26 ก.พ. 2022 เวลา 08:04 • ท่องเที่ยว
เดินเล่นเกาะรัตนโกสินทร์
Step back in time
1
ช่วงนี้ถือว่าอากาศไม่ร้อนไม่หนาว เผลอๆ ก็มีเม็ดฝนให้ได้สัมผัสตัวบ้างพอเย็นๆ
ก็เลยถือโอกาสหิ้วกล้องเดินถ่ายรูปเล่นแถวๆ เกาะรัตนโกสินทร์ ไม่ต้องไปไหนไกล
ผมเจอชื่อนี้ตอนอ่านงานของ The Cloud เป็นตึกโรงพิมพ์เก่า เอามาทำให้คูล
ในนามของร้านกาแฟที่ชื่อ craftsman แล้วเดินไปอีกไม่ไกล เลาะคลองหลอดไปเรื่อยๆ เข้าไปชมความงดงามของวัดราชบพิธสถิตสีมาราม วัดสวยอีกวัดของเมืองไทย
1
และอีกวันด้วยการย้อนดูรากเหง้าของชาติเรา ไปเดินดูอดีต ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
Craftsman ร้านกาแฟที่เอาตึกโบราณมาช่วยเพิ่มอรรถรสในการจิบกาแฟ
1
ทันทีที่เลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ จะเจอลานโล่งสำหรับจอดรถ ตึกเก่าๆ แต่โคตรหล่อยืนรอทักทายผมอยู่ซ้ายมือ เห็นรูปทรงองค์เอวแล้วถือว่าถูกจริตตากล้องที่ชื่นชอบของเก่าอย่างผม โครงสร้างเก่าของโรงพิมพ์สมัยรัชกาลที่ 5 บอกอายุได้แบบไม่ต้องเฟค
แสงเงาในภาพนี้ ค่อยๆ เผยตัวตนเก่าในคราบของคาเฟ่ยุคใหม่
โซฟาที่โคตร so good ใครมาก็ต้องลองนั่ง
ณ จุดทางเข้า ลองแหงนมองสักนิด จะเห็นความอ่อนช้อยของงานไม้ที่เข้ากันได้กับความแข็งแกร่งของอาคาร
ตึกนี้มันช่างสวยเยิ้มในสายตาของผม เพราะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน มันไม่ต้องแต่งเติมเสริมอะไรอีกแล้ว ใครชอบมุมไหนก็หันกล้องไปถ่ายได้ทุกมุมเลย
กลอนโบราณบอกยุคสมัย
ร่องรอยเหล่านี้พบได้ทั่วไปตามผนังอาคาร
อาจจะมีร่องรอยกระเทาะบ้างตามธรรมชาติ เห็นเนื้อหนังมังสาด้านในชัดเจน ผมว่ายิ่งมองหายิ่งสนุกที่จะกดชัตเตอร์ เพื่อถ่ายทอดมันให้มีชีวิตอีกครั้ง ยิ่งได้แสงเงาสาดลงมากระทบด้วยแล้ว ทำให้ภาพดูสมบูรณ์แบบเลยครับ
แสงสะท้อนและความโค้งมนของแชนเดอร์เลียช่วยให้บรรยากาศไม่หนักเกินไป
ผมชอบเก้าอี้นะมันช่วยเสริมกับบรรยากาศโดยรอบ
ผมคนนึงที่คลั่งเก้าอี้หนังเก่าเอามากๆ ได้แค่มองก็ชื่นใจ
ลืมบอกไปว่า ยังไม่มีใครบอกเลยว่าทางเข้ามันแคบมากกก ต้องขับรถเข้าไปในซอกตึกแบบพอดีคันเป๊ะ แล้วที่สำคัญเจ้ากูเกิ้ลแมปนี่บอกว่าถึงแล้ว แต่ไม่มีจุดสังเกตอะไรเลย
ถ้าขับผ่านมาทางศาลเจ้าพระเจ้าเสือ ให้ขับมาตามถนนตะนาว เจอสี่แยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนบำรุงเมือง สังเกตทางเข้า ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือตั้งอยู่ข้างใน ต้องตีวงชิดขวามากๆ แล้วเลี้ยวเข้าไป ทำอย่างที่บอกนะครับ ไม่งั้นได้ขับวนอีกรอบเหมือนผมแน่
