Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สยามเทศะ โดย มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
•
ติดตาม
11 มี.ค. 2022 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
สทิงพระ
ศรีศักร วัลลิโภดม (เขียนเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๓๘)
บริเวณอำเภอสทิงพระในสมัยโบราณเคยเป็นเกาะปะการัง [Atoll] ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากปะการัง และการกระทำของคลื่นลมที่พัดพาเอาโคลนตะกอนและทรายมาทับถมให้เกิดแผ่นดินขึ้น พื้นที่ของเกาะนี้เป็นแนวยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเล คลุมพื้นที่ตั้งแต่บริเวณหัวเขาแดงในเขตอำเภอเมืองสงขลา มายังเขตอำเภอสทิงพระแล้วต่อไปจรดสุดเขตอำเภอระโนด
ทางด้านตะวันตกที่ปัจจุบันเป็นทะเลสาบนั้น เป็นแหล่งหลบลมที่สะดวกแก่การจอดเรือ โดยเมื่อเรือแล่นผ่านหัวเขาแดงเข้ามาในทะเลสาบแล้ว ก็มีอ่าวเล็กๆ ที่มีทั้งเกาะและเขาเป็นที่กำบังลมและสะดวกสบายในการจอดเรือ อีกทั้งตำแหน่งของเกาะแผ่นดินบกนี้ก็อยู่บนเส้นทางเดินเรือทะเลแต่โบราณ โดยเฉพาะตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมานั้น การเดินทางจากตะวันออกคือจากทางอ่าวไทยไปยังทางตะวันตก คือ ไปอินเดีย ลังกา และที่อื่น ๆ นั้น เปลี่ยนจากการเดินทางข้ามคาบสมุทรมาเป็นการเดินทางอ้อมแหลมมลายู โดยผ่านทางช่องแคบมะละกา แล้วเลียบชายฝั่งอ่าวไทยขึ้นมาเพื่อต่อไปยังเมืองท่าอื่นๆ ในไทย กัมพูชา และเวียดนาม จะต้องผ่านบริเวณแผ่นดินบก อาจหยุดพักการเดินทางหรือเพื่อพักรับสินค้าหรืออาจมีบุคคลที่สนใจเข้ามาตั้งหลักแหล่งได้
ดังนั้น เกาะที่เรียกว่า แผ่นดินบกแห่งนี้จึงดึงดูดทั้งผู้คนที่อยู่บนฝั่งแผ่นดินใหญ่และผู้ที่มาจากโพ้นทะเลให้เข้าพำนักพักพิงและตั้งถิ่นฐานขึ้น โดยเฉพาะการเป็นแหล่งสถานีพักสินค้าหรือเมืองท่าแล้ว นับเป็นแหล่งที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะในการสำรวจค้นคว้าทางโบราณคดีนั้น พบแหล่งสถานีสินค้าเช่นนี้ตามเกาะหรือชายฝั่งทะเลในทำนองนี้หลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่น บริเวณเกาะคอเขาในเขตอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และที่แหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
จากหลักฐานทางโบราณคดีเท่าที่ผ่านมา พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาบนเกาะนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่บริเวณหัวเขาแดงอันเป็นตอนหัวเกาะจนถึงบริเวณคลองระโนด ในเขตอำเภอระโนด ที่อยู่ตอนท้ายเกาะ โดยอาจแบ่งบริเวณเกาะตามพัฒนาการของชุมชนมนุษย์ออกได้เป็น ๓ บริเวณ คือ บริเวณหัวเกาะที่อยู่ในเขตหัวเขาแดง อำเภอเมืองสงขลา ไปจนถึงบริเวณตอนกลางของเกาะคือ ในเขตอำเภอสทิงพระและบริเวณท้ายเกาะที่อยู่ในเขตอำเภอระโนด
บริเวณที่มีการตั้งหลักแหล่งของมนุษย์ในระยะแรกๆ คือบริเวณหัวเกาะและบริเวณตอนกลางของเกาะ บริเวณหัวเกาะนั้นพบร่องรอยของแหล่งชุมชนโบราณตามลำคลองสทิงหม้อที่อยู่ทางด้านทะเลสาบ และพบแหล่งที่เป็นศาสนสถานในบริเวณเขาน้อย ในขณะที่บริเวณตอนกลางของเกาะนั้น มีทั้งร่องรอยของชุมชนโบราณใหญ่น้อยเรียงรายอยู่บนแนวสันทราย มีตำแหน่งที่เป็นเมืองมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีสระน้ำขนาดใหญ่ ประจำแทบทุกชุมชน และมีศาสนสถานบนเขา และตอนที่ขุดเชื่อมฝั่งทะเลด้านนอกกับฝั่งทะเลที่ล้วนแสดงให้เห็นว่าเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดของบรรดาชุมชนทั้งหลายบนเกาะนี้
