28 ก.พ. 2022 เวลา 09:42 • ประวัติศาสตร์
กระจ่าง ตุลารักษ์ น้องชายนายสงวน คนสนิทนายปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในคณะราษฎร ขบวนการเสรีไทย และกบฏวังหลวง
ภาพจากนิตยสาร สารคดี
ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์ คณะราษฎรคนสุดท้าย น้องชายของสงวน ตุลารักษ์ คนสนิทคู่ใจรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ หนึ่งเดียวในผู้ร่วมก่อการปฏิวัติประชาธิปไตย 2475 ที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้
อดีตเสรีไทย ผู้เดินทางไปนำเครื่องรับส่งวิทยุ 2 เครื่องแรกมาจากจีน กระทั่งถูกรัฐบาลจอมพล ป. ประกาศเป็นชนชาติศัตรู ต้องหลบซ่อนเปลี่ยนชื่ออยู่กระทั่งสงครามเลิก
ตลอดชีวิตนักต่อสู้ ต้องระหกกระเหินไปร้อยเอ็ดย่านน้ำ ถือกำเนิดที่ชายฝั่งบางปะกง ติดตามพี่ชายมาอยู่กรุงเทพฯ ลงไปช่วยคุมนิคมธารโต ได้เมียปัตตานี ลงหลักปักฐานที่ยะลา เดินทางไปจีน และต้องลี้ภัยไปอยู่สิงคโปร์นานถึง 9 ปีครึ่ง หลังกบฎวังหลวง
ลงสมัครรับเลือกตั้งทุกระดับ 22 ครั้ง สมัครส.ส. 3 ครั้ง สอบได้ครั้งเดียว แต่ไปได้ที่ขอนแก่น ทำธุรกิจทุกระดับตั้งแต่โรงเลื่อย มาจนเป็นที่ปรึกษาโครงการนิคมผลิตอาหารฮาราล เป็นกรรมการหอการค้า เป็นอดีตประธานสภาจังหวัด
ถึงวันนี้ แม้จะอายุ 91 ปี แต่ทุกวันที่ 24 มิถุนายน และ 16 สิงหาคม วันเสรีไทย ลุงกระจ่างก็ยังขึ้นรถไฟจากยะลามาร่วมงานทุกปี
คนจริงแปดริ้ว
"ผมต้องมาเพราะคณะราษฎรเหลือคนเดียวแล้ว เมื่อก่อนยังมีคุณวิลาศ โอสถานนท์ แกตายไป 2-3 ปีแล้ว"
71 ปีที่แล้ว ลุงกระจ่างตอนนั้นอายุยังแค่ 19 ปีเศษ "ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย แต่มาอยู่สำนักงานกฎหมาย ทำงานเขาก็สอนเรื่องนี้มา ได้ยินทุกวัน เพราะฉะนั้นมันเข้าไปในกระดูก"
"พี่สงวนสอบเนติบัณฑิตได้แล้วก็มาตั้งสำนักงานทนายความที่สะพานหัน สอนกฎหมายด้วย ผมก็มาอยู่กับท่าน ท่านก็ใช้ไปศาลบ้างไปโน่นนี่บ้าง ฟังเขาพูดเขาคุยกันทุกวัน"
สงวน ตุลารักษ์ เป็นพี่ชายคนที่ 2 ซึ่งอายุมากกว่า 10 ปี แต่เป็นพี่น้องคนละแม่ "พ่อผมมีภรรยา 3 คน ลูกใน 3 คน นี่มาอยู่สภาผู้แทนทั้งนั้นเลย"
ถิ่นกำเนิดของตระกูลตุลารักษ์ก็คือ ต.ท่าลาด อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา "พ่อผมนี่เป็นนายแขวงนะ เทียบเดี๋ยวนี้ก็กำนัน แต่สมัยนั้นมันใหญ่กว่ากำนันมากเหลือเกิน พ่อผมเป็นคนเชื้อสายจีนคุมคนจีนหมดทั้งแม่น้ำบางปะกงเลย ขุดทอง ทำอะไรเยอะแยะ สมัยนั้นคนจีนมาอยู่ที่บ้านผมคนหนึ่งให้ 2 บาทเท่านั้นแล้วก็เอาไปทำงาน พ่อผมเป็นคนคิดงานใหม่ๆ เยอะ ท่านขุดคลองปานามานะ คือทำไร่สัปปะรด 2-3 พันไร่ มันหาบไม่ไหว ท่านก็ขุดคลองขึ้น ใช้ทั้งรดน้ำและเอาเรือขน"
วันปฏิวัติ 2475 ตระกูลตุลารักษ์ก็มากันเกือบหมด "เรียกว่าเทกระเป๋าแหละ" ทั้งสมใจ พี่ชายคนโต สะอาด น้องชายคนสุดท้อง แถมลุงกระจ่างยังรับหน้าที่ไป "หามือปืน" คือพรรคพวกแถวๆ ที่บ้านนั่นเองมาเตรียมพร้อมไว้ "รวมความว่าจ้างมือปืนนั่นแหละ ตายเป็นตาย เพราะเขามีปฏิวัติ รศ.112 มาครั้งหนึ่งจำได้ไหม แต่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้ถ้าไม่สำเร็จก็ตายเป็นตายกัน"
