25 ก.พ. 2022 เวลา 07:58 • หุ้น & เศรษฐกิจ
PTTGC ปรับกลยุทธ์สู่ผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร
หลังจาก PTTGC หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รายงานกำไรสุทธิปี 2564 ออกมาเติบโตอย่างโดดเด่น หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 4 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2563 ที่มีเพียงราว 200 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนต่างสงสัยกันว่าในปี 2565 จะยังมีการเติบโตได้อย่างโดดเด่นหรือไม่ Wealthy Thai หาคำตอบมาให้นักลงทุนแล้ว
ทั้งนี้ล่าสุด PTTGC ได้จัดงานแถลงข่าวประจำปี โดยมีดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC ที่ออกมาประกาศแผนธุรกิจไว้อย่างน่าสนใจ โดยปี 2565 พร้อมปรับเปลี่ยนองค์กร ให้ตอบโจทย์ธุรกิจเพื่ออนาคต สอดคล้อง 5 เมกะเทรนด์โลก พร้อมทั้ง เดินหน้าธุรกิจแห่งอนาคตด้วยกลยุทธ์ 3 Steps
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ที่ผ่านมายืนยันมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของบริษัท โดยแนวโน้มตลาดปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์ (PE, PP, MEG), สายอะโรเมติกส์ (PX, Benzene), และกลุ่มผลิตภัณฑ์ performance chemicals ในปี 2565 คาดว่าอุปสงค์จากอุตสาหกรรมปลายทางเติบโตขึ้นจากปีก่อน ซึ่งจะช่วยหนุนส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตามกำลังผลิตใหม่ที่จะเริ่มดำเนินงานในปีนี้อาจจำกัดการปรับตัวสูงขึ้นของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์
ในขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รวมทั้งค่าการกลั่น มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565 หนุนโดยการเติบโตของอุปสงค์ โดยปัจจุบันอุปสงค์ต่อดีเซลและน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทขาย) สูงกว่าระดับก่อน COVID แล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนในผลิตภัณฑ์ หรือ ธุรกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงตามเมกะเทรนด์ของโลก (ซึ่งอัตรากำไรของผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าวสูงกว่าและมีความผันผวนน้อยกว่าผลิตภัณฑ์กลุ่ม commodity) อย่างต่อเนื่อง
PTTGC ตั้งเป้าหมายสัดส่วน EBITDA contribution จากผลิตภัณฑ์กลุ่ม performance chemicals ไว้ที่ 35% (เพิ่มขึ้นจาก 28% ในปี 2565) และ EBITDA contribution จากผลิตภัณฑ์กลุ่ม basic chemicals ไว้ที่ 65% (ลดลงจาก 72% ในปี 2565) ในปี 2573 นอกจากนี้ PTTGC จะยังคงดำเนินกลยุทธ์ในการปรับกระบวนการทำงาน/กระบวนการผลิต ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ราว 1.7 พันล้านบาทในปี 2565
PTTGC ยืนเป้าหมายด้านการปรับลด emission โดยตั้งเป้าหมายลด GHG ให้ได้ 20% ในปี 2573 (เทียบกับปี 63) และตั้งเป้า net zero emissions ในปี 2593 ขณะที่สถานะทางการเงินของ PTTGC ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดในมือ 7.5 หมื่นล้านบาท และอัตราส่วน Net D/E ที่เพียง 0.6 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 4/64 (นโยบายอยู่ที่ 1.0 เท่า) ดังนั้นบริษัทจึงมีความสามารถในการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตได้อีกมาก
จากแนวโน้มกำไรหลักปี 2565 ที่ไม่น่าตื่นเต้น จึงไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามมูลค่าหุ้นที่ยังคงถูก โดยซื้อขายที่ PBV ณ สิ้นปี 2565 เพียง 0.8 เท่า น่าจะช่วยหนุนราคาหุ้นให้ทรงตัวอยู่ได้ สำหรับในระยะยาวการเข้าซื้อกิจการ Allnex จะเป็นก้าวแรกของ PTTGC ในการเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอให้มีผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและผลประกอบการในระยะยาว เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”
