4 มี.ค. 2022 เวลา 12:30 • สัตว์เลี้ยง
นี่คือโลกลี้ลับของเหล่าภูตแมว
ความเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นของคู่กันกับมนุษย์ เนื่องจากโลกหลังความตายนั้นเป็นโลกแห่งความลี้ลับ เราจึงสร้างความเชื่อต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งความไม่รู้นั้น แต่ความเชื่อเหล่านั้นก็ไม่ได้จำกัดแค่ในมนุษย์ด้วยกันเอง เพราะแมวเองก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าและตำนานลี้ลับด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะความเชื่อเรื่อง “ภูตแมว” ของประเทศญี่ปุ่นหรือที่เรียกกันว่า Neko Yokai ที่มีภูตแมวมากมาย และแต่ละตัวล้วนมีเรื่องเล่าตำนานเป็นของตัวเอง
สำหรับเดือนตุลาคมที่ทั่วโลกต่างเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลวันฮาโลวีนนี้ เราจะมาแนะนำภูตแมวของญี่ปุ่นแต่ละตนกันว่ามีหน้าตาอย่างไร และต้องใช้ชีวิตแบบแมวๆ มาอย่างไรจึงกลายเป็นภูตแบบนี้ได้
เอาล่ะ...คุณพร้อมจะออกท่องเที่ยวไปในโลกลี้ลับกับเหล่าภูตแมวแล้วหรือยัง
*ผลงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของน้องๆ ฝึกงาน howl intern
เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือคนหรือแมวปลอมตัวมา
ในอดีตกาลเมื่อโลกแห่งวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้เริ่มต้น มีผู้คนมากมายกล่าวว่าพบเห็นแมวประหลาดที่ยืนสองขาบ้าง ถือโคมไฟเดินไปมาในที่ห่างไกลบ้าง บ้างก็ว่าพวกนี้เป็นปิศาจที่ชอบทำร้ายมนุษย์และแปลงกายเป็นคนเพื่อหลอกลวงต่างๆ นี่คือตำนานของภูตแมวมีชื่อว่า “บาเกะเนโกะ” (Bakeneko) ที่หากแปลตรงตัวจากภาษาญี่ปุ่นแล้วจะแปลว่า “แมวที่เปลี่ยนร่างได้” หรือจะเรียกว่าเป็น “แมวปิศาจ” ก็ได้
สาเหตุที่ภูตบาเกะเนโกะได้รับชื่อนี้มานั้น มาจากการที่มันสามารถเปลี่ยนร่างหรือปลอมตัวได้นั่นเอง จริงๆ แล้วในตอนแรกบาเกะเนโกะก็คือแมวปกติทั่วไป แต่เมื่อสะสมพลังจนมีอายุมากขึ้น ก็จะสามารถกลายเป็นบาเกะเนโกะได้ อายุขัยของแมวที่จะกลายเป็นบาเกะเนโกะอยู่ที่ประมาณ 12-13 ปี แต่ก็อาจต่างกันตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น
แต่การที่แมวกลายเป็นบาเกะเนโกะดูจะไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีเท่าไร เนื่องจากการเปลี่ยนร่างหรือปลอมตัวที่ว่านั้น บางครั้งเป็นการแปลงร่างเพื่อหาเหยื่อ ซึ่งสามารถเป็นได้ตั้งแต่สัตว์ตัวเล็กๆ ไปจนถึงมนุษย์เลยทีเดียว บ้างก็เล่าว่าบาเกะเนโกะนั้นสามารถกินเจ้าของของตนเข้าไปเพื่อสวมรอยเป็นมนุษย์คนนั้นแทนรวมถึงเรียนรู้การพูดภาษาคนเพื่อออกหาเหยื่อคนต่อไปได้ด้วย แต่ถึงจะกลายร่างเป็นคนได้ ทว่าบาเกะเนโกะก็ยังมีจุดสังเกตได้อยู่ดี เช่น การสวมผ้าไว้บนหัว หรือขณะที่อยู่ในร่างแมวก็จะเป็นแมวที่หางยาวเป็นพิเศษ บางตัวอาจเห็นลูกไฟอยู่ที่ปลายหางได้ หรือเป็นแมวที่สามารถเดินสองขาหลังแบบคนได้ เป็นต้น
จากความเชื่อที่ว่าบาเกะเนโกะนั้นมักจะมีหางที่ยาว จึงนำมาสู่ความนิยมของชาวญี่ปุ่นที่จะทำการตัดหางแมวในอดีตหรือเลือกเลี้ยงแมวที่มีหางสั้นมากกว่า และนำมาซึ่งการเพาะพันธุ์แมวที่มีลักษณะหางสั้นที่เรามักคุ้นกันในนาม Japanese Bobtail นั่นเอง
หลักฐานการมีอยู่ของบาเกะเนโกะนั้นมีให้เห็นตามภาพวาดหรือในงานศิลปะต่างๆ รวมไปถึงงานศิลปะที่เกี่ยวกับแมวมากมายของญี่ปุ่น เชื่อกันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นิยมเลี้ยงแมวมานาน ความผูกพันต่างๆ จึงก่อให้เกิดความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับแมวขึ้นมา รวมไปถึงตำนานต่างๆ ก็มีตำนานหลายเรื่องก็เล่าถึงซามูไรถูกทำร้ายโดยบาเกะเนโกะที่เคยเป็นแมวของศัตรู ซึ่งก็ไม่มีใครทราบได้อย่างแท้จริงว่านั่นคือฝีมือแมวหรือคนกันแน่ หรือจะเป็นเพียงเรื่องเล่าเพื่อสร้างความน่าเกรงขามของซามูไรผู้ที่เอาชนะปิศาจได้จึงอาจต้องฟังหูไว้หูกันซักหน่อย
อีกเรื่องหนึ่งที่เรารู้สึกว่าสนใจคือในสมัยก่อนแมวอาจจะไม่มีอายุยืนยาวนักเนื่องจากยังไม่มีการพัฒนาความรู้ด้านสัตวแพทย์ขึ้นมา ทำให้แมวอายุ 12-13 ปี ก็ถูกมองว่ามีอายุนานพอเป็นบาเกะเนโกะได้แล้ว แต่ถ้าในสมัยนี้การที่แมวอายุมากกว่า 12 ปี เป็นเรื่องที่พบได้โดยทั่วไป เรียกได้ว่าถ้าตำนานเป็นจริงตอนนี้คงมีแมวเป็นบาเกะเนโกะกันจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
นี่คือภูตแมวผู้ปรากฏตัวพร้อมเปลวไฟกลางสายฝน
แม้ว่าแมวกับกงล้อไฟดูจะเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่ก็มีภูตแมวที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดนี้ โดยภูตตนนี้มีชื่อว่า “คาชา” (Kasha) ซึ่งจริงๆ แล้วคาชาเองเป็นบาเกะเนโกะประเภทหนึ่ง มีที่มาของการเป็นภูตเหมือนกันคือครั้งหนึ่งเคยเป็นแมว เมื่ออายุมากขึ้น มีการบำเพ็ญตนสะสมพลังมาเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นภูต แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อยเลย
เริ่มจากรูปร่างลักษณะภายนอกของคาชา คาชาจะไม่ได้ปลอมตัวเป็นมนุษย์ ยังคงมีรูปร่างหน้าตาเป็นแมวแต่เดินสองขาตลอดเวลาและมีขนาดตัวที่ใหญ่มากกว่าแมวปกติมากหรือบางทีก็อาจจะเท่ากับมนุษย์