"ความตื่นเต้นอะไรมันไม่มีหรอก เพราะที่บ้านผมมันสู้กันทุกวันอยู่แล้ว พ่อผมเป็นนายแขวงต้องปราบพวกเขมรพวกลาว เรื่องตีต่อยกันเป็นธรรมดา สมัยนั้นปืนไม่ค่อยมี พวกชาวบ้านก็ใช้ดาบ แต่พวกผมชอบใช้กระบอง เอากระบองสู้กับดาบ ตีกันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเล่นกีฬา พวกผมยิงปืนเป็นกันทุกคนแหละ"
ลุงกระจ่างไปตามพวกมาอีก 2-3 คน "บอกอย่าปากบอนนะ ถ้าใครถามมาทำไมให้บอกมาทำงานกรุงเทพฯ" แต่ท้ายที่สุดมีมาตามนัดคนเดียว
อย่างไรก็ดี การปฏิวัติประชาธิปไตยก็ผ่านไปได้อย่างไม่เสียเลือดเนื้ออย่างที่รู้กัน กระนั้นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตนักต่อสู้ที่ต้องระหกระเหินมาอีกหลายสิบปี
"พอเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วผมก็ระเหเร่ร่อน เพราะพระยามโนฯ ท่านหาว่าพวกเราเป็นคอมมิวนิสต์ สมุดปกเหลืองของท่านปรีดี ที่จะเอามาพัฒนาคนไทยให้อยู่ดีมีสุข เขาหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ผมก็หนีไปโน่น ไปอยู่คลองด่าน ทางพระประแดง ไปอยู่ป่า จนจอมพลแปลก ตอนนั้นเป็นพันตรียึดอำนาจคืนมาวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ผมก็กลับเข้ามา"
อยู่ได้ไม่นาน ปี 2478 ก็ถูกส่งไปสร้างนิคมธารโต โดยสงวนผู้พี่ชายเป็นผู้บัญชาการนิคม ลุงกระจ่างเป็น "มือปืน" แต่ตำแหน่งจริงๆ คือเป็นครูช่าง "หมายถึงว่าจะทำอะไรต้องผมเป็นคนแนะนำ จะทำสะพานก่อสร้างอะไร ทำยังไงครูช่างจะไปสั่ง"
"รัฐบาลพระยาพหลฯ เขาใช้ไปปราบโจร คือพวกจีนเปรัคมันมายึดเบตง" ลุงกระจ่างเล่าประวัติการก่อตั้งนิคมธารโตในยุคนั้นว่า คนจีนจากรัฐเปรัคเข้ามายึดอำนาจ ปล้นฆ่าคนไทยไปมาก รัฐบาลจะส่งทหารไปก็ไม่ได้เพราะมีสนธิสัญญากับอังกฤษซึ่งปกครองมาเลเซียอยู่ จึงส่งนักโทษ 3,000 คน ไปก่อสร้างถนนเข้าเบตง เนื่องจากขณะนั้นเบตงไม่มีถนนติดต่อกับฝั่งไทย มีแต่ถนนไปเปรัค
ก็เหมือนคุ้มกันการสร้างทางนั่นเอง "มาดีก็พูดดี มาไม่ดีก็พูดกันไปตามความรู้สึกของแต่ละคน"
นักโทษที่ไปต้องมีโทษขั้นต่ำ 10 ปี "เราบอกเขาว่าคุณมาอยู่ที่นี่คุณเหมือนกับพ้นโทษ ให้พาเมียพาลูกมาอยู่ได้ แล้วจะให้ที่ดินคนละ 18 ไร่ แต่ยังไงก็มีหนีนะ ผมตามยิงมาเยอะ มันก็จะฆ่าผม ผมก็จะฆ่ามัน ถ้าไปดูประวัติศาสตร์นิคมอย่างนี้นะ โอ้โห มันฆ่า มันใจอำมหิต"
น่าเสียดายที่นิคมตั้งได้ไม่นานก็ต้องยกเลิกเพราะเกิดความขัดแย้ง "จอมพลแปลกหาว่าท่านปรีดีมาตั้งกองทัพ ผู้ใหญ่เขารบกัน" แต่ลุงกระจ่างยังอยู่ที่นั่นต่อ เพราะไปทำกิจการโรงเลื่อยอยู่ที่ อ.รามันแล้ว
"อยู่ธารโตเขามีโรงเลื่อย พอดีเขาไล่คนออก เอาคนเขาเข้า คนของผมที่พาไปก็เร่ร่อน ก็ตกลงจะไปหาโรงเลื่อยสักโรงมาสร้างกันก็มีคนมาเสนอขาย ผมก็ซื้อ ก็เอาพวกนี้ไปทำงาน"