ปีนี้กำไร Allnex ราว 2-3 พันล้านบาท
มุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้ออกมาประเมินไว้อย่างน่าสนใจเช่นกัน โดยมีประเด็นอย่าง การคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวดไตรมาส 1/65 น่าจะเห็นการฟื้นตัวจากงวดไตรมาส 4/64 เนื่องจากคาด spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในทุกสายการผลิตของ PTTGC น่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดในระดับหนึ่งไปแล้วในช่วงไตรมาส 4/64 เพราะต้นทุนวัตถุดิบในปัจจุบันเริ่มปรับตัวลดลง
ประกอบกับราคาผลิตภัณฑ์โดยภาพรวมสามารถยืนได้ อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการที่ไม่คุ้มค่าการผลิตมีการ cut run ลงไป ทำให้น่าจะเห็นการฟื้นตัวของ spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้บ้างในไตรมาส 1/65 นอกจากนี้คาดยังได้ในส่วนของธุรกิจโรงกลั่นมาช่วยหนุนไว้ ตามค่าการกลั่นที่ยังโดดเด่นตามฤดูกาล และเริ่มรับรู้กำไรจาก Allnex เข้ามาเป็นไตรมาสแรก
ดังนั้นฝ่ายวิจัยคาดแรงกดดันกำไรปกติในปี 2565 ให้เห็นการอ่อนตัวจากปี 2564 ราว 12.8%จากปีก่อน มาอยู่ราว 2.7 หมื่นล้านบาท ล้วนเป็นผลมาจากธุรกิจปิโตรเคมีทุกสายการผลิต (โอเลฟินส์, อะโรเมติกส์ และขั้นปลาย Performance Chemical) มีเพียงธุรกิจโรงกลั่นที่ในปี 2565 เห็นการฟื้นตัวจากปี 2564
นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากแผนการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 กำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี (ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.) และแผนหยุดซ่อมโรงกลั่น และโรงงาน HDPE ในช่วงไตรมาส 4/65 แต่อย่างไรก็ตามยังได้รับปัจจัยบวกหนุนจากการเริ่มบันทึกกำไรจาก Allnex เข้ามาช่วยไว้ ซึ่งจะรับรู้เต็มที่ทั้งปีตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป (เข้ามา 29 ธ.ค.2564) ซึ่งฝ่ายวิจัยได้รวมไว้ในประมาณการแล้ว ภายใต้สมมติฐานกำไรจาก Allnex อยู่ราว 2.0-3.0 พันล้านบาท
โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 68 บาทต่อหุ้น แนะนำ ซื้อ แต่เนื่องจากงบไตรมาส 4/64 แย่กว่า consensus คาดมาก ราคาหุ้นมีโอกาสปรับฐานอีกระลอก จึงเน้นให้หาจังหวะทยอยสะสมลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว เพื่อรับปันผลโดดเด่นงวดครึ่งหลังปี 64 จ่ายอีกหุ้นละ 1.75 บาท (รวมทั้งปี 3.75 บาท) Yield ครึ่งปีที่ 3%
การไต่ขึ้นของราคาน้ำมันจากสถานการณ์ในยูเครน
ขณะที่มุมมองบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกมาประเมินไว้อย่างน่าสนใจเช่นกัน โดยบอกว่าระยะสั้นหุ้นอาจมีเงินปันผล และการไต่ขึ้นของราคาน้ำมันจากสถานการณ์ในยูเครนช่วยจำกัด Downside คงราคาเหมาะสม 65.00 บาท และแนะนำ TRADING
สำหรับปี 2565 คงประมาณการกำไรสุทธิที่ 2.9 หมื่นล้านบาท ลดลง 35%จากปี 2564 เพราะฐานสูงในปี 2564 ที่มีกำไรจากการจำหน่ายหุ้น GPSC 1.7 หมื่นล้านบาท และกำไรสต็อกน้ำมัน 6 พันล้านบาท หากนับเฉพาะกำไรปกติจะลดลง 11%จากปีก่อน เพราะประเมินว่า ปัจจัยบวกจากการเริ่มรับรู้ผลประกอบการของ Allnex (ปิดดีลปลายปี 2564) และการเพิ่มสัดส่วนลงทุนใน VNT (ปิดดีลไตรมาส 1/65) จะถูกชดเชยด้วยส่วนต่างราคาปิโตรเคมีอ่อนตัวลงและแผนปิดซ่อมบำรุงจำนวนมากโดยเฉพาะการซ่อมใหญ่ของโรงงานโอเลฟินส์ – โรงกลั่น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 75 บาท (11.5 เท่า ของค่า 2022E EV/EBITDA) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 8 ปีที่ 7.9 เท่า เพื่อสะท้อน PC margin ที่อยู่ในระดับสูง,โดยธุรกิจโรงกลั่นน่าจะนำการเติบโตในปี 2565 และ EBITDA จำนวน 400 ล้านยูโร จาก Allnex
อ่านข่าว PTTGC ย้อนหลัง https://www.wealthythai.com/en/updates/stock/stock-of-the-day/7445
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา