการณ์เฉพาะที่ทำให้เราหลุดหรือออกจากสายสัมพันธ์เดิมที่เราคุ้นเคย
2) ความเหงาที่เกิดจากความโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
3) ความเหงาจากสภาวะทางจิตใจ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้า
4) ความเหงาที่เกิดจากปมค้างใจ
B. สิ่งที่ต้องสร้างเพื่อให้หายเหงา
1) ทักษะการจัดการชีวิตพื้นฐาน (กิน นอน ออกกำลังกาย)
2) ทักษะการตั้งเป้าหมาย และสนุกกับการดำเนินชีวิตเชิงรุก
3) ทักษะการสร้างความสุข
4) ทักษะการจัดการความกังวล และทักษะการเข้าสังคม
5) ทักษะการจัดการปมค้างใจ
6) อื่นๆ เช่น การรวมตัวกัน ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Self help group
อ้างอิงจาก Live อ.นพ.ประเวช ตันติพิพัฒนกุล วันที่ 17 มกราคม 2564 https://www.youtube.com/watch?v=84RPL8JWCyg
ในงานของคนทำงานด้านจิตเวชและสุขภาพจิต โจทย์เรื่องความเหงาเจอได้เป็นครั้งคราว โดยคนที่มาปรึกษาด้วยเรื่องความเหงาอย่างเดียวพบได้ไม่บ่อย แต่มักจะพบร่วมกับเงื่อนไขบางอย่างในสถานการณ์ชีวิตของเขา ซึ่งเมื่อลองจัดประเภทความเหงาเพื่อให้พอจะรู้ตัวว่าความเหงาของบุคคลอาจจะเป็นจากอะไร และจะแนวทางวิธีจัดการให้ในเบื้องต้นได้อย่างไร ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่เคยมีประสบการณ์ความเหงา
ก่อนอื่นต้องขอเริ่มต้นที่นิยามก่อน ความเหงาแปลว่าอะไร?
ความเหงาเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่เป็นความโหยหาความสัมพันธ์ โดยที่บางครั้งเราอาจจะเหงาได้แม้เราจะอยู่ท่ามกลางวงเพื่อนผู้คน ดังนั้น ความเหงาจึงไม่ใช่เรื่องของว่าเรามีเพื่อนหรือมีคนรอบตัวไหม แต่มันมีปัจจัยอื่นมาประกอบ ซึ่งการจำแนกเป็น 4 ประเภทนี้ก็อาจจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของความเหงาที่หลากหลายได้ คือ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นปลายทางของหลายๆเรื่องได้
1. ความเหงาประเภทที่หนึ่ง ถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด คือ ความเหงาที่เกิดจากสถานการณ์เฉพาะที่ทำให้เราหลุดหรือออกจากสายสัมพันธ์เดิมที่เราคุ้นเคย เช่น กรณีที่เราย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงานไปอยู่ในถิ่นที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก แล้วไปคนเดียว หรือเด็กๆย้ายโรงเรียน ย้ายจังหวัดตามพ่อแม่ ซึ่งแม้ว่ากลางคืนจะอยู่กับพ่อแม่ แต่กลางวันก็ไปโรงเรียน ไปในที่ที่เขายังไม่มีเพื่อน หรืออาจจะหนักกว่านี้ก็คือกรณีที่ย้ายไปอยู่ต่างแดน ซึ่งก็รวมถึงนักศึกษาที่ไปเรียนต่อในต่างประเทศ สถานการณ์แบบนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่เราหลุดออกจากความสัมพันธ์เดิมที่เรามี เช่น เครือญาติ เพื่อนฝูง ซึ่งในตอนต้นเรายังไม่มีเครือ ไม่มีสายสัมพันธ์แบบนั้นในที่ใหม่ และต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งในการสร้างขึ้นมา