อยู่จนได้ภรรยาที่ปัตตานี "ปี 2484 แต่งงาน 2 เดือน ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านปรีดีท่านเรียกใช้ ต้องให้เมียผมดูแล คนสมัยนั้นดีนะคุณ ภรรยาผมอายุ 18 เท่านั้นแต่งงานมา 2 เดือนไปคุมงานโรงเลื่อยในป่า รถยนต์เต็มป่า พวกเลื่อยไม้ พวกขายไม้ เอาเงินมาให้เถ้าแก่ครบ เป็นสมัยนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง"
ภารกิจของลุงกระจ่างในช่วงต้นๆ นั้นสรุปได้ว่าเป็นเหมือนผู้ช่วยประจำตัวพี่ชาย เป็นคนลงไป "ลุย" แทน อย่างที่เจ้าตัวเปรียบเปรยว่าเป็น "มือปืน" เพราะสงวน ตุลารักษ์ เป็นคนที่ท่านปรีดีไว้วางใจใช้ไปทำงานสารพัด "ยุ่งไปหมด เดี๋ยวเขาใช้ไปโน่นเดี๋ยวเขาใช้ไปนี่ จะว่าเป็นลูกน้องก็ไม่ใช่เพราะไปเป็นหัวหน้า อย่างโรงงานยาสูบ พี่สงวนก็ไปเป็นผู้อำนวยการ ตอนนั้นท่านปรีดีเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ไปยึดมาจากไทยโทแบคโก ผมก็ไปเป็นครูช่าง แต่จริงๆ ก็มือปืนนั่นแหละ (หัวเราะ) แต่บอกมือปืนนี่ใจเสีย บอกครูช่างนี่มันใหญ่โตนะคุณ จะทำอะไรถ้าบอกทำไม่ได้ก็ทำไม่ได้ ต้องมาทำแบบกันใหม่ บ่อน้ำจะขุดยังไง"
เสรีไทยไปจีน
เมื่อเกิดสงคราม ลุงกระจ่างก็ยังกลับมาเป็นทหาร "ผมเป็นทหารไปรบสงคราม 2 ครั้งนะ ครั้งแรกที่ลาว สงครามอินโดจีน ครั้งที่สองก็สงครามโลก" ตอนนั้นมียศนายสิบ แต่ลุงบอกว่า "นายสิบสมัยนั้นนี่ใหญ่โตมโหฬารนะ ทหารก็ผมเป็นคนฝึก จอมพลแปลกเข้ามาผมต้องเรียกแถวรายงานตัว"
เล่าว่ากับจอมพล ป.ก็เคยรับใช้ "ผมไปเฝ้าบ้านท่าน เอาทหารหมู่หนึ่งไปเฝ้าบ้านท่าน หลวงปลดปรปักษ์ เป็นผู้ก่อการเหมือนกัน เขาต้องการผมไปเป็นทหารเพราะซื่อสัตย์ ไปตามตัวผมที่บ้าน ผมบอกต้องขอปรึกษาผู้บังคับบัญชาก่อน" ก็คือท่านปรีดี-ลุงเล่าพร้อมกับหัวเราะ
เมื่อท่านปรีดีจัดตั้งเสรีไทยขึ้น ครั้งแรกได้ส่งจำกัด พลางกูร กับคนนำทางเดินทางไปจีนเพื่อหาทางติดต่อสัมพันธมิตร "คุณจำกัดพูดจีนไม่ได้ก็พาล่ามไปกับท่าน ไปลงเรือกันที่แม่น้ำโขง คุณฉลบชลัยย์ก็ไปส่ง คุณเตียงก็ไปส่งข้ามแม่น้ำโขงไปถึงเมืองจีนขอพบท่านเจียงไคเซ็ค คุณนึกว่าพบเขาง่ายๆ เหรอ คุณเป็นอะไรจะไปพบเขา เขามีระดับเสนาธิการเยอะแยะ ผมไปกว่าจะพบเขาได้ต้องตรวจแล้วตรวจอีกว่าเป็นญี่ปุ่นหรือเปล่า คุณจำกัดไปก่อนไม่ได้พบก็นั่งเก๊กซิม คุณจำกัดติดต่อท่านปรีดีก็ไม่ได้ติดต่อท่านเสนีย์ก็ไม่ได้ จนกระทั่งหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ พี่ชายพระนางเจ้ารำไพฯ ท่านมาเมืองจีนมาหาคุณจำกัดแกก็เล่าให้ฟัง ท่านก็เอาเทปม้วนหนึ่งให้คุณจำกัดให้มากรุงเทพฯ มาหาท่านปรีดี ให้ไปรับทหารอังกฤษ ให้แหวนเพชรมาวงหนึ่งเป็นค่าใช้จ่าย คุณจำกัดก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมไปถึงแกก็ไม่สบายแล้ว"
ลุงกระจ่างกับพี่ชายคือคณะที่ตามไปพบจำกัด พลางกูร ก่อนจะเสียชีวิตไม่กี่วัน
"ไปกัน 7 คน ผม พี่สงวน ครอบครัวพี่สงวน 3 คน คุณแดง คุณดิลก พี่เมียคุณควง เขาเป็นนายใหญ่อยู่กระทรวงต่างประเทศ แล้วคุณวิบูลย์ วิมลประภา เขาเก่งภาษาฝรั่งเศส"