ภายในอาคารกว้างมากแบ่งเป็นสองโซน
ดูผนังสิครับ ใจละลายเลย
กระจกที่มีชื่อคาเฟ่กลมกลืนไปกับตึกเก่าแต่เก๋าหลังนี้
กาแฟที่นี่รสชาติไม่เลวนะครับอร่อยเลย
เข้ามาภายในร้านจะแบ่งเป็น 2โซน มีกระจกกั้นแบ่งส่วนร้านกาแฟกับส่วนที่คล้ายจะให้ดูเป็นนิทรรศการ ตอนนี้ยังไม่มีผลงานใครมาโชว์ ทิ้ง space ว่างๆ มีโซฟาเก่าๆให้นั่งให้ถ่ายรูปกันอย่างหนำใจ
เก้าอี้ไม้ที่นี่ก็เหมือนกัน แต่ละตัวมันช่างเข้ากันกับรูปแบบของตึกเสียเหลือเกิน เรียกว่าส่วนผสมเข้ากัน ถ่ายยังไงก็สวย ถึงแม้จะวางแบบสะเปะสะปะก็ยังดูดี
ผมค่อยๆ เดินออกจากคาเฟ่ตึกเก่านี้ บอกตัวเองว่ารู้สึกอิ่มกว่าตอนเดินเข้ามามากมายเหลือเกิน ทั้งที่ดื่มกาแฟไปเพียงแก้วเดียว
ก่อนจะจากไป ผมยืนมองตึกนี้ในระยะไกลออกมาอย่างเต็มตา แล้วส่งยิ้มให้กัน...ผมเป็นไรมากป่ะเนี่ย โคตรมีความสุขเลย
เดินเลียบคลองหลอดไปชมวัดราชบพิธ
สี่แยกถนนอัษฎางค์ตัดถนนราชบพิธ
ออกจากCraftsman เดินย้อนลงมาตามถนนบำรุงเมือง มุ่งหน้าสู่กระทรวงมหาดไทย ตั้งใจจะไปถ่ายรูปวัดราชบพิธ
ตึกแถวเก่า 2 ชั้น สมัยรัชกาลที่ 5 ถูกรีโนเวทใหม่ดูสวยและสะอาดตา ร้านรวงก็ยังขายของแบบเดิมๆ อยู่
คุณลุงขายของอยู่ที่นี่มาไม่ตำ่กว่า 50 ปี
ค่านิยมของแต่ละยุคสมัย
ร้านรับทำป้ายชื่อ มีของใครมั้ยครับ
สมัยก่อนเวลาจะซื้ออะไร พ่อผมมักจะพามาซื้อแถวหลังกระทรวงเป็นประจำ ตอนจะเรียน ร.ด. ก็มาซื้อที่นี่ล่ะ เยอะสุด ครบทุกอย่างที่ต้องการ แต่ที่จำได้เลยคือมาซื้อกีต้าร์ยี่ห้อ kemus ช่วงเรียนดนตรี นึกแล้วยังเจ็บนิ้วไม่หาย
ถ้วยเก่าๆ หาดูยาก ผมเองก็ไม่เคยเห็น
หน้าร้านอยู่ติดถนนจริงๆ เปิดร้านก็ลงถนนกันเลย
สถาปัตยกรรมการสร้างตึกแถวในยุครัชกาลที่ 5
อนุสาวรีย์กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หน้ากระทรวงมหาดไทย
มองลอดรั้วไป เป็นภาพโรแมนติคสตรีท....รู้สึกดี
มาดูลายกระเบื้องโบราณต้องที่..วัดราชบพิธ
แม้ว่าข้างในวิหารปิดเข้าไปไม่ได้ แต่การได้เดินถ่ายรูปรอบๆ วิหารและระเบียงแก้วก็ทำให้ผมทึ่งกับความวิจิตร จนใช้เวลาเดินดูไปถ่ายรูปไปไม่น้อยทีเดียว
ชื่อเต็ม..วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดนี้เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เป็นที่ประทับของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ปัจจุบัน
