26 ก.พ. 2022 เวลา 15:38 • ปรัชญา
"การบูลลี่ในวัยเรียน เรื่องสนุกของคนทำ เรื่องฝังใจของคนโดน"
เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดครับ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แต่ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของผมเอง ผมอยากจะเล่าเรื่องนี้มาตลอด แต่อีกส่วนนึงของตัวผมก็ห้ามไว้เสมอ เพราะไม่อยากให้ใครรับรู้อดีตที่ไม่ค่อยจะดีของผม ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเก็บมันไว้ในตัวของผมแค่คนเดียว และฝังมันไปพร้อมกับตัวผม เพราะคนที่โดนการกระทำทั้งหมดเหล่านี้ มันไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว...
ตอนนี้ผมอายุ 20ปีครับ แต่ผมยังจำทุกอย่างได้ดี ทั้งที่เรื่องมันผ่านมาหลายปีมากๆแล้ว เป็นเรื่องฝังใจอีกหนึ่งเรื่องที่ลืมมันไม่เคยได้ ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่อยากจะลืมมันสุดๆ เรื่องมันเกิดตอนผมเรียนอยู่ ม.ต้นครับ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะสู้คน เพราะผมมองว่าเรื่องพวกนั้นแค่ยอมๆไปเรื่องมันก็จะจบไปเอง แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ (ไม่งั้นคงไม่มีเรื่องมาเล่าหรอก55) มีหลายครั้งที่เพื่อนร่วมห้องคนนึงชอบมากวนผม ผมขอเรียกเขาว่า"ปลิง"ละกัน ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ค่อยชอบผมก็ได้ เพราะบุคลิกของผมเป็นคนที่ชอบทำตัวบ้าๆบอมักทำตัวเด่นอยู่เสมอๆ (แถมปากก็ยังไม่ค่อยจะดีด้วย55)
ในช่วงแรกๆผมไม่ยอมครับ เคยต่อยกับไอ้ปลิงอยู่ครั้งสองครั้งจนมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ และอย่างที่ทุกคนรู้ เวลาจะมวยสักคู่นึงในโรงเรียน นักเรียนแทบทุกคนจะรู้ และมารุมกันเป็นกองเชียร์เสมอ
ถึงแม้ผมจะชอบทำตัวให้เด่น แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่ในที่ๆคนเยอะ เพราะมันทั้งวุ่นวาย และเต็มไม่ด้วยคนที่เราไม่รู้จัก (ย้อนแย้งจังวะตัว×ูเนี่ย) ผมเลยเกลียดความรู้สึกเหล่านี้มาก จนสุดท้ายก็เลือกที่จะยอม "มึงอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็พอ" ในใจตอนนั้นผมคิดอย่างนี้ครับ เพราะคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วทุกอย่างมันจะจบได้ในเวลาอันสั้น โดยไม่ได้นึกเลยว่าในระยะยาวแล้วผลของมันจะเป็นยังไง
"นั่นเป็นความคิดที่อาจจะผิดพลาดที่สุดของผมตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้เลยก็ได้"
ในช่วงแรกๆที่ไอ้ปลิงมันเข้ามาก่อกวนผมก็ยอมๆไปครับ เลยทำให้เรื่องที่มันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็จบลงอย่างง่ายๆ แต่ทุกคนรู้ใช่มั้ยครับ เมื่อเรารู้แล้วว่าอีกฝ่ายยอม เราจะยิ่งได้ใจและทำหนักขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือความรู้สึกของไอ้ปลิง แต่กับผมแล้วทุกอย่างมันกลับกันเลย จากที่ทั้งหมดยอมเพราะผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ความรู้สึกมันเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนสุดท้ายมันก็เปลี่ยนไปเป็นความกลัว ถึงแม้ด้านร่างกายจะสู้กลับได้อย่างสบายๆ แต่ด้านจิตใจมันพังไปแล้วจากการที่โดนกดขี่มานาน ผมในตอนนั้นเหลือแค่ทางเลือกเดียวคือยอมทำตามที่ไอ้ปลิงมันสั่ง เพื่อที่จะให้มันเลิกมาแกล้งผมสักที แต่มันก็เป็นอีกหนึ่งความคิดที่ผิดพลาดเหมือนกับตอนที่ผมเริ่มยอม และมันหนักกว่าตรงที่มันทำให้ผมแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรีเลย
จากนั้นแค่ไม่กี่เดือนก็ไม่ใช่แค่ไอ้ปลิงคนเดียวแล้วครับ เพื่อนหลายคนในห้องเริ่มมองผมแปลกออกไป ไม่เหลือศักดิ์ศรี เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกแล้ว ผมกลายเป็นแค่คนขี้แพ้ในสายตาของแทบทุกคนในห้อง โดนดูถูกสารพัด โดนแกล้งสารพัด กลายเป็นคนน่ารังเกียจประจำห้อง จะมีก็แค่บางคนที่ยังคอยเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่เสมอ ผมอยากขอบคุณเพื่อนๆที่คอยห่วงใยผมเสมอในตอนนั้น ถึงแม้ตอนนี้เราจะไม่ได้คุยกันเหมือนเดิมแล้ว แต่ถ้าวันนั้นผมไม่มีพวกเขา ผมคงทนเรื่องพวกนี้ไม่ไหวแน่ๆ