เล่าให้ฟังว่าบทบาทของลุงเป็น "ตัวเชื่อม" คอยใช้ไหวพริบนำคณะเดินทางไปให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย เช่นตอนที่ไปถึงชายแดนระหว่างเวียดนามกับจีน ที่เมืองมองไก ซึ่งญี่ปุ่นยึดได้แล้วข้ามไปก็เป็นเมืองตงเฮงของมณฑลกวางสี "ตอนจะขนของข้ามไปเมืองจีน ผมก็ไปดูเขามีบ่อนกาสิโน พูดภาษาจีนโล้งเล้งๆ ก็บอกทั้งหมด 6 คนเนี่ยไป อย่าถืออะไรไปเลย มาเหมือนกับคนมาเล่นกาสิโน 6 คนก็เดินทางข้ามไป ผมก็ไปยืนดูอยู่ที่สะพาน เขามีสะพานชายแดน มีแม่น้ำเล็กๆ เห็นข้ามไปได้หมดสบายใจแล้ว ผมก็กลับมาโรงแรม ไปเรียกพวกญวนมา เฮ้ย สินค้านี้มันสินค้าเถื่อนนะ ***จะเอาเท่าไหร่ ข้ามสะพานแล้วเอาไปส่งที่โรงแรมของเรา ***แบกไปนะกูตามหลัง มันก็แบก พอถึงสะพานมีทหารยามอยู่ที่นั่นก็ไม่สงสัยเพราะเขาก็ซื้อของข้ามไปข้ามมากันอยู่ พอไปถึงโรงแรมก็เอาของวางเอาเงินให้มันก็กลับ ผมก็แจกสัมภาระให้ 6 คน"
เดินทางไปจนถึงจุงกิง ตอนนั้นจำกัดป่วยหนักแล้ว
"รุ่งเช้าวันหนึ่งหมอบอกไม่ได้ ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาล ข้ามไปรักษาโรงพยาบาลของต่างประเทศไปอยู่ 2 คืน ผมไปหาแก รุ่งขึ้นแกก็เสียชีวิต แต่แกเล่าเรื่องหมดแล้วนะ ของอะไรแกก็มอบให้หมดแล้ว รุ่งขึ้นก็เผาแบบพระมหายาน จีวรแดง รัฐบาลจีนก็ส่งทหารหมวดหนึ่งไปทำความเคารพ ผมก็ไปเก็บกระดูก เวลานี้ยังอยู่ที่ธรรมศาสตร์เลย ใส่โถผ้าแพรอย่างดี ไปไหนผมก็พาไปด้วย ไปอินเดียก็พาไปด้วย แล้วก็พากลับมา เวลานี้เก็บอยู่ที่ธรรมศาสตร์กับกระดูกของคุณการะเวกกับคุณสมพงษ์" เล่าว่าสองท่านหลังเป็นเสรีไทยจากอเมริกา โดดร่มลงมาแล้วเอาอาวุธกับทองคำที่เตรียมมามอบให้ตำรวจด้วยความบริสุทธิ์ใจคิดว่าเป็นเสรีไทยด้วยกัน แต่ถูกตำรวจยิงตายแล้วเชิดทองหนีข้ามไปฝั่งลาว
กับการสูญเสียจำกัด พลางกูร ลุงกระจ่างบอกว่า ลึกๆ แล้ว สาเหตุหนึ่งที่จำกัดไปไม่ได้พบใครก็เพราะมีความขัดแย้งที่เสรีไทยต่างประเทศไม่ยอมรับท่านปรีดีอยู่ด้วย จึงไม่ยอมติดต่อมา "เราก็ไม่รู้เรื่องของผู้ใหญ่เขา" นอกจากนี้ยังมาจากการที่จำกัดไปคนเดียว ไม่รู้จักคุ้นเคยเมืองจีน ไม่เหมือนคณะที่ไปภายหลังซึ่งมีคนที่พร้อมจะติดต่อกับทุกฝ่าย
"พี่ชายผมเขากว้างในจีน แกรู้จักพวกสมาคมพ่อค้าจีน อย่างตันซิวเม้งก็อุดหนุนพวกเราเหมือนกัน" (ต่อมาสงวน ตุลารักษ์ ไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีนคนแรกในช่วงหลังสงครามโลก)
เมื่อไปถึงจีนและได้พูดจากับสัมพันธมิตรแล้ว ลุงกระจ่างบอกว่าวิทยุจีนภาคภาษาไทยก็เอาไปพูดออกอากาศ "ปลุกใจในเมืองไทย ว่าให้ทำงานยังไง ตอนแรกที่ไปเราก็ไม่บอกหรอกว่าพี่สงวนบอกว่าดร.อะไรไม่รู้ไปถึงเมืองจีนแล้ว ให้เมืองไทยรับทราบ แล้วผมก็ตกลงกับคุณหลุยส์ พนมยงค์ น้องชายท่านปรีดีไว้ บอกว่าถ้าท่านรู้ก็ให้ออกประกาศรับซื้อหินมาทำถนน ก็รู้กัน เป็นการอาศัยเครื่องมือรัฐบาลมาส่ง signal"
แต่ท้ายที่สุดก็รู้กันว่าสองพี่น้องตุลารักษ์นี่เองที่เดินทางไปจีน จอมพล ป. จึงออกประกาศเป็นชนชาติศัตรู "นายสงวน นายกระจ่าง เป็นชนชาติศัตรู ลูกผมนี่ไปโรงเรียนโดนล้อชนชาติศัตรู โรงเลื่อยเขาก็ยึด เอาตราไปตีเอาโซ่ไปล่ามไม่ให้เลื่อยไม้ เงินในธนาคารมีอยู่บ้างก็ไปยึด"
กลับมาพร้อมวิทยุ