เข้าไปดูใกล้ๆ และสัมผัสกระเบื้องเคลือบหลากสี ที่เป็นเอกลักษณ์
มุมนี้ได้เห็นทั้งความวิจิตรและความงามตระหง่าน
ในอดีตวัดนี้มีโอกาสได้ต้อนรับองค์พระสันตะปาปาถึงสองพระองค์คือ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ด้านหน้าวัดราชบพิธ จุดเด่นน่าจะเป็นวิหารทรงกลมที่รายล้อมอยู่
ออกจากวัดใช้ประตูด้านหลังทะลุถนนเฟื่องนคร เจอทั้งร้านค้าเก่าแก่ ร้านหนังสือ สำนักพิมพ์มีชื่อเก่ายาวนาน จำหน่ายวรรณกรรมที่ไม่มีอยู่ตามร้านหนังสือทั่วไป บางเล่มมีเนื้อหาหนักที่แสดงทัศนะความเห็นทางด้านการบ้านการเมือง ถูกวางไว้บนชั้นดิสเพลย์อย่างเปิดเผย ไม่ใช่หนังสือปกปิดหรือหนังสือใต้ดินอะไรอย่างที่ได้ยิน
ร้านนี้เปิดมาราวครึ่งศตวรรษ
ตัวกูของกู...ท่านพุทธทาสกล่าวไว้
มีหนังสือให้เลือกทั้งวรรณกรรมไทยและต่างประเทศ
ร้านกาแฟมีให้เห็นตลอดเส้นทาง
หลังจากได้หนังสือติดมือมาหนึ่งเล่ม ผมเดินมาทางซ้ายไปตามฟุตบาทเล็กๆ ผ่านร้านอาหาร ร้านกาแฟ โฮสเทล ที่ปรับปรุงให้มีเสน่ห์น่ามองกลมกลืนอยู่ร่วมไปกับอาคารยุคเก่า
ไม่กี่ก้าวผมก็เดินถึงคลองหลอดเล็กๆ มีราวสะพานกั้นต่ำๆ คลองยาวทอดไปกับอาคารบ้านเรือนอาศัยยุคเดิม ผมสังเกตว่า เฮ้ย! มีปลาว่ายปลากระโดดอยู่ บ้างก็พยายามว่ายทวนน้ำ มองเห็นน้ำใสอยู่นะ เงยหน้าจึงเห็นป้าย หลอดวัดราชบพิธ
ถนนสองข้างคลองกำลังถูกปรับปรุงให้ดูดีและสะอาดสะอ้าน
ผมเองไม่เคยมาเดินโซนถนนเฟื่องนครนี้มาก่อน เพิ่งมารู้ว่าคลองที่เรียกว่า หลอดเป็นอย่างนี้นี่เอง สมัยก่อนที่เคยได้ยินมาคือสกปรกมาก นำ้ในคลองดำปี๋ เหม็นคละคลุ้ง
แต่วันนี้คลองหลอดเปลี่ยนไปแล้ว นำ้ใสมากๆ แถมมีปลาเล็กปลาใหญ่ว่ายให้เห็น นี่มันบอกว่านำ้สะอาดแล้วปลาว่ายได้แล้ว
3
ถ้าเคยอิจฉาญี่ปุ่นว่าทำไมในคลองเค้ามีปลาด้วย เลิกคิดไปเลยครับ เราก็มีเหมือนกัน
ที่เห็นรอยนำ้กระเพื่อมๆ เป็นวงๆ นั่นคือปลามันกระโดดขึ้นมาจากนำ้
ผู้คนกับที่อยู่อาศัยเดิมๆ เพิ่มเติมคือสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
หลังบ้านที่ติดคลองหลอดนี่ ก็พลอยสะอาดสะอ้าน ผมเลยเดินถ่ายรูปได้อย่างสบายใจเลย คิดเอาเองว่าคนในชุมชนก็คงต้องช่วยกันดูแลให้ดีอย่างนี้ต่อไป
ลมหายใจของย่านเมืองเก่ายังคงดึงดูดใจให้คนมาแวะเวียนอยู่เสมอ ความคิดผมแว่บเข้ามาว่า ไม่ต้องนำหน้าสุดก็ได้ ขอเพียงอย่าหยุดเดิน เราก็จะอยู่ในขบวนนี้ด้วยกันได้นะ
ถนนเฟื่องนครยังมีอะไรให้ผมต้องกลับมาค้นหาอีกในคราวหน้าแน่นอน
วันที่สอง...