ในขณะที่ส่วนท้ายเกาะที่อยู่ในเขตอำเภอระโนดนั้น เป็นการขยายตัวของบรรดาชุมชนทางเขตอำเภอสทิงพระออกไปในสมัยหลังลงมา โบราณวัตถุเก่าแก่ที่สุดเห็นจะได้แก่ บรรดาเครื่องมือหินขัด ลูกปัด และโบราณวัตถุที่นับเนื่องในสมัยเหล็กหรืออีกนัยหนึ่งยุคโลหะตอนปลายที่น่าจะมีความสัมพันธ์กับแหล่งที่พบของเช่นเดียวกับเหล่านี้ในที่อื่น เช่นที่เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร และบริเวณอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
พบพระพุทธรูปศิลานั่งขัดสมาธิสีเขียว อันเป็นของที่พบแบบเดียวกันกับในบริเวณแคว้นฟูนันที่ปากแม่น้ำโขง ในประเทศเวียดนาม พระพุทธรูปองค์นี้พบในเขตอำเภอสทิงพระและเศียรพระโพธิสัตว์ที่เป็นศิลปกรรมในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ ในเขตคลองสทิงหม้อ ซึ่งก็เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกับพวกอินเดียใต้และพวกฟูนันที่ปากแม่น้ำโขง ครั้นเข้าสู่สมัยทวารวดี-ศรีวิชัย นับแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ ลงมา ก็ยิ่งมีการติดต่อกับที่อื่น ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับทางบ้านเมืองในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น แถวนครปฐม ราชบุรี และบ้านเมืองในเกาะชวา สุมาตรา เป็นเหตุให้พบโบราณวัตถุโดยเฉพาะพระพิมพ์ที่มีรูปแบบศิลปะทวารวดีและแบบศิลปะชวา (ซึ่งหลายคนเหมาเอาว่าคือศรีวิชัย) ในช่วงเวลานี้
ยังไม่อาจกำหนดได้ว่า ผู้คนบนแผ่นดินบกนั้น นับถือศาสนาอะไรเป็นหลัก เพราะพบโบราณวัตถุที่เป็นของทั้งทางพุทธศาสนาเถรวาท มหายาน และฮินดู ทั้งนี้เนื่องมาจากเกาะแผ่นดินบก เป็นทางผ่านที่จะไปในที่ต่างๆ จึงมีผู้คนมุ่งเข้ามา ซึ่งมีทั้งตั้งถิ่นฐานชั่วคราวและอยู่อย่างถาวร จนกระทั่งราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ จึงเห็นการยึดถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเป็นระบบความเชื่อที่สำคัญ เพราะมีหลักฐานให้เห็นชัดเจนในเรื่องของศาสนสถานที่ส่วนใหญ่พบอยู่ในบริเวณเขตอำเภอสทิงพระ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ตอนกลางของเกาะ แหล่งศาสนสถานที่โดดเด่นคือ เขาพะโคะ และถ้ำเขาคูหา ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
แม้ว่าที่เขาพระโคะปัจจุบันจะถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เป็นวัดทางพุทธศาสนาเถรวาท มีการก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็พบร่องรอยศาสนสถานเดิมที่เป็นพราหมณ์ โดยเฉพาะฐานศิวะลึงค์ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงการนับถือพราหมณ์มาก่อน ซึ่งอาจตั้งข้อสังเกตได้จาก
ชื่อ ‘พะโคะ’ ซึ่งน่าจะหมายถึงพระโค อันเป็นพาหนะของพระอิศวร แต่สิ่งที่เหลือไว้เด่นชัดกว่าเขาพะโคะคือ ถ้ำสองถ้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นที่เขาคูหา เขานี้มีส่วนสะดุดตาตรงหน้าผาและยอดเขาที่สูงตระหง่านคล้ายแท่งศิวะลึงค์ จนอาจเป็นที่น่าสังเกต และจากความโดดเด่นดังกล่าวนี้เอง จึงถูกเลือกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีการปรับลานหน้าถ้ำให้เรียบและยกระดับขึ้นเหนือชั้นดินธรรมดา ประดิษฐานแท่นศิวะลึงค์เพื่อทำพิธีกรรม และเจาะภูเขาเป็นถ้ำ ณ บริเวณนี้ ๒ ถ้ำ ที่น่าจะใช้เป็นที่บำเพ็ญพรตของพวกนักพรต