ในคณะ 7 คน มีลุงกระจ่างเดินทางกลับคนเดียว พี่ชายไปศรีลังกา ซึ่งเป็นฐานทัพสัมพันธมิตรในตอนนั้น ลูกสาวของสงวน 2 คน รำไพกับไขศรี ก็ไปเป็นคนแปลข่าวให้สถานีวิทยุจีนภาคภาษาไทย
มาครั้งนี้ต้องเอาเครื่องรับส่งวิทยุมาด้วย 2 เครื่อง แต่มีทหารจีนที่เป็นคนไทยมาด้วยเกือบสิบคน เพื่อเป็นโอเปอเรเตอร์ประจำเครื่องและเป็นผู้คุ้มกัน
"ผมนั่งเครื่องบินจากจุงกิงมาลงที่คุนหมิง เขาส่งผมไปฝึกการลอบทำลาย 2 เดือน ฝึกกับทหารจีน ที่นั่นก็ไปเจอเด็กไทยหลายคน แล้วเขาก็ให้เดินทางกลับมาด้วย เป็นพวกจีนฮ่อเชียงราย ทำงานดีพวกนี้ซื่อตรง" เล่าว่าเดินทางรอนแรมมาอย่างระหกระเหิน จากคุนหมิงกว่าจะพ้นเขตแดนจีนต้องผ่านค่ายทหารหลายค่าย อาศัยรถบรรทุกถ่านหิน พร้อมกับเดินเท้า จนมาถึงหลวงพระบาง แล้วต่อมาเวียงจันทน์
"ผมมีใบแต่งตั้งเป็นนายทหารยศร้อยตรีของเมืองจีน อีกคนยศร้อยโท เป็นคนสุราษฎร์ฯ สมัยนั้นเขาไปเรียนโรงเรียนหวงผู่ ที่มณฑลกวางตุ้ง" นายทหารจีนคนนี้ลุงกระจ่างเล่าว่า ต่อมาก็สนิทสนมกัน กลับไปทำมาค้าขายอยู่ที่สุราษฎร์ฯ จนเป็นคหบดี ชื่อประกอบ วัชรศิลป์ พ่อของอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ ผู้บริหารคนสำคัญของซีพีในปัจจุบัน
"พี่ชายผมไปเป็นเอกอัครราชทูตที่เมืองจีนก็อาศัยคุณประกอบเหมือนกัน เพราะต้องแข่งกับพวกกระทรวงต่างประเทศ"
"มาถึงเวียงจันทร์ผมก็นัดกับทางกรุงเทพฯ นัดคุณปกรณ์ อังศุสิง เป็นผู้ว่าฯ หนองคาย ก็ไปหาท่านบอกว่า เครื่องรับส่งวิทยุมาอยู่ที่เวียงจันทร์แล้วจะเอายังไง ท่านถามจะเอายังไง ผมบอกอย่างนี้ดีไหม ท่านบอกทางกรุงเทพฯ ให้ทหารเขามารับ แล้วผมจะให้โอเปอเรเตอร์แต่งตัวเป็นทหารหมด เดินทางไปกับทหาร"
วิทยุเครื่องหนึ่งเอาให้เตียง ศิริขันธ์ ขุนพลเสรีไทยภาคอีสานมารับไปที่สกลนคร อีกเครื่องเอาเข้ากรุงเทพฯ ไปให้ท่านปรีดี "ต่อมาพวกต่างประเทศอเมริกาก็ติดต่อกันได้ เครื่องของเขาไวกว่าของเรา ของเราต้องติดต่อไปที่จุงกิงแล้วจุงกิงต่อไปที่แคนดี้ ศรีลังกา" ภายหลังเมื่อติดต่อกันได้เสรีไทยจากต่างประเทศจึงโดดร่มลงมาพร้อมกับเครื่องรับส่งวิทยุแรงสูง
"คนที่คุมวิทยุนี่ใครรู้ไหม คุณประยูร จรรยาวงษ์ แกมาเช่าบ้านตรงที่เดี๋ยวนี้เป็นกองสลาก แกก็ซ่อนอยู่ที่นั่นแล้วไปรายงานกับท่านปรีดีง่าย เพราะแกเป็นคอลัมนิสต์ ไปไหนมาไหนคนไม่สงสัย แกทำงานใหญ่แต่แกเป็นคนเก็บตัว"
ส่วนเทปที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ให้ไว้กับจำกัด ลุงกระจ่างบอกว่าต้องเอาไปเผาทิ้ง เพราะหมดเวลาไปแล้ว "ท่านบอกในนั้นให้ท่านปรีดีส่งคนไปรับฝรั่งที่พังงา กลางวันให้เอาผ้าแดงมาขึงไว้ 2 ชั่วโมงแล้วเก็บ กลางคืนเอากางเกงแดงมาสอดแสงไฟไว้ 2 ชั่วโมงแล้วเก็บ เขาจะส่งคนของเขามาจากศรีลังกา ผมเอามาเผาทิ้งเพราะถ้าญี่ปุ่นจับได้ไม่ต้องถามเลย"
หลังเดินทางกลับจากจีน ระหว่างสงครามนั้นลุงกระจ่างก็ต้องหลบซ่อนตัวเพราะถูกประกาศเป็นชนชาติศัตรู "ก็อยู่ไม่เป็นที่ ผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้คุมงานช่างการทาง เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นนายบรรจง ศรีเจริญ มีบัตรมีอะไร เอารูปถ่ายไปชุบน้ำให้มันลางๆ เอาเตารีดมารีดแล้วติดบัตรประจำตัว แล้วไปเป็นนายช่างทำถนนหนทาง ลูกน้องก็เฮฮากัน นายช่างมาแล้ว เดี๋ยวก็ไปกินเหล้าอุกัน"
