1 เม.ย. 2022 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
จิตรกรรมฝาผนังวัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร (วัดกลาง) ฝั่งบ่อยาง สงขลา
เมืองสงขลาที่ฝั่งด้านเหนือของเขาแดงที่เป็นเมืองป้อมค้าขายขนาดใหญ่หลังจากถูกทำลายไปในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ราว พ.ศ. ๒๒๒๓ โดยนำเจ้าเมืองลูกหลานชาวบ้านหนุ่มสาวเข้าไปตั้งชุมชนอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ต่อมาก็มีการสร้างชุมชนอยู่อาศัยทั่วไปในรอบทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะที่ทางฝั่งแหลมสนอีกด้านหนึ่งของเขาแดง ซึ่งอยู่หลบเข้าไปภายในและมีพื้นที่คับแคบขยายตัวได้ยาก และไม่ปรากฎว่าเป็นเมืองใหญ่เช่นที่เคยเป็นมาก่อนหน้านั้น และเป็นส่วนหนึ่งในการกำกับดูแลของเมืองนครศรีธรรมราช
อย่างไรก็ตามมีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชุมชนอยู่ทั้งทางฝั่งแหลมสนและฝั่งบ่อยาง ซึ่งภายหลังทั้งสองบริเวณนั้นก็กลายเป็นเมืองสงขลาต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ โดยเมื่อหลังกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายลง ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระยาจักรียกทัพมากำกับการจัดการบ้านเมืองในทางหัวเมืองมลายู ก็แต่งตั้งเจ้าเมืองสงขลาที่เป็นชาวบ้านขึ้นมาเป็นพระสงขลาทางฝั่งแหลมสน
ขณะนั้นมีชาวจีนคนหนึ่งชื่อ นายเหยี่ยง แซ่เฮา ซึ่งอพยพมาจากเมืองเจียงจิ้งหู มลฑลฟูเจี้ยน ได้เสนอทรัพย์สินและบริวารของตนเพื่อแลกกับสัมปทานผูกขาดธุรกิจรังนกบน เกาะสี่เกาะห้า ในทะเลสาบสงขลา จึงแต่งตั้งให้ นายเหยี่ยง แซ่เฮา เป็นหลวงอินทคีรีสมบัติ นายอาการรังนกเกาะสี่เกาะห้า ซึ่งเป็นสินค้าผูกขาดของหลวงที่สำคัญและเป็นการค้าส่งออกที่ทำกำไรแก่รัฐอย่างยิ่ง
ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เพื่อการปกครองที่เข้มแข็งขึ้นจึงให้หลวงอินทคีรีสมบัติ (เหยียง แซ่เฮา) ซึ่งเป็นนายอากรรังนก เกาะสี่เกาะห้า เลื่อนตำแหน่งเป็น หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ เจ้าเมืองสงขลา คนถัดมาซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นสายสกุล ณ สงขลา ซึ่งต่อมาได้ปกครองเมืองสงขลาถึง ๘ รุ่น
และสายตระกูลเจ้าเมืองสงขลาซึ่งเป็นชาวจีนเชื้อสายฮกเกี้ยนนี้ ล้วนใกล้ชิดกับส่วนกลางและราชสำนักนับแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจนถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ และโดยเฉพาะรัชกาลที่ ๒ และ รัชกาลที่ ๓ เมื่อต้องมีการปกครองแก้ปัญหาหัวเมืองมลายูทางใต้ลงไปของคาบสมุทรที่เมืองสงขลาถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
และทางเจ้าเมืองสงขลาอีกหลายท่านต่อมาก็ทำการราชการขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ได้อย่างเข้มแข็งและเป็นฐานผู้คน ความรู้ สรรพวิทยาต่างๆ ในการส่งคนเข้าไปดูแลหัวเมืองต่างๆ ตามเมืองท่าทางคาบสมุทรทั้งสองฝั่งทะเล ทางฝั่งบ่อยางนั้นน่าจะมีผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยตั้งแต่เมืองสงขลาที่เขาแดงล่มสลายไป วัดทางฝั่งนี้ซึ่งเป็นย่านการค้าและมีชุมชนทั้งจีนและไทยตั้งบ้านเรือนชุมชนมาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว เพียงแต่ไม่ถูกสถาปนาเป็นเมืองสงขลา
กล่าวกันว่าวัดมัชฌิมาวาสแต่เดิมสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ผู้สร้างวัดชื่อ นางศรีจันทร์ ชาวบ้านเรียกว่า ‘วัดยายศรีจันทร์’ ภายหลังมีผู้สร้างวัดขึ้นทางทิศเหนือ ๑ วัด (วัดเลียบ) และทางทิศใต้ ๑ วัด (วัดโพธิ์ปฐมาวาส) วัดยายสีจันทร์อยู่กลาง ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘วัดกลาง’ และถูกบูรณะครั้งใหญ่ เช่น สร้างพระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ โดยเจ้าพระยาอินทคีรี (บุญหุ้ย) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาเมื่อครั้งยังอยู่ทางฝั่งแหลมสนในรัชกาลที่ ๑ ต่อมาเมื่อย้ายเมืองมาอยู่ทางฝั่งบ่อยางแหลมทราย