นอกจากนั้น ถ้ำและลานประกอบพิธีกรรม ณ เขาคูหายังมีความสัมพันธ์กับสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้นที่ราบหน้าเขาอีกด้วย สระนี้เป็นสระเพื่อประกอบพิธีกรรม มีเกาะอยู่กลางสระ จึงมีผู้ขุดพบโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องมือใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน นอกจากแหล่งที่เป็นศาสนสถานสำคัญ ณ เขาพะโคะและเขาคูหาแล้ว ยังพบโบราณวัตถุที่เป็นแท่นศิวะลึงค์ ฐานโยนี ศิวะลึงค์ และเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ ตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ บนแนวสันทรายในเขตอำเภอสทิงพระอีกด้วย
จากร่องรอยของหลักฐานทางโบราณคดีตามที่กล่าวมานี้ ทำให้กล่าวได้ว่า ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ลงมา บริเวณแผ่นดินบกที่เป็นเกาะอยู่นั้น มีพัฒนาการของบ้านเมืองที่เป็นศูนย์กลางของบรรดาชุมชนบ้านเมืองทั้งหลายที่อยู่ทั้งบนเกาะและบนชายฝั่งรอบทะเลสาบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดพัทลุง เมืองดังกล่าวนี้คือ เมืองสทิงพระที่ในตำนานพงศาวดารเรียกว่า ‘กรุงสทิงพาราณสี’ เป็นเมืองท่าและเมืองสำคัญของรัฐอิสระที่ร่วมสมัยเดียวกันกับเมืองสำคัญอื่นๆ ที่อยู่บนชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย เช่น ตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ลังกาสุกะ (ปัตตานี) โดยผู้คนนับถือศาสนาฮินดู และพุทธมหายาน ปะปนกันไป แต่ว่าศาสนาสำคัญที่ชนชั้นปกครองนับถือนั้น เน้นศาสนาฮินดู เป็นศาสนาหลัก
1
ซึ่งพบบรรดาศาสนสถานและโบราณวัตถุที่เป็นของเนื่องในศาสนาฮินดูมากกว่า เกาะสทิงพระหรือแผ่นดินบก และบรรดาบ้านเมืองบริวารที่อยู่บนชายฝั่งทะเลในเขตจังหวัดพัทลุง มีการติดต่อทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กับบรรดาบ้านเมืองใกล้เคียง เช่น ทางลุ่มน้ำเจ้าพระยา นครศรีธรรมราช ปัตตานี เลยไปจนถึงชวา มลายู กัมพูชา จีน ลังกา อินเดีย ฯลฯ เป็นเหตุให้พบวัตถุทางวัฒนธรรมตามแหล่งโบราณสถานบนเกาะนี้
พัฒนาการของบ้านเมืองบนเกาะปะการังนี้ นอกจากแสดงให้เห็นว่า เมืองสทิงพระเป็นศูนย์กลางมีชุมชนตั้งอยู่หนาแน่นบนแนวสันทราย และมีการขุดคลองเชื่อมชายฝั่งทะเลด้านนอกคือ ทะเลในอ่าวไทยกับทะเลด้านในทางด้านทะเลสาบแล้ว ยังพบร่องรอยของเมืองขนาดเล็กและการขุดคลองเชื่อมทะเลทั้งสองด้านในที่อื่นๆ อีก เช่น ที่วัดสีหยัง และที่วัดพังยาง เป็นต้น โดยมีศูนย์กลางของศาสนสถานอยู่ ณ เขาพะโคะและเขาคูหา
จนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ จึงมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมืองสทิงพระที่เป็นอิสระ มีความสัมพันธ์กับเมืองตามพรลิงค์ หรือนครศรีธรรมราชมากกว่าเดิม และในที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นนครศรีธรรมราชไป
สิ่งที่เห็นถึงความใกล้ชิดดังกล่าวคือ บรรดาชุมชนบ้านเมืองบนเกาะสทิงพระและที่อยู่ตามชายทะเลสาบ ต่างก็รับรู้อิทธิพลพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทจากนครศรีธรรมราช มีการสร้างพระสถูปเจดีย์และพระพุทธรูปใหญ่น้อยด้วยศิลา และเกิดวัดในทางพุทธศาสนาประจำชุมชนขึ้นมากมาย บรรดาแหล่งที่เคยเป็นศาสนสถานของพราหมณ์และฮินดูแต่เดิม ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพุทธสถานไปเป็นจำนวนมาก