ในบางกรณีเราก็เลิกกับแฟนเราก็เหงาๆเพราะว่ามันเกิดช่องว่างของความสัมพันธ์โดยเฉพาะถ้าจากเดิมเราสนิทกับแฟน แล้วเราไม่ค่อยไปเจอเพื่อน วันหนึ่งพอเราเลิกกับแฟนแล้วมันเหมือนกับว่ามีรูโหว่ของเวลาให้เราเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่ ปกติมีคนมาใกล้ชิด มีความสุขมีภาพผูกพัน มีกิจกรรม พอไม่มีก็จะเกิดความรู้สึกโหวงๆขึ้นมาเป็นความเหงา ถ้าเป็นการหย่าร้างก็จะมีกระทบต่อความรู้สึกที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะถ้าการหย่าร้างและนำมาซึ่งปัญหาที่ต้องดิ้นรนต้องจัดการ มีความเครียดตอนนั้นก็อาจจะยิ่งมีความรู้สึกเหงามากขึ้น
บางกรณีก็เป็นเพื่อนสนิทเสียชีวิตจากไป ซึ่งมีได้ทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน วัยสูงอายุ โดยเฉพาะในวัยรุ่น เวลามีเพื่อนเสียชีวิตไปจะกระทบมากกับเพื่อนสนิทที่อยู่ ในขณะที่ผู้สูงอายุก็เหงามากขึ้นเรื่อยๆตอนที่คนรู้จักค่อยๆตายจากไป คนรักที่เสียไปไม่ใช่หย่าร้าง แต่ตายจากไป หรือมีเหตุให้ต้องแยกพลัดพรากกันก็มีความเหงาได้
นอกจากนี้ พ่อแม่ที่มีเลี้ยงลูกมาแล้ววันนึงลูกเติบโต ย้ายออกไปต่างคนต่างมีครอบครัว มีชีวิตของตัวเอง ที่บ้านก็เกิดสภาวะสุญญากาศของความสัมพันธ์ ส่วนใหญ่แม่ก็จะเหงามากกว่าพ่อ เพราะว่าแม่มักจะใช้เวลาและพลังงานในการดูแลลูก หลายคนก็ใช้ชีวิตอยู่เพื่อลูก ครั้นพอลูกเติบโตแล้ว บินได้(หมายถึงไปใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง-ผู้เรียบเรียง) แม่ก็เคว้งเพราะว่า ทุกวันนั้นก่อนหน้านั้นอยู่เพื่อลูก ตอนนี้ลูกโตไปแล้ว ไม่ต้องให้เขาดูแลแล้ว เขาไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร จุดหมายชีวิตขาดหายไป
ดังนั้นความเหงาจากสถานการณ์เฉพาะเหล่านี้ มันมีหลายหลากหลายมาก แล้วเวลาที่คนเหล่านี้มาพบกับคนที่ีทำงานด้านสุขภาพจิต เราก็ไม่ได้ไปจัดการที่ตัวอารมณ์ความรู้สึก แต่เราพยายามจะเข้าใจบริบทหรือเหตุการณ์ แล้วก็ต้องทำให้ชีวิตมันของคนคนนั้นกลับเข้าที่เข้าทาง ซึ่งก็มีหลักง่ายๆอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ ดังนี้
ข้อหนึ่ง ก็คือต้องต้องระวังว่าเวลาที่เราเหงา การจัดการอารมณ์เหงาของเราอาจจะนำไปสู่ปัญหา เช่น บางคนก็ไปดื่มแอลกอฮอล์เพื่อไปกลบอารมณ์ บางคนก็กระโจนไปในความสัมพันธ์ใหม่ เพราะว่าเขาอยู่ในสภาวะเปราะบาง ต้องการความสัมพันธ์มาชดเชย บางคนเลิกกับแฟนคนนึงรีบก็กระโดดไปมีแฟนคนใหม่ ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าไปได้คนที่ไม่เหมาะกับตน ไปเลือกคนผิดมา
ดังนั้นตอนนี้เราต้องระวังว่า ระหว่างที่เรารู้สึกเหงา ถ้าเราตระหนักว่ามันเป็นสถานการณ์เฉพาะ เราก็ต้องจัดระบบทำในข้อที่เหลือ แต่ข้อแรกที่ต้องจัดการไว้ก่อนก็คือ ไม่จัดการความรู้สึกด้วยวิธีผิดผิด เพราะมันจะนำไปสู่การสร้างปัญหาเพิ่มเติมมากขึ้น