1
มาเดินถ่ายรูปในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกัน
วันนี้ผมรู้สึกว่ายังอยากไปดูและถ่ายภาพอะไรๆ ที่จะบอกได้ถึงกาลเวลาที่ผ่านมา ผมนึกถึงพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ที่ผมสารภาพว่าไม่เคยไปเลย พอคิดได้ผมก็คว้ากล้องตัวเดิมมุ่งหน้าไปสนามหลวง
4
ที่นี่จะมีที่จอดรถน้อย แต่ผมก็พอมีโชคอยู่บ้าง สำหรับค่าเข้าชมคนไทยแค่ 30 บาทเอง ข้อห้ามของการชมพิพิธภัณฑ์คือ ห้ามเอากระเป๋าเข้าไป ห้ามใช้ขาตั้งกล้อง ห้ามเอาอาหารเข้าไปกิน
ส่วนผมมีกระเป๋าผ้าเลยถามว่า พอที่จะเอาไปได้มั้ยครับ..คำตอบคือได้ค่ะ
ด้านหลังพระพุทธสิหิงค์
พระพุทธสิหิงค์ พระประธานของพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ คือสถานที่อันดับแรกที่ผมพาตัวเองเข้าไป พอเท้าก้าวข้ามพ้นประตูบานใหญ่ ก็จะเห็นพระพุทธสิหิงค์ ตั้งตระหง่านใจกลางพระที่นั่งอย่างสง่างามมาก ด้านหลังมีตู้ลายรดนำ้สีทองขนาดใหญ่มากอีกหลายใบ
การชมพิพิธภัณฑ์ของที่นี่จะถูกกำหนดเส้นทางให้เราดูกันไปเรื่อยๆ โดยมีสัญลักษณ์ต่างๆ บอกไว้ ตอนแรกดูเหมือนผมก็สะเปะสะปะ ไม่ได้อ่านแผ่นพับ เอาแต่ยกกล้องถ่ายเสียมาก
ห้องจัดแสดงเครื่องถ้วยในราชสำนัก
ห้องจัดแสดงเครื่องมุข
หัวเข็มขัดโบราณในห้องจัดแสดงอิสริยพัสตราภูษาภัณฑ์
หนึ่งในเครื่องราชยาน คานหาม
ที่ประทับรัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 นับจากซ้ายไปขวา
เครื่องถ้วยในราชสำนัก
ลวดลายภาพเขียนโบราณที่แฝงด้วยคติความเชื่อมากมายของคนไทย
ภาพบางภาพมีแสงเข้ามาน้อยมาก
บางทีการถ่ายผ่านกระจกก็ได้ภาพที่ให้อารมณ์ไปอีกแบบ
ส่วนหนึ่งของตู้จัดแสดงเครื่องมหรสพและการละเล่น
แสงเงาจัดจ้านผมลองปรับเป็นโทนขาวดำ ก็ออกมาไม่เลวนะ
ปืนโบราณในห้องจัดแสดงเครื่องศัสตราวุธโบราณ
นักท่องเที่ยวที่สนใจในศิลปวัฒนธรรมของไทย
ผมเดินเพลินอยู่ในอาคารหมู่พระวิมาน รูปที่ได้ก็อยู่ในหมวดหมู่อาคารนี้เป็นส่วนมาก แต่เท่านี้ก็เถอะ บรรดาสิ่งที่นำมาแสดง ทำให้ผมทึ่งและยกย่องผู้คนในอดีตที่ได้สร้างสรรค์ความวิจิตรลงไปในทุกช่วงยามการใช้ชีวิตผมขอใช้คำอย่างนี้นะ