"พกปืนกระบอกหนึ่ง มีลูกน้องถือเครื่องมือรังวัด ขี่ม้าสำรวจพื้นที่จะทำสนามบินลับ" เล่าพร้อมกับถามหัวเราะๆ ว่า คุณมาขี่แข่งกับผมไหม สนามบินลับแห่งหนึ่งที่ลุงกระจ่างบอกว่ายังอยากหาโอกาสไปดูคือที่ขอนแก่น เพราะอยากจะไปขุดเครื่องบินที่ฝังไว้ "พี่ชายผมเอาเครื่องบินมาฝังไว้ลำหนึ่ง เครื่องบินดาโกต้ามาจากอินเดีย พาฝรั่งมาด้วย จะไปพบท่านปรีดี มาลงแล้วเครื่องบินออกนอกรันเวย์ ก็ระดมพลมาขุดจนครื่องบินยัดลงไปเลย ตัดต้นไม้มาปักๆ ผมรู้แต่สนามบิน แต่จุดที่ฝังไว้ตรงไหนไม่รู้"
"พี่ผมกลับมากับฝรั่ง หลวงสังวรณ์ไปรับ เอาฝรั่งใส่ชุดทหารเรือนั่งอยู่ข้างใน ให้ทหารล้อม"
กบฎวังหลวง
ร่อนเร่ไปสิงคโปร์
หลังสงครามโลกนั่นเอง ที่ลุงกระจ่างได้เป็นส.ส. แต่ไพล่ไปเป็นส.ส.ขอนแก่น "ผมนี่สารพัดพิษเลย" (หัวเราะ)
"ก็เสรีไทยพวกเดียวกันทั้งนั้น ผมเสียเงินแค่ 7 พันเอง ได้เลือกตั้งเป็นผู้แทน"
ตอนนั้นสังกัดพรรคสหชีพ ซึ่งดร.เดือน บุนนาค เป็นหัวหน้าพรรค "บ้านผมเป็นที่ทำการพรรคการเมือง ที่ร้านสงครามพาณิชย์ ที่เดี๋ยวนี้เป็นสำนักงานก.พ. ผมเช่าจากทรัพย์สินฯ เดือนละ 120 บาท" ตรงนั้นเดิมเป็นร้านของจอมพลป. เมื่อจอมพลป.เป็นอาชญากรสงครามก็ไปเอาที่มาเช่าแทน "สมัยนั้นรัฐมนตรี 7-8 คนก็มาบ้านผม ผมเป็นกรรมการใหญ่ของพรรค เขาตั้งให้ถูกกับงาน เขาตั้งให้เป็นปฏิคม (หัวเราะ) เราเป็นเจ้าของบ้านก็รับแขกสิ"
ตอนเกิดรัฐประหาร 2490 สภาไม่ได้ยุบ ท่านปรีดีหนีไป แต่ลุงกระจ่างยังอยู่ เพียงแต่พรรคสหชีพยุบ ช่วงนั้นเองจึงไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ตามคำแนะนำของพี่ชาย
แต่เมื่อเกิดกบฎวังหลวง และพ่ายแพ้ ลุงกระจ่างก็อยู่ไม่ได้เพราะคราวนี้ร่วมวางแผนโดยตรง
"กบฎวังหลวงผมเป็นคนกำหนดโค้ด Bangkok-Today เป็นรหัส ถามบางกอก ต้องตอบทูเดย์"
"ผมเป็นคนไปรับอาวุธมาจากทะเล ขนมาจากฮ่องกงมาจอดกลางทะเล พี่ชายผมตอนนั้นอยู่ฮ่องกงโทรศัพท์มาถึงผมให้ไปรับ ผมไปรับอาวุธแล้วขนมาที่บ้านหลวงสังวรณ์ ท่านก็เอาทหารเรือนั่งขนอาวุธไปลงเรือที่แห่งหนึ่งแล้วเอามาขึ้นที่ธรรมศาสตร์"
สาเหตุที่ยึดวังหลวงเพราะสมัยนั้นเป็นที่ทำการของกระทรวงการคลัง "ผมบอกให้เขาเตรียมเครื่องมือไปทุบเซฟ นายตั้ว ลพานุกรม บอกว่าไม่ต้อง ในนั้นมีกุญแจไข เอาเข้าจริงเขาไม่ให้ ก็ไม่ได้เงินมา....เงินเป็นอาวุธอย่างหนึ่งคุณต้องรู้นะ ถ้ากบฎวังหลวงมีเงินไม่เป็นอย่างนี้หรอก จอมพลป. เขาเอาเงินซื้อ คนหนึ่ง 5 ล้าน คนหนึ่ง 10 ล้าน ไม่อยากเล่าเรื่องภายในพวกเราเอง กระทบกระเทือนจิตใจลูกหลานเขา ให้รู้แค่ว่าเงินมันเป็นอาวุธ"
ลุงกระจ่างบอกแต่ว่า มีการเปลี่ยนใจถอนทหารกลับกันส่วนหนึ่ง "ผมมีอะไร ก็มีปืนกระบอกเดียว"
"ผมต้องหนีเขาไปอยู่ป่าพักหนึ่ง เขาตามจับผม ไปค้นที่แปดริ้ว แต่ผมไปอยู่ป่าที่สงขลาแล้วหนีไปสิงคโปร์ กงสุลอังกฤษเขาช่วยผม กัปตันเดนนิสแกมีเมียคนไทยชอบพอกัน แกเป็นคนรับรองว่าผมเป็นกบฎลี้ภัยการเมือง"