ข้อสอง ก็คือ ไม่ว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เราต้องเริ่มต้นจากการจัดระบบชีวิตให้เข้าที่ ซึ่งระบบชีวิตในที่นี้ ก็คือแต่ละวันเรามีโครงสร้างการใช้เวลา มีการกิน นอน ออกกำลังกาย และกิจกรรมสร้างความสุขและผ่อนคลาย รวมถึงกิจกรรมทางสังคมซึ่งเดี๋ยวจะพูดในกับข้อที่สาม แต่ในข้อสองก็คือในระดับบุคคล ไม่ว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เราต้องจัดระบบชีวิตให้เป็นพื้นฐานของตัวเราให้ดีก่อน คือ การจัดเวลากิน นอน ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจมีความสุข เหล่านี้ ต้องวางไว้ในชีวิตของเรา เพราะบางคนพอเหงาแล้วก็ไม่ทำอะไร นอนดูทีวี ดูละคร อย่างนี้ อารมณ์จะยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเขาเลือกไปออกกำลังกาย ไปเจอแสงแดด ไปกินอาหารมีสุขภาพดี นอนหลับให้เพียงพอ รู้จักใช้เวลาในการอยู่คนเดียวให้ดี สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นการจัดการความเหงาในแบบที่ทำได้ด้วยตัวเอง
ข้อสาม ก็คือเราต้องรู้ว่าเราต้องค่อยๆกลับไปสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมาชดเชยหรือทดแทนสายสัมพันธ์ที่หายไป หรือในบางกรณีอาจจะต้องเรียนรู้วิธีการอยู่กับตัวเองให้มากขึ้น เช่น ถ้าสมมุติว่าเราเลิกกับแฟน แต่ว่าเราก็ยังมีเพื่อน มีญาติพี่น้อง เราก็สร้างสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ แล้วก็ไม่ต้องรีบไปมีแฟนใหม่ ให้ค่อยๆใช้เวลาดู(ใจ)กันไป โดยหลักแล้วก็คงจะอยู่(กับเพื่อน ญาติ พ่อแม่พี่น้อง-ผู้เรียบเรียง) จนกระทั่งเราหายเหงา แล้วค่อยไปมีแฟนใหม่ ไม่งั้นเราจะถูกความเหงาผลักให้เราเลือกแฟนที่ไม่เหมาะเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าพ่อแม่ที่ลูกบินไปแล้ว(หมายถึงไปมีชีวิตของตัวเองแล้ว-ผู้เรียบเรียง) แล้วก็เหงา
ตรงนี้พ่อแม่จะต้องออกแบบการใช้เวลาในช่วงวัยเกษียณของตัวเองให้เป็น ซึ่งก็คือการอยู่โดยที่ไม่ต้องมีคนเยอะเหมือนเดิมก็ได้ คืออยู่กับตัวเอง อยู่กับคนในวงเล็กลง เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาก็ ก็เป็นข้อคิดที่เป็นตัวเลือกเท่านั้นเอง สรุปว่าหลักการของข้อสามนี้ก็คือ ต้องสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมาให้ตอบคำต้องการในเชิงการมีความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวเราซึ่งเราต้องคัดสรรเข้ามา
ข้อสี่ ก็คือ ในสภาวะเหงานี้ บางครั้งเกิดจากการไม่มีจุดหมายในชีวิต ไม่รู้ว่าเราจะใช้เวลาในแต่ละวันทำอะไร มันก็จะทำมห้เราเคว้งๆ แต่ทันทีที่เรามีแผน เรามีเป้าหมายที่เราอยากไปให้ถึง พลังงานของเราก็จะเทไปสู่จุดหมายนั้น ความเหงาก็จะคลี่คลายลงไปได้
ข้อห้า ก็คือ ตระหนักว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกจากสถานการณ์ชั่วคราว ซึ่งมันจะดีขึ้นได้ถ้าเราจัดการข้อหนึ่งถึงสี่ที่กล่าวมาก่อนหน้าได้อย่างเหมาะสม
ดังนั้นโดยรวมก็คือ ความเหงาที่เกิดจากสถานการณ์เฉพาะ เราก็แก้ที่ต้นเหตุของมันให้ถูกต้อง โดยในระหว่างแก้ไข ในการสร้างสายสัมพันธ์ ก็ต้องจัดระบบชีวิต ต้องมีจุดหมายของการดำเนินชีวิต และก็รู้ว่าเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นได้ถ้าเราจัดการได้อย่างถูกต้อง อันนี้คือประเภทที่ 1 ฟังดูก็ไม่ยากใช่ไหมครับ แต่ว่าความซับซ้อนของโจทก์ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนเลิกกับแฟนก็ไม่ง่ายเลย ชิวๆ แป๊บเดียวก็ไปมีเพื่อน ไปคบหาคนใหม่สักพัก เดี๋ยวก็มีแฟนใหม่ละ แต่บางคนเลิกกับแฟนแล้วเจ็บปวดอยู่นาน ช้ำใจ สูญเสีย เสียศูนย์ไปเลย อันนั้นมันมักจะไม่ได้เกิดจากการเสียแฟนอย่างเดียว แต่มันมักจะไปกระทบกับผมบางอย่าง หรือปมบางอย่างที่ลึกลงไปกว่านั้น