เพราะว่าผมเห็นศิลปะอยู่ในทุกยามตื่น ยามกิน ยามเดิน ยามนั่ง ยามนอน แม้กระทั่งยามจะเล่น ยามจะรบ เราเอาจริงเอาจังกับการใส่จิตวิญญาณผ่านงานคราฟท์อันแสนจะปราณีต
ความรู้สึกหลายอย่างมันเอ่อขึ้นมา ผมเองก็สุดจะหาคำมาบอกเล่า มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นอะไรมากกว่าสิ่งที่นำมาให้เห็น
...อยากให้มาครับ สักครั้งหนึ่ง
และน่าจะมีภาคสองนะครับสำหรับผม ที่จะต้องมาชมในส่วนเหลือของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของเรา
เพราะต้องบอกว่าใช้เวลาหนึ่งวันก็เดินชมและถ่ายภาพไม่หวาดไม่ไหว ผมพบว่าการถ่ายภาพในพิพิธภัณฑ์นั้น กว่าจะได้ภาพสวยนั้นยากแสนยาก สร้างความลำบากให้คนที่ชอบถ่ายภาพแทบทุกคน รวมทั้งผมด้วย
ครั้งนี้ผมก็เลยลองเอาเลนส์ที่มี f-stop กว้างๆ อย่าง TTArtisan 35 f/1.4 บวกกับอดีตกล้องเรือธงค่าย Fuji รุ่นXpro1 ซึ่งก็น่าจะช่วยให้เนื้อไฟล์ออกมาดีหน่อย แถมเลนส์ตัวนี้ก็เล็กและมีนำ้หนักที่เบามากด้วย
ทริปนี้ส่วนใหญ่ผมจะเปิดหน้ากล้องที่กว้างสุดคือ F/1.4 ปรับspeed shutter ตำ่สุดที่ 60-500 แล้วแต่แสง ณ จุดนั้นๆ โดยคง ISO ไว้ที่ 200 ตลอด ที่สำคัญใช้ไฟล์ Raw ครับ จะได้แก้ไขข้อผิดพลาดที่เราคาดไม่ถึง
ซึ่งภาพที่เห็นในกล้องส่วนใหญ่ ก็ดูไม่มืดมากเท่าไหร่ ดูแล้วผมสามารถเอามาดึงแสงขึ้นได้อีกนิดในโปรแกรม Adobe Light room ได้ตามภาพที่เห็นในเรื่องที่เล่ามานี้เลยครับ
สุดท้ายแล้วการเดินถ่ายภาพในเกาะรัตนโกสินทร์นั้น ค่อนข้างสนุกดีนะ เลือกวันที่อากาศเย็นสบายหน่อยก็สามารถเดินได้ทั้งวันครับ
1
มีร้านกาแฟ มีร้านอาหารให้นั่งพักเรียกเรี่ยวแรงกลับมาลุยใหม่ได้ เพื่อนๆ ควรหากล้องขนาดไม่ใหญ่นัก ถ่ายง่ายนำ้หนักเบาจะดีเลย
ผมว่ายังมีอีกหลายที่ที่สวยงามบนเกาะรัตนโกสินทร์ บางที่ต้องบอกเลยครับว่าเกิดมายังไม่เคยไปมาก่อน ไปลองค้นหากันดู แต่อย่างน้อยทั้งสามที่ที่เขียนมา ผมก็ยังไม่เคยมาเลย ที่ใหม่ๆ เลนส์ตัวใหม่ สนุกดีครับ
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เสียสละเวลาอ่านกันมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายครับ
โฆษณา