พระยาวิเชียรคีรี (เถียนเส้ง) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาในรัชกาลที่ ๒ และ ๓ ก็ทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่พระอุโบสถนี้ประจำปี ต่อมาเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาเป็นผู้บูรณะพระอุโบสถนี้ครั้งใหญ่ในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๐–พ.ศ. ๒๔๐๘ ซึ่งรัชกาลที่ ๔ เสด็จประพาสในช่วงเวลาเดียวกันพอดี และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส (เมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส) ได้เสด็จมาเมืองสงขลา ทรงเปลี่ยนชื่อวัดกลางเป็น “วัดมัชฌิมาวาส”
พระอุโบสถรูปทรงแบบกรุงเทพฯ อย่างชัดเจน หน้าบันพระอุโบสถภายนอกเป็นปูนปั้น ทางตะวันออกเป็นรูปพระพรหมทรงหงส์ ทางตะวันตกเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ มีซุ้มหน้าต่างและประตูเป็นรูปมงกฎ ภายในพระอุโบสถมีพระประธานทำด้วยหินอ่อนฝีมือช่างจีน กล่าวกันว่าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์) สั่งมาจากประเทศจีน พระพักตร์ของพระประธานแสดงลักษณะฝีมือช่างจีนอย่างเห็นได้ชัด มีพระเกตุมาลาทำด้วยทองคำ
ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ เป็นภาพเขียนสีฝุ่นบนผนังปูน งานฝีมือช่างหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เขียนเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๖ เป็นภาพทศชาติชาดก พุทธประวัติ และเทพชุมนุม ถือว่าเป็นงานจิตรกรรมที่เรียบเรียงเรื่องราวไว้ได้อย่างสมบูรณ์มากและเข้าใจง่าย องค์ประกอบงดงาม ทั้งสะท้อนภาพของชีวิตประจำวัน ทั้งการแต่งกาย การละเล่น ประเพณี ความเชื่อ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ใช้สีสันสดใส องค์ประกอบในการวางภาพใช้ระบบเส้นตั้งและระบบเส้นเฉียงผสมผสานกันอย่างงดงามลงตัว
และที่น่าสนใจคือหน้าบันภายในอาคารทำเป็นปูนปั้น ทางตะวันออกรูปราหูหน้าตรง ไม่มีฝ้าเพดานแสดงโครงสร้างหลังคางดงาม ภายนอกพระอุโบสถระหว่างช่วงเสาโดยรอบนั้นมีภาพจำหลักหินเป็นเรื่องราวฝีมือช่างจีน ที่หน้าซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถด้านทิศตะวันออก
มีรูปจำหลักหิน เป็นรูปขุนนางฝ่ายทหาร ๔ คน ในพงศาวดารจีนซุยถังเรื่องลิซิบิ๋น (ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ให้จีนบั้นกิม กับ จีนเพง ทำการแปลเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘) และทางด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถด้านทิศตะวันตกมีโลกบาลทั้ง ๔ แบบจีน
ต่อมาเมื่อทรุดโทรมลงอย่างมากได้ซ่อมตามแบบของกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ และกรมศิลปากรอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งต่อมางานอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง กรมศิลปากร ได้ทำการคัดลอกภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพลายเส้น เพื่อศึกษารูปแบบของจิตรกรรมและเพื่อการค้นคว้าทางเทคนิคและวิชาการ
ภาพลายเส้นแบ่งออกเป็นหมวดต่างๆ คือหมวดเครื่องแต่งกาย หมวดสถาปัตยกรรม หมวดเครื่องดนตรี หมวดการละเล่นและกีฬา หมวดชีวิตความเป็นอยู่ หมวดพาหนะ หมวดอาวุธ หมวดประเพณีและเบ็ดเตล็ด จัดพิมพ์เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ และงานศึกษารวบรวมภาพเกี่ยวกับทศชาติชาดกในฉบับภาษาอังกฤษ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ เรียบเรียง
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
โฆษณา