2. ความเหงาประเภทที่สอง เป็นความเหงาที่เกิดจากความโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ของทีม ของสังคมที่เขาอยู่ในที่นั่น ซึ่งความเหงาประเภทนี้จะแตกต่างจากกลุ่มแรก โดยความเหงากลุ่มนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย
กลุ่มย่อยที่หนึ่ง ก็คือ เขาขาดคือทักษะทางสังคมในการที่จะไปผูกมิตร สร้างเครือข่าย มีเพื่อน โดยกลุ่มนี้มักจะมีพื้นอารมณ์ที่วิตกตกกังวล และก็ขาดทักษะทางสังคม บางคนก็มีความกลัวสถานการณ์ทางสังคม ทำให้ไม่มีเพื่อน ไม่มีเพื่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เป็นส่วนหนึ่ง แล้วก็ ก็จะเหงา
กลุ่มย่อยที่สอง ที่เป็นความเหงาจากการโดดเดี่ยวไม่ได้รับการยอมรับ จะเป็นกลุ่มย่อยที่มีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่สังคมปฏิเสธหรือรังเกียจ เช่น สมัยหนึ่งตอนเชื้อไวรัส HIV ระบาดใหม่ๆ ผู้ติดเชื้อ HIV ก็ถูกรังเกียจ ก็จะถูกกันออกมา หลุดออกจากสังคมที่อยู่ บางที่ถูกไล่ด้วย ไม่ให้อยู่ ก็เหมือนถูกปฏิเสธ คือคนรอบข้างปฏิเสธเขา เกิดเป็นความเหงา ความโดดเดี่ยว
หรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษหลากหลาย เวลาเข้าโรงเรียนอาจจะถูกเพื่อนมองเป็นตัวประหลาดซึ่งก็ทำให้ เขาหลุดออกจากเพื่อน ไม่ได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของเพื่อนๆ ก็มีความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวได้ หรือคนที่มีเพศสภาพแตกต่างจากคนอื่น เช่น เด็กนักเรียนชาย ที่ค้นพบตัวเองว่าไม่อยากเป็นผู้ชาย หรือมาพบว่าตัวเองเป็นเกย์ แล้วก็ไม่อยากยอมรับตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวคนอื่นจะไม่ยอมรับ ก็จะเกิดเป็นสภาวะที่ เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนหรือสังคม ในยุคสมัยที่การยอมรับเรื่องของเกย์มีต่ำ คนที่เป็นเกย์ก็ต้องปิดบัง แต่ในปัจจุบันการยอมรับเรื่องนี้มีมากขึ้น การเปิดเผยตัวการมีวงเพื่อนก็ทำได้ดีขึ้น แต่ว่ากระแสสังคมส่วนใหญ่ก็ยังอาจจะไม่ได้ให้การยอมรับกันทั่วถึง
ดังนั้นคนที่มีลักษณะพิเศษบางอย่างที่ไม่เหมือนกับกระแสหลัก ก็มักจะถูกกันการเข้าถึงความมีส่วนร่วม ซึ่งอันนี้ก็เป็นความเหงาที่เเกิดจากปัจจัยทางสังคม นอกจากนี้ในบางพื่นที่ เชื้อชาติ สีผิว ศาสนาก็จะถูกกีดกัน
ดังนั้นถ้าเรามองความเหงาที่เกิดจากความโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการยอมรับและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ก็จะพบว่าความเหงาประเภทนี้มีส่วนที่เกิดจากการขาดทักษะในการเข้ากลุ่ม กับส่วนที่ถูกกลุ่มกันออกมา สองกลุ่มนี้มักจะมีแนวโน้มที่จะเป็นเรื้อรัง และส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่น สร้างความรู้สึกโดดเดี่ยว มีความเครียดเรื้อรัง เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์มีความต้องการการอยู่รวมกลุ่มเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน พอไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ก็จะมีความเครียดเรื้อรังได้ และถ้าดูแลไม่ดีก็จะเจ็บป่วย หรือถ้าเรื้อรังต่อไปก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าตามมา ที่กล่าวมานี้ก็คือความเหงาประเภทที่ 2 ซึ่งถ้าพูดถึงวิธีจัดการ เราก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุของมัน แบ่งเป็น 2 กรณี ก็คือ
กรณีของคนที่ขาดทักษะทางสังคม มีพื้นอารมณ์กังวล ก็ต้องรักษาอาการอารมณ์กังวลของเขา ความขี้กังวลซึ่งมีวิธีการรักษาในแบบที่ไม่ใช้ยาหลายอย่างมาก นอกจากนี้ยังมียาที่รักษาได้ผลดีพอสมควร แต่ว่าในวงการจิตแพทย์ก็จะถือว่า เราไม่ควรใช้ยารักษาอาการวิตกกังวลนานต่อเนื่องเกิน 3 เดือน แล้วก็ต้องฝึกทักษะทางสังคม อะไรที่ขาดก็ต้องฝึกฝนให้มี
ทั้งนี้พบว่า คนที่ขาดทักษะทางสังคมมากๆ และมีความกังวลสูงๆ โดยส่วนใหญ่ก็ต้องยังต้องใช้ยาช่วย และฝึกทักษะการเข้าสังคม ซึ่งบางคนฝึกและดีขึ้นเป็นลำดับ แต่บางคนฝึกแล้วขึ้นๆลงๆขึ้นๆลงๆ ขึ้นอยู่กับต้นทุนชีวิตของต่ละคน แต่เราก็คงยังต้องฝึกให้เขามีทักษะในการเข้าสู่สังคมเพื่อเข้าสู่กระแสให้ความเป็นส่วนร่วม ในแง่ของการคบคน เราก็จะแนะนำว่า ให้เลือกคบเพียงบางคนก่อน คนที่พอคุยได้ คนที่คิดว่าเขายอมรับและเข้าใจกัน การคุยเพียงเริ่มต้นจากบางคนแล้วค่อยๆขยาย ก็จะเป็นเหมือนการฝึกซ้อมที่จะใช้เวทีเล็กๆก่อนที่จะไปหาเวทีใหญ่ๆ
กรณีของที่กลุ่มถูกกีดกัน จริงๆแล้วการแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ การเปลี่ยนทัศนคติของสังคมในภาพรวม ที่จะยอมรับคนที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างที่ยกไป คือผู้ติดเชื้อ HIV หรือเด็กที่เป็นเด็กพิเศษ หรือคนที่มีเพศสภาพแตกต่างจากกระแสหลักในสังคม คนกลุ่มนี้ต้องการการความเข้าใจและต้องการการยอมรับที่จะเป็นส่วนหนึ่งในสังคม
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเรายังต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่ยอมรับ กลุ่มที่ถูกกีดกันนี้ ดีที่สุดก็คือการมีโอกาสรวมตัวกัน ที่เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่าเป็น Self help group หรือเป็นกลุ่มช่วยเหลือกันเองนี่ กลุ่มช่วยเหลือกันเองก็คือกลุ่มที่รวมโจทย์ที่คล้ายกันมารวมตัวกัน แล้วมันก็จะมีการยอมรับอยู่ภายในนั้น สมัยที่ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่ได้รับการยอมรับ เขาก็รวมตัวกัน โดยโรงพยาบาลช่วยจัดพื้นที่ให้เขาไปรวมตัวกัน จากนั้นก็ไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม สังคมก็รู้จักเขามากขึ้น ก็ให้การยอมรับเขา เขาก็เข้าก็เข้าสู่สังคมได้ง่ายขึ้น และเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นมันเป็นเหมือนกับใก่กับไข่ เราจะไปหวังสังคมยอมรับ หรือเราจะสร้างการยอมรับจากสังคมอันนี้ ก็ควรจะทำทั้ง 2 สาย
