26 ก.พ. 2022 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
พระปางซ่อนหา หรือพระเหนือพรหม ใครซ่อนใคร มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ ล้อมวงมาสิ จะเล่าให้ฟัง
เงียบหายไปนานกับการเขียนบอกเล่าเรื่องราวตำนานหรือประวัติศาสตร์ต่างๆ วันนี้เกิดนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากจะกลับมาเจื้อยแจ้วให้ได้อ่านกันอีกสักครั้ง แต่ก็นึกอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องไหนดี พลันอารามเปิดหน้าเว็บพระเครื่องที่ชื่นชอบเป็นทุน ไปเจอภาพเหรียญหล่อปางซ่อนหา ของหลวงพ่อทับ วัดอนงค์เข้าให้ เลยนึกถึวเรื่องราวที่มาของคำว่าพระปางซ่อนหานี้ ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับพระพิมพ์พุทธเหนือพรหมด้วย ก็เลยอยากเล่าให้ฟังกันสนุกๆ เผื่อหลายคนเคยเห็นเคยรู้จักแต่ไม่รู้กิมมิครู้ที่มาของพิมพ์ปางนี้
เรื่องคงต้องย้อนกลับไปยังสมัยพุทธกาล ที่ตถาคตได้เดินทางสั่งสอนเผยแพร่ศาสนาไปทั่วอินแดีย ในคราวหนึ่งทรงเสด็จเยือนเมืองอุกกัฏฐา อ่ะหยุด ไม่ต้องถามว่าอยู่ตรงไหน เพราะบอกตามตรง แม้แต่ชื่อเมืองก็ลืมไปแล้ว จนจะเขียนวันนี้ต้องไปค้นหามาให้นั่นล่ะครับ ดังนั้น สนใจที่ท็อปปิคของเรื่องเถอะ คือ ที่เมืองนี้พุทธองค์เกิดจับญาณได้ว่ามีมหาพรหมผู้หนึ่ง ชื่อว่าท้าวพกาพรหม เป็นผู้มากล้นด้วยญาณบารมี เกิดเป็นพรหมมาช้านานนับ 500 กัป
นานขนาดไหนก็ขออธิบายว่า 1 กัปคือชั่วอายุของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ เช่นถ้ามนุษย์มีอายุ 70 ปี 1 กัปมนุษย์ก็ 70 ปี คูณด้วย 500 กัป ก็กดไป 35,000 ปีเข้าไปนั่น แต่เด้วก่อนนะ นี่เป็นพรหม ที่อายุ 1 กัปเท่ากับหลายๆ หมื่นกัลป์ คือสรุปนับไปแล้ว เป็นเวลาหลายล้านปีน่ะล่ะที่พกาพรหมได้เสวยชาติเป็นพรหม ดังนั้นอยู่มานานจนหลงจนลืมว่าตนอยู่แบบนั้นไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย จึงเชื่อและยึดมั่นถือมั่นว่าทุกสิ่งนั้นจีรังยั่งยืน อันขัดด้วยหลักไตรลักษณ์ที่พุทธองค์สั่งสอน คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง
พอเป็นแบบนี้พระพุทธเจ้าจึงเหาะไปพบพกาพรหมเพื่อเทศน์สั่งสอนให้เข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีอะไรหรอกที่เที่ยงแท้ แต่แหม ฉันเป็นมหาพรหมมา 500 กัป มนุษย์ตัวเล็กแค่นี้จะมาสอนได้อย่างไร ใครมันจะไปฟัง!!!! ว่าแล้วก็เฉิดใส่ พลางท้าทายด้วยว่าถ้าจะสอน งั้นมาประลองกันก่อน โดยพกาพรหมจะไปซ่อนแล้วให้พุทธองค์ตามหา ถ้าหาไม่เจอพกาพรหมชนะ กติกาก็ตกลงกันตามนั้น