อยู่สิงคโปร์ถึง 9 ปีครึ่ง "ทำโน่นทำนี่เยอะ ค้าขาย เอาเรือขนสินค้าไปขายตามหมู่เกาะของอินโดนีเซีย มันมีเรือ จำได้ไหมต่อมามีกบฎแมนฮัตตัน ทหารเรือแมนฮัตตันก็มาหาผม ผมมีเถ้าแก่เรือเป็นคนนราธิวาส มีเรือ 2 ลำ เขาหาคนไม่ได้ผมก็เอากบฎแมนฮัตตันไปเป็นนายเรือ"
ลุงกระจ่างเลยกลายเป็นหัวเรือใหญ่คอยต้อนรับผู้ลี้ภัยอยู่ที่สิงคโปร์ทั้งกบฎวังหลวง กบฎแมนฮัตตัน "เยอะนะ ตายไปแล้วก็มี ที่ยังอยู่ก็คุณอำนวย สุวรรณกิจบริหาร เดี๋ยวนี้เป็นศาสตราจารย์อยู่เกษมบัณฑิต เป็นกบฎวังหลวงสายธรรมศาสตร์"
อยู่มา 9 ปีครึ่งจนไม่รู้สึกว่าเป็นกบฎ เพราะเล่าว่าสถานกงสุลไทยที่นั่นก็เข้าออกจนเหมือนบ้าน "ญาติผมไปเป็นทูตที่นั่น ไปถึงที่นั่นบอกกบฎหรือใครก็คนไทยพี่น้องกันทั้งนั้น"
วันหนึ่งจนเจอรองนายกฯ คนหนึ่ง ในรัฐบาลจอมพลป. บอกว่ากลับมาได้แล้วให้กลับเถอะ "คดีนี้ไม่มีพยานจะไปฟ้องที่ไหนวะ ไปเลย ผมก็มาซื้อตั๋ว พอเครื่องบินมาถึงกัวลาลัมเปอร์เขาเอาหนังสือพิมพ์มาแจก อ้าว จอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจนี่หว่า"
เครื่องมาลงที่ดอนเมือง สันติบาลมารับตัวไปไว้ 3 วันก็ให้ประกัน หลังจากนั้นก็ได้กลับบ้าน
แต่สมัยพี่ชายคือสงวน ตุลารักษ์ กลับเมืองไทยไม่ได้โชคดีอย่างนั้น เพราะมาสมัยที่สฤษดิ์เผด็จอำนาจ โดนขังอยู่ลาดยาว 5 ปีในข้อหาคอมมิวนิสต์ "รุ่นหลังเข้ามาเรียกปู่ทั้งนั้น ผมกับแกนิสัยเหมือนกัน มีอะไรก็แจก ตัวเองกินนิดหน่อย"
เลือกตั้ง 22 ครั้ง
ย้อนเล่าให้ฟังว่า ได้พบท่านปรีดีตั้งแต่อายุ 17 "พี่สงวนเป็นคนพาไป ผมเป็นคนขับรถ ผมมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ พี่สงวนซื้อรถให้คันหนึ่ง ผมก็พาไปนั่งคุยกับท่านปรีดี ได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อย ท่านคงถามว่าไอ้นี่ไว้ใจได้ไหม ผมก็สนองงานท่านไม่มีผิดพลาด มอบให้ทำอะไรก็ทำด้วยความซื่อสัตย์ ควักเงินเอง จะไปบอกผมขอเงินสักพันไม่มี ร้อยหนึ่งก็ไม่ได้ยินจากผม"
"ตลอดชีวิตผมมีแต่ขายของเก่า บางทีก็ทำมาค้าขาย ขนดาคนจีนจะให้เงินยังไม่รับ พี่ชายให้ผมไปจับอาชญากรสงคราม พวกคนจีนปักษ์ใต้ที่ค้าขายกับญี่ปุ่นจะให้เงินผมก็ไม่เอา เพราะผมไม่ได้มาทำงานเพื่อจะหาเงิน ยังไงผมก็อยู่ได้เพราะตระกูลพ่อผมท่านมีทรัพย์สมบัติ ที่ดิน 3 พันไร่คุณคิดว่าเล็กน้อยเหรอ" (เล่าให้ฟังอีกตอนหนึ่งว่าสงวน ตุลารักษ์ เป็นประธานเรื่องสะสางคดีอาชญากรสงคราม จะจับใครก็ให้ลุงกระจ่างเอาหมายไปกับสารวัตรทหารของหลวงสังวรณ์)
ทั้งการเมืองการกุศล ลุงกระจ่างบอกว่าต้องขายตึกแถวที่หาดใหญ่ไป 54 ห้อง "สมัยก่อนเอาเงินโรงเลื่อยไปซื้อที่ดินหาดใหญ่ สมัยนั้นที่ดินถูก ตอนหลังสงครามคนยากจนมีแต่จะขาย ผมรวยเพราะขายไม้ โรงเลื่อยมันมีแค่ 2 โรงเท่านั้น ใครจะสร้างบ้านต้องเอาเงินมาก่อน"
"ตลอดชีวิตผมสมัครรับเลือกตั้ง เชื่อไหม 22 ครั้ง ทั้งระดับชาวบ้าน ระดับประเทศ สมัครสมาชิกสภาจังหวัด 5 ครั้ง เทศบาล 3 ครั้ง ผู้แทน 3 ครั้ง หอการค้า 5 ครั้ง"