(ที่กล่าวมานี้ทั้งหมดนี้ คือกลุ่มความเหงากลุ่มที่สอง คือเหงาเพราะโดดเดี่ยวและถูกกีดกันออกจากกระแสใหญ่นี่ ผม (อ.นพ. ประเวช) เดาว่าคนที่ฟังรายการนี้ อาจจะมีส่วนนึงอยู่ในกลุ่มของกลุ่มที่กังวล และขาดทักษะทางสังคม )
3.ความเหงาประเภทที่สาม ก็คือ ความเหงาจากสภาวะทางจิตใจ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้า โดยเกี่ยวข้องได้สองแบบ แบบแรกก็คือเหงาและเศร้านิดๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า กับแบบที่สอง คือเหงาและป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งในกรณีหลัง ความเหงาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่เป็นอาการของโรคซึมเศร้าได้เลย ทั้งนี้ความเหงาประเภทที่สามทั้งสองแบบ มีความแตกต่างกันเล็กน้อย ก็คือ กรณีเหงาแบบเศร้านิดๆ มักจะเกิดจากสถานการณ์ชีวิต ที่เขามักจะจัดการชีวิตแบบปล่อยไหล แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีจุดมุ่งหมาย พออยู่ไปๆมันก็รู้สึกเบื่อๆเซ็งๆเศร้าๆปนๆกับความเหงา (เพราะว่าเขาปล่อยชีวิตให้ไหลไปเรื่อย)
ในกรณีนี้ ถ้าเราฝึกให้เขามีจุดมุ่งหมาย สนุกกับการดำเนินชีวิตเชิงรุก ความเหงาๆ ความเซ็งๆเบื่อๆก็คลี่คลายลงได้ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็มักขาดทักษะสร้างความสุขด้วย (ดังนั้นก็ต้องเติมทักษะในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน-ผู้เรียบเรียง) ในกรณีที่เป็นแบบที่สอง คือป่วยเป็นซึมเศร้าเลย ก็ต้องรักษาโรคซึมเศร้า แล้วก็อาจจะต้องดูว่าเขามีพื้นอารมณ์กังวลที่ทำให้ขาดทักษะสังคม คือไปซ้อนกับกลุ่มที่ 2 ด้วยหรือไม่ (ถ้ามีก็ต้องฝึกให้เขามีทักษะทางสังคมควบคู่ไปด้วย-ผู้เรียบเรียง)
นอกจากนี้ยังมีสภาวะทางร่างกายบางอย่าง ที่ทำให้คนเรามีอาการเหงาๆเศร้าๆ หรือมีอารมณ์อ่อนไหวได้ด้วย เช่น กรณีผู้หญิงหลังคลอด ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และก็อยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์เปราะบาง ถ้าญาติพี่น้อง สามี ไม่ได้ให้การดูแลช่วยเหลืออย่างเข้าใจ บางคนก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า คือเป็นภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หรือบางครั้งก็มีความอ่อนไหวทางความรู้สึกรวมถึงความเหงาได้ด้วย ซึ่งกรณีหลังนี้มันจะปนๆกันระหว่างระบบร่างกายฮอร์โมน และการเหนื่อยล้าจากการดูแลลูกที่ยังเล็กอยู่ รวมไปถึงความเครียด แล้วก็เรื่องที่ว่า เขารู้สึกว่าเขาอุ่นใจที่มีคนช่วยเหลือ มีคนเข้าใจไหม ทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นตัวกำหนดว่า หลังคลอดนั้นจะเสี่ยงกับซึมเศร้าแล้วก็เกิดความอ่อนไหวแล้วก็เหงาๆไปด้วยหรือไม่
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สภาวะเหงาและเศร้านี่มักจะปนๆกัน แต่คนที่เหงาทุกคนก็ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า ในขณะเดียวกันคนที่ซึมเศร้าทุกคนก็ไม่ได้รู้สึกเหงา แต่ว่าเจอค่อนข้างบ่อย (ผมก็เหงาๆบ่อย-ผู้เรียบเรียง) เพราะมันจะมีความรู้สึกมีหลุดออกมาอยู่เหมือนกัน
ทั้งนี้คนที่ซึมเศร้าและเหงา จะมีความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ หลายครั้งคนจะเข้าไปช่วยเหลือแต่เขาไม่ค่อยต้องการรับการช่วยเหลือ ซึ่งตรงนี้ จะแตกต่างจากกรณีของคนที่ถูกกีดกันทางสังคม ถ้ามีใครยื่นมือไปนี้เขาต้องการมาก หรือคนที่ขาดทักษะทางสังคม ที่มีแต่คนมายื่นมือไปเขาจะโอเคมากเลย ต่างจากกลุ่มที่ซึมเศร้าและเหงา ซึ่งบางทีคนยื่นมือไปแล้ว เขามักปฏิเสธการช่วยเหลือ
แนวทางการช่วยเหลือของกลุ่มคนกลุ่มที่สามนี้ ก็ต้องจัดการที่ต้นเหตุของสภาวะทางจิตใจซึ่งแล้วแต่กรณี ไม่ว่าจะเป็นการป่วยเป็นซึมเศร้าก็ต้องรักษาโรคซึมเศร้า แต่ว่าถ้าเป็นกลุ่มที่รู้สึกเศร้าๆเบื่อๆเซ็งๆกับชีวิต แล้วก็เหงาๆ คนกลุ่มนี้มักจะมีแนวโน้มจะปล่อยชีวิตให้มันไหลไป วิธีแก้ดีที่สุดก็คือ ต้องฝึกนิสัยในการคิดเชิงรุกฝึกสร้างจุดมุ่งหมายของชีวิตขึ้นมา เพิ่มทักษะการมีความสุข และบางรายก็จะต้องเพิ่มทักษะทางสังคมด้วย พูดง่ายๆก็คือต้องดูเป็นรายๆไปและดูว่าขาดอะไร ถ้าได้ฝึกสิ่งเหล่านี้แล้วและเปลี่ยนวิธีจัดการชีวิตใหม่ ความเหงาของสภาวะประเภทเหงาๆเซ็งๆเบื่อๆเศร้าๆอย่างละนิดอย่างละหน่อย ก็มักจะดีขึ้นได้แต่ทั้งนี้ ต้องเปลี่ยนนิสัยการดำเนินชีวิตไป ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือความเหงาแบบที่สาม
4. ความเหงาประเภทที่สี่ เป็นกลุ่มสุดท้าย ความเหงาประเภทนี้ เป็นความเหงาที่เกิดจากปมค้างใจ ปมค้างใจที่ทำให้เหงายกตัวอย่างเช่น เด็กที่ในวัยเด็กเล็กไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ขาดความใส่ใจ อยู่ในบรรยากาศที่รู้สึกว่ามันมีแต่ความวุ่นวาย ไม่มีความสงบ ไม่มีความรักต่อกัน เช่น พ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแล ออกแต่เช้ากลับมาดึก ปล่อยให้ลูกอยู่เอง ส่งให้คนอื่นเลี้ยง ส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือไม่ก็หย่าร้าง หรือมีคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต สิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์ในวัยเด็กก็จะส่งผลต่อสภาวะทางอารมณ์ของเเด็ก โดยเด็กจะรู้สึกขาดสายสัมพันธ์ รู้สึกไม่มั่นคงแล้วก็ขาดความรัก โหยหาความรัก
กลุ่มคนที่มีความเหงาประเภทที่สี่นี้ เป็นกลุ่มที่มีความซับซ้อนมากที่สุด แล้วก็เวลาแก้ไขก็ต้องแก้ไขด้วยความเข้าใจว่า ความรู้สึกในเหงาตอนนี้ มันเป็นผลของอารมณ์ที่ถูกวางมาและได้สร้างความคุ้นเคยซึ่งส่งผลต่อระบบสมอง ระบบร่างกายของเขา แล้วมาแสดงอาการในตอนที่เรื่องราวมันผ่านไปนนานแล้ว ซึ่งอาจจะเป็น 10-20 ปี หรือหลายสิบปีก็ได้