ว่าแล้วพกาพรหมไม่รอช้าแปลงกายเป็นนกบินไปบนท้องฟ้า แค่ชั่วอึดใจตถาคตก็ร้องว่า ไม่อยากเสวยชาติเป็นพรหมแล้วหรือจึงแปลงเป็นนก พกาพรหมได้ยินดังนั้นก็ตกใจ แต่ยังไม่ยอมแพ้ รีบแปลงเป็นแมลงลงไปซ่อนในมวลดอกไม้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ร้องไล่หลังว่าเหตุได้จึงทิ้งความเป็นพรหมไปเป็นแมลเช่นนั้นเล่า แม้จะแพ้ 2 คราวติดๆ แต่ทิฐิมานะมันมีมาก พกาพรหมจึงเลือกแปลงกายเป็นทรายโดดไปอยู่ก้นทะเล กะว่าดอกนี้ใครจะหสเจอ แต่ทันใดนั้นเองเสียงของพระพุทธเจ้าก็ดังขึ้นว่าท่านเป็นมหาพรหมจะไปปนเป็นเม็ดทรายได้อย่างไร เรียกว่าเจอรอบนี้ออกอาการท้อใจเลยต้องกลับมาบนวิมาน
เมื่อเห็นว่าแปลงกายอย่างไรก็โดนจับได้ เลยขอเปลี่ยนฝั่ง เพื่อหวังตีตื้นทำคะแนนบ้าง พกาพรหมเลยขอเป็นฝ่ายหาและให้พระพุทธเจ้าแปลงกายไปซ่อนแทน เมื่อเปลี่ยนกฎแล้วพกาพรหมก็เริ่มเสาะหาไปทั่วพิภพทั่วฟ้าทั่วแผ่นดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่พบ จนต้อยเอ่ยยอมแพ้ จึงมีเสียงของพุทธองค์ดังขึ้นจากเหนือเศียรของตนว่า ตลอดเวลาที่ท่านเสาะหาเรานั้น เราเดินจงกลมเหนือเศียรของท่านอย่างไรเล่า เมื่อเป็นเช่นนั้นพกาพรหมจึงยอมศิโรราบโดยสมัครใจและรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าจนสำเร็จที่โสดาบัน
1
นั่นคือที่มาว่าทำไมพระปางซ่อนหาจึงเหมือนเห็นมีพระพุทธรูปซ้อนกัน 2 องค์นั่นเอง ที่จริงองค์ใหญ่ด้านล่างมิใช่พุทธรูปแต่เป็นรูปจำลองของพกาพรหม ส่วนพระพุทธรูปจริงๆคือองค์เล็กที่อยู่เหนือเศียรไปเท่านั้น
ในส่วนของพระพิมพ์พุทธเหนือพรหมก็จะเห็นพระพรหมประทับอยู่โดยมีพระพุทธรูปอยู่ที่มวยผมหรือเหนือเศียรนั่นเอง (ขออนุญาตเจ้าของพระและภาพนำเสนอภาพพระสัก 3 รุ่น 1 พระปางซ่อนหา หลวงพ่อทับ วัดทอง 2 พระพุทธเหนือพรหม หลวงปู่ดู่ วัดสะแก 3 เหรียญพุทธเหนือพรหม หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม)
อนึ่งการเอาชนะท้าวพกาพรหมนั้นได้นับเอาเป็น 1 ใน 8 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่ร้อยเรียงเป็นบทสวดชัยมังคะละคาถา หรือบทสวดพาหุงที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ โดยส่วนที่เกี่ยวกับตำนานนี้คือบทสวดส่วนนี้ครับ
1
"ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง, พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ"
แปลได้ว่า พระจอมมุนี ได้เอาชนะพระพรหมผู้มีนามว่า ท้าวพกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ คิดว่าตนเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ ผู้ถูกพญานาครัดมือไว้แน่น เพราะมีจิตคิดถือเอาความเห็นผิด ด้วยวิธีวางยา คือ ทรงแสดงเทศนาให้ถูกใจ,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วย
1
โฆษณา