ผมอยู่ในสภาพแบบนั้นเกือบจะ 2ปี ตั้งแต่ช่วงต้นๆของ ม.2 จนถึงจบ ม.3 แต่ในช่วงหลังๆก่อนที่ผมจะเรียนจบ ผมแทบจะไม่เคยเข้าห้องเรียนเลยครับ (ความจริงคือผมเป็นคนที่โดดเรียนค่อนข้างจะบ่อยอยู่แล้ว แต่ช่วงก่อนจบ ม.3 แทบจะไม่เข้าเรียนเลยทั้งเทอม) ส่วนนึงมันอาจจะเป็นเพราะผมไม่ชอบการเข้าห้องเรียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่อีกส่วนนึงที่ปฎิเสธไม่ได้เลยคือผมไม่อยากเข้าไปเจอคนในห้องเรียน ไม่อยากเจอคนที่ชอบแกล้งผม ไม่อยากเจอสายตาที่คอยดูถูกอยู่เสมอ และไม่อยากอยู่ในสภาพที่เกือบจะน่วมไปทั้งตัว มันไม่ได้มีแค่ผลกระทบทางด้านจิตใจ กับผมมันกระทบกับการใช้ชีวิตแทบจะทุกด้าน ทั้งด้านเรียน ชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่กับครอบครัว
ผมไม่เคยเป็นเด็กดีของญาติพี่น้อง เพราะกดดันมากกับที่โรงเรียน ไม่สามารถนำกลับมาเล่าให้คนที่บ้านฟังได้ ผมจึงระเบิดมันออกมาในรูปแบบของอารมณ์ที่รุนแรง ที่โรงเรียนเป็นคนขี้แพ้ ที่บ้านเป็นเด็กเจ้าปัญหา ชีวิตพังในทุกด้าน ที่โรงเรียนก็ติด 0 ร เกือบจะ 20ตัวเพราะไม่ยอมเข้าเรียน ที่บ้านก็ทะเลาะกับคนในบ้านแทบทุกวัน มันทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ ทั้งกดดัน และทั้งหมดนี้มันมากเกินไปสำหรับเด็กอายุแค่ 14ปี
ในตอนนี้ผมผ่านมันมาทั้งหมดแล้ว มันไม่ใช่เพราะตัวผมเอง แต่มีคนมากมายที่คอยสนับสนุนผมหลังจากเรียนจบมาแล้ว ผมเกลียดความรุนแรง เพราะผมรู้ว่าคนที่โดนเขารู้สึกยังไง ผมเกลียดโรงเรียน เพราะที่นั่นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกแย่ๆ และผมเกลียดระบบของโรงเรียน ที่ไม่เคยช่วยเหลือเด็ก ทั้งที่รู้ว่าเด็กโดนแกล้งหนักขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะมาเปลี่ยนความคิดของผม เพราะสิ่งต่างๆที่ผมต้องเจอ หลายคนไม่ต้องเคยเจอกับมัน
ในทุกวันนี้ผมยังมองเห็นคนที่โดนแกล้ง ยังมองเห็นคนที่กดขี่คนอื่นเพื่อทำให้ตัวเองสูงขึ้น และผมต้องเห็นมันตลอดเวลา มันยากที่จะยอมรับ แต่สังคมที่เราทุกคนอยู่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยการกดขี่คนอื่น เด็กที่อ่อนแอโดนคนที่แข็งแรงกว่ากลั่นแกล้ง ทั้งที่ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำเพราะต้องการการยอมรับหรอ หรือเพื่อความสนุก ใช่ คนแกล้งมันสนุก แต่คนโดนมันไม่สนุกเลยสักนิด ผมกลายเป็นคนขาดความมั่นใจนานหลายปีเพราะจะทำอะไรก็โดนดูถูก ผมเป็นคนขี้กลัวเพราะต้องเป็นที่ลองมือลองเท้ามานาน ผมไม่อยากให้ต้องมีใครมาเจอเรื่องแบบเดียวกับผมอีกแล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะครับ นี่คงเป็นเรื่องที่ผมตั้งใจเขียนที่สุดแล้วตั้งแต่เริ่มหัดเขียนงานมา และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมอยากจะสื่อให้มันตรงไปตรงมาที่สุด ถ้าคุณมีญาติพี่น้อง หรือเพื่อนที่อยู่ในวัยเรียน ไม่ว่าจะอยู่ระดับชั้นไหนก็ตาม ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คุณต้องคอยดูแลเขาให้ดีที่สุด รับฟังทุกอย่างจากเขา และช่วยคิดวิธีกันแก้ปัญหา เด็กไม่ได้ต้องการคำสั่งจากคนที่โตกว่า แต่ต้องการความเข้าใจ คนที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือหากเขาลำบาก ไม่ใช่คนที่พร้อมจะมาคุมหางเสือในชีวิตของเขา ความเชื่อใจในตัวเด็กเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าคุณไม่เชื่อใจเด็ก เด็กก็จะไม่เชื่อใจคุณ และคุณก็จะไม่มีทางได้รู้เลยว่าเขาต้องพบเจอกับอะไรมา...
(ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจนจบนะครับ🙇🙇)
สำหรับคนที่อ่านแล้วอยากลองคุยกับผม
ช่องทางติดต่อ
Facebook : Teerapat Kanthong
(รูปเดียวกันกับหน้าเพจเลยครับ😁)
ขอโปรโมทหน่อยย
โฆษณา