สมัครส.จ.ได้ทั้ง 5 ครั้ง แต่สมัครส.ส.ที่ยะลาแพ้ทั้ง 2 ครั้ง เพราะไม่ใช่คนมุสลิม โดยครั้งหลังก็แพ้วันนอร์ฯ นี่เอง แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันตรงข้ามกลับรักนับถือสนิทสนมกัน เพราะเป็นคนบ้านเดียวกันอยู่ที่อ.รามัน
"อาจารย์วันนอร์กับผมก็เหมือนคนมุ้งเดียวกัน คนบ้านเดียวกัน เงินทองก็เอากันได้ เอาเงินมาหมื่นซิ ไม่มีเงินใช้ พูดอย่างนี้ได้มันต้องคนมุ้งเดียวกัน"
แต่นั่งบ่นให้ฟังอย่างไม่เข้าใจวันนอร์ว่า เรื่องท่อก๊าซทำไมต้องไปตกหลุมนักการเมืองอีกฝ่ายที่ไปซื้อที่ดักรอไว้แถวสงขลา ทั้งที่เคยไปดูที่ดินด้วยกันที่ปัตตานี "มันมีที่อยู่แล้ว อาจารย์วันนอร์ก็รู้ แกกับผมก็ไปดูกันมา แล้วก็สัญญานี่ แหม...เมืองไทยมันแย่จริงๆ" สรุปความคิดเห็นลุงก็คือเสียเปรียบมาเลเซียทุกประตู ท่อก๊าซน่ะควรสร้าง แต่ไม่น่าสร้างที่สงขลา และไม่น่าจะทำสัญญาเสียเปรียบแบบนี้
กระนั้นลุงกระจ่างก็ชื่นชมนายกฯ ทักษิณถึงขนาดที่บอกว่า จะเป็นผู้สืบทอดอุดมการณ์ 6 ข้อของคณะราษฎร
"คณะราษฎรเขามีอะไรล่ะ เขามี 6 ข้อ หนึ่ง จะรักษาเอกราชทางการเมืองและเศรษฐกิจ สอง จะรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ สาม จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของประชาชนด้วยเศรษฐกิจ สี่ จะให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาค ห้า จะให้ราษฎรมีเสรีภาพและอิสระ หก จะให้การศึกษาแก่ราษฎรอย่างเต็มที่" ลุงว่าแล้วก็ควักกระดาษที่เขียนหลักการ 6 ข้อของคณะราษฎรมาให้ดู ว่าที่ลุงพูดน่ะตรงตามตัวอักษรทุกคำไหม
"ตอนนี้ทักษิณก็ทำเหมือนกันเลย ทำดีกว่าด้วย เพราะฉะนั้นผมต้องขอขอบพระคุณอย่างสูง ในฐานะที่ผมเป็นผู้ก่อการคนหนึ่ง"
ไม่ใช่กลายเป็นท่านผู้นำแบบจอมพลป.นะ? "อย่าไปคิดอย่างนั้น บางอันมันจำเป็นที่ต้องใช้อำนาจ บางอันก็ต้องผ่อนปรน"
ก็ดูอย่างม็อบท่อก๊าซ "ทีแรกแกแข็งเดี๋ยวนี้อ่อนแล้ว แกกลับตัวได้แล้ว แกพูดแล้วว่าใครมีความเห็นอย่างไรมาพูดกัน"
ที่มา: ไทยโพสต์ เรื่องปก ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2546
หมายเหตุ
.........อยู่จนได้ภรรยาที่ปัตตานี "ปี 2484 แต่งงาน 2 เดือน ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านปรีดีท่านเรียกใช้ ต้องให้เมียผมดูแล คนสมัยนั้นดีนะคุณ ภรรยาผมอายุ 18 เท่านั้นแต่งงานมา 2 เดือนไปคุมงานโรงเลื่อยในป่า รถยนต์เต็มป่า พวกเลื่อยไม้ พวกขายไม้ เอาเงินมาให้เถ้าแก่ครบ เป็นสมัยนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง".........
ภรรยาของร.ท.กระจ่าง ก็คือนางสวนเพชร โกวิทยา บุตรีของนายพิชัย (ซำเอี้ยง) กับนางม้วน โกวิทยา ซึ่งนับเป็นทายาทฯ สายนางเม่งจู โกวิทยา รุ่นที่ 5 (ปู่ของนางสวนเพ็ชร คือขุนพิพิพิธภาษี)
นายกระจ่างกับนางสวนเพชร ตุลารักษ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 4 คน ดังนี้ครับ
1. นายอรรถพร ตุลารักษ์
2. นายอรรถพล ตุลารักษ์
3. นายอรรถศาสตร์ ตุลารักษ์
4. นางศุภลักษณ์ ลาภชุ่มศรี
โฆษณา