เช่นที่เขาพระโคะเองก็มีการสร้างพระสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่ขึ้นไว้ เช่นเดียวกันกับที่เมืองสทิงพระและเมืองสีหยัง มีการสร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้น ให้เห็นถึงการนับถือพุทธศาสนาอย่างมั่นคง แต่ที่สำคัญทางชายฝั่งทะเลสาบฟากพัทลุง เกิดมีชุมชนเมืองใหญ่น้อยขึ้นทั่วไปที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท บริเวณที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญอยู่ที่วัดเขียนบางแก้ว ที่เป็นที่ตั้งของวัดสำคัญมีพระมหาธาตุเจดีย์ โบสถ์ วิหาร ของพระหินทรายสีแดงขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันเมืองนี้เป็นเมืองท่าที่มีพ่อค้าจากภายนอกเข้ามาค้าขาย ทำให้เกิดความมั่งคั่งขึ้น และกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเมืองสทิงพระ
ในช่วงเวลานี้ ชุมชนบนเกาะได้ขยายตัวไปทางเหนือไปจนหมดเขตอำเภอระโนด เกิดชุมชนเมืองที่วัดพังยาง อีกทั้งมีเส้นทางลัดจากทะเลด้านนอกไปยังด้านทะเลสาบ ไปติดต่อกับบรรดาบ้านเมืองทางชายฝั่งพัทลุง เพราะฉะนั้น ความสำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ในสมัยแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ ลงมานี้ เริ่มเบนเบียงจากเมืองสทิงพระบนเกาะแผ่นดินบกมาเป็นที่บริเวณวัดเขียนบางแก้วแทนและเมืองที่เกิดขึ้น ณ วัดเขียนบางแก้วนี้คือ เมืองพัทลุงนั่นเอง
ในเรื่องนี้มักมีผู้เข้าใจผิดไปว่า เมืองพัทลุงเดิมนั้นคือเมืองสทิงพระ ทั้งที่ตำแหน่งที่ตั้งห่างกันคนละฟากทะเลเลยทำให้สับสนกับเมืองสงขลาได้ เพราะเมืองสงขลาในระยะแรกนั้นอยู่บนเกาะสทิงพระเช่นเดียวกันกับเมืองสทิงพระ แต่เกิดทีหลัง อยู่ ณ บริเวณหัวเขาแดง ดังนั้น เพื่อให้เป็นที่กระจ่างแจ้ง ในที่นี้จึงใคร่อธิบายว่า เมืองสทิงพระบนแผ่นดินบกเคยเป็นศูนย์กลางของบรรดาบ้านเมืองที่รายรอบทะเลสาบสงขลาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ลงมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จากนั้น บ้านเมืองในแถบนี้ก็ถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช ซึ่งในช่วงเวลานี้ก็มีพัฒนาการของเมืองทางชายฝั่งทะเลด้านพัทลุงเกิดขึ้น มีเมืองสำคัญคืออยู่ที่บริเวณวัดเขียนบางแก้วที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองพัทลุงอย่างแท้จริง
แต่นับแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ลงมา แคว้นนครศรีธรรมราชเสื่อมอำนาจลง พระพนมทะเลกษัตริย์จากเมืองเพชรบุรี ได้ส่งขุนนางมาฟื้นฟูเมืองนครศรีธรรมราช และบรรดาบ้านเมืองที่อยู่ในอาณาเขตของนครศรีธรรมราช ทำให้เกิดการสร้างเมืองใหม่เพิ่มเติม บริเวณเกาะสทิงพระหรือแผ่นดินบก และบริเวณชายฝั่งทะเลด้านพัทลุงก็ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้วย เกิดบริเวณที่เป็นบ้านเมืองเพิ่มขึ้นอีกมาก
แต่ส่วนใหญ่นั้นผู้ที่มีอำนาจจากศูนย์กลางได้กำหนดให้คณะสงฆ์ ๒ แห่ง คือ เมืองที่มีวัดเขียนบางแก้วเป็นศูนย์กลางคือ เมืองพัทลุง โดยมีคณะสงฆ์ฝ่ายลังกาแก้ว เป็นผู้ดูแลทางฝั่งทะเลด้านพัทลุง ในขณะที่ทางแผ่นดินบกมีเมืองพระโคะที่มีวัดพระโคะเป็นศูนย์กลางมีพระสงฆ์คณะลังกาขาดการดูแล เลยเป็นเหตุให้เมืองสทิงพระหมดความสำคัญลงไปอย่างสิ้นเชิง