เวลาที่จัดกิจกรรมเรียนรู้ให้กับคนที่มีโจทย์ของอารมณ์โดยเฉพาะเรื่องของปมค้างใจ คนที่มีความไม่เป็นสุขในชีวิต ทั้งๆที่ชีวิตก็มีหลายอย่างแล้ว หนึ่งในลักษณะร่วมที่พอบรรยายแล้วจะมีหลายคนยกมือว่า ฉันก็เเป็นๆ ก็คือ เวลาตกเย็น พระอาทิตย์ตกดิน เขามักจะรู้สึกเหงาๆเศร้าๆอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งก็มีตั้งแต่กลุ่มผู้เรียน(สมัยผู้สอน (อ.ปะเวช)) อยู่ราชการ เป็นพยาบาล เขียนบรรยายมาว่า ยามเย็นพระอาทิตย์ตกดินรู้สึกเหงาๆเศร้าๆ แล้วเขาทำอย่างไรรู้ไหมครับ เขาก็ชวนเพื่อนมานั่งดื่มกินกันสนุกสนานเฮฮา ความเศร้าก็หายไป แต่เขาไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของความเหงาภายในใจของเขา ซึ่งสาเหตุนั้นต้องดูว่าเป็นจากอะไร การดื่มเหล้าเป็นวิธีการแก้อาการ(คือความรู้สึกเหงาๆเศร้าๆผู้เรียบเรียง)เท่านั้นเอง
อาการกรณีของคนที่มีปมค้างใจนี่ เวลาที่เขาพูดถึงว่า ก่อนหน้านี้ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพระอาทิตย์ตกดิน ทำไมตอนฝนตก เขาถึงรู้สึกเหงา รู้สึกเศร้านี้ก็จะสัมพันธ์กับประสบการณ์วัยเด็กทางใดทางหนึ่ง ซึ่งหลายครั้งเจ้าตัวอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ เช่น เด็กที่ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่เล็ก เช่น อยู่ในวัยเด็กประถม ก็จะมีการบรรยายคล้ายคลึงกัน เพราะว่าในตกเย็น นักเรียนอื่นๆกลับบ้านกันหมด ก็เหลือแต่เด็กที่อยู่โรงเรียนประจำกันไม่กี่คน คือหมายถึงมันมีหอที่เด็กอยู่ประจำกับ นักเรียนที่มาเช้ากลับเย็น เพราะฉะนั้นพอตกเย็นบรรยากาศมันก็เงียบสงัด แล้วก็มันก็หงอยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์แล้วมีคนมารับกลับ แต่ตัวเองพ่อแม่ไม่ได้มารับกลับต้องอยู่เสาร์อาทิตย์ด้วย อันนั้นก็จะยิ่งมีประสบการณ์ที่มีความโดดเดี่ยวและความเหงาที่ไปผูกคู่กันกับเหตุกาณณ์พระอาทิตย์ตกดิน
ดังนั้น คนที่มีความเหงาจากปมค้างใจจึงมีความเหงาที่บางครั้งเค้าไม่เข้าใจว่ามันมาจากไหน เขารู้แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบนี้ หรือบางคนก็รู้สึกมันเป็นมานานตั้งแต่เด็กตั้งแต่จำความได้ แต่ทันทีที่เราปะติดปะต่อให้รู้ว่า ความรู้สึกของเขามันไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลแล้วมันสามารถที่จะทำความเข้าใจและเยียวยาได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ เข้าใจได้ว่ามันเป็นสภาวะทางใจที่ถูกวางจากประสบการณ์ทางอารมณ์ในวัยเด็กที่ทำให้เรารู้สึกเหงาง่าย โดดเดี่ยว แล้วก็รู้สึกโหยหาความรัก แล้วก็อาจจะตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องความรักซ้ำๆ
เนื่องจากกลุ่มนี้มักจะเป็นกลุ่มที่มีปมค้างใจอยู่ ดังนั้นการจัดการที่ตรงที่สุดก็ยังคงเป็นการจัดการที่ปมค้างใจ อย่างไรก็ตามถ้าไม่สามารถจัดการปมค้างใจได้ด้วยอะไรก็ตาม ก็ต้องไปไล่ดูว่าเขาขาดอะไร ซึ่งก็คือไปดูในความเหงาแบบที่ หนึ่ง สอง สาม แล้วก็ทำอะไรได้ ก็ทำไปก่อน ในระหว่างที่จะจัดการปมค้างใจ ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจจะต้องใช้เวลา เช่น เติมทักษะความสุขไปก่อน การมีทักษะทางสังคม หัดเข้ากลุ่ม กิน นอน ออกกำลังกาย ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสม ในระหว่างที่เราจัดการปมค้างใจ ซึ่งก็ต้องจัดระบบชีวิตให้ดีเป็นพื้นฐานนั่นเอง
(ทั้งหมดนี้ก็เป็นความเหงา 4 ประเภทกับวิธีจัดการครับ)
โฆษณา