โดยเหตุที่คณะสงฆ์ฝ่ายลังกาชาดดูแลนี้เอง เป็นเหตุให้มีการสร้างวัดเพิ่มขึ้นตามชุมชนที่อยู่บนสันทรายอีกมากมาย ทำให้มีการทำแผนที่แสดงเขตและวัดที่อยู่ในการดูแลของคณะสงฆ์ฝ่ายลังกาชาด ซึ่งถ่ายทอดกันเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนปัจจุบัน แผนที่นี้เกิดขึ้นในสมัยสมัยกรุงศรีอยุธยาและพระมหากษัตริย์ ทางกรุงศรีอยุธยาทรงสนับสนุน พระเถระผู้เป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ลังกาชาดอย่างมาก ถึงขนาดทรงแต่งตั้งให้มีฐานะเป็นสมเด็จเหนือระดับชั้นพระครู เช่น หลวงพ่อทวด ได้ดำรงตำแหน่งเป็น พระราชมุนี เพราะท่านเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ฝ่ายลังกา ณ วัดเขาพะโคะ
นับแต่รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถลงมา การค้าขายทางทะเลเติบโตขึ้น เพราะทางกรุงศรีอยุธยาว่างจากศึกพม่า ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งหนึ่ง บ้านเมืองบนเกาะสทิงพระก็ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นอีกทีหนึ่ง มีพ่อค้าชาวอาหรับได้เข้ามาตั้งสถานีการค้าขึ้น ณ หัวเขาแดง และต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นเมืองมีป้อมปราการแข็งแรง และรู้จักกันในนามว่า เมืองสงขลา
ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นเมืองที่มีอำนาจมากทางภาคใต้ของประเทศไทย เพราะฉะนั้น โดยตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ใกล้ชิดกับเมืองสงขลา ทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นใหม่นี้ แต่โดยนิตินัยเมืองสทิงพระยังคงภายใต้การดูแลของคณะสงฆ์ฝ่ายลังกาชาด อันมี เมืองศูนย์กลางอยู่ที่เขาพะโคะ
ในสมัยอยุธยา ชุมชนแหล่งนี้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เป็นที่ตั้งคณะลังกาชาติ ดังปรากฏหลักฐานในเรื่องกัลปนา มีวัดต่างๆ ขึ้นกับวัดพะโคะมากมายตามตำราแผนที่ภาพสมัยอยุธยาเป็นเครื่องยืนยันอยู่
อนึ่ง ในส่วนที่วัฒนธรรมสทิงพระเกี่ยวข้องกับอินเดียใต้นั้น มีผู้รู้ได้กล่าวถึงกรรมวิธีที่ทำน้ำตาลโตนดในเขตสทิงพระว่าคล้ายคลึงกันมากกับกรรมวิธีในแคว้นทมิฬ โดยเฉพาะเครื่องมือที่ใช้คาบช่อดอกตัวผู้ตัวเมีย รวมทั้งวิธีการปีนลำต้น โดยเฉพาะวิธีปีนลำต้นนี้จะแตกต่างกับวิธีที่ปฏิบัติกันในพม่าตอนกลาง ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมของอินเดียฝ่ายใต้ (ทมิฬ) กับประเทศไทยตอนใต้
เมืองพัทลุงหรือเมืองสทิงพระในเครื่องแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ยังบ่งว่าเป็นเมืองอิสระ แต่ล่วงถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หลักฐานจากเรื่องกัลปนาจังหวัดพัทลุง แสดงว่าได้ตกเป็นเมืองอยู่ใต้อำนาจเมืองอื่น (อาจเป็นนครศรีธรรมราชหรืออยุธยา) ดังข้อความในเรื่องกัลปนาว่า
"เมื่อขณะพญาธรรมรังศัลกินเมืองสทิงพระและนิมนต์พระอโนมทัสสีให้ไปเอากระบวนพระมหาธาตุเจ้ามาแต่เมืองลังกา และมาก่อพระศรีรัตนมหาธาตุเจ้าสูงเส้นหนึ่ง" และว่า "ในที่วัดหลวงนั้น มีภูเขา ๔ ภูเขาในที่วัดหลวงเขาหนึ่งชื่อ ภิพัชสิง เขาหนึ่งชื่อเขาพนัง ตุกแก อยู่ข้างทักษิณ เขาหนึ่งชื่อเขาคูหา อยู่ข้างอุดร เขาหนึ่งเล่าชื่อเขาผี อยู่ข้างพายับ เขาภิพัชสิง และเขาทั้งนี้อยู่ที่วัดหลวงนั้น"
#สยามเทศะโดยมูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/สยามเทศะ-โดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ-วิริยะพันธุ์-323215901674254
https://www.youtube.com/user/lekprapai/featured
https://siamdesa.org
https://www.instagram.com/siamdesa_lekprapai/?hl=th
https://lek-prapai.org/home
https://www.blockdit.com/pages/60934dc31b39400c4b221773
7 บันทึก
6
6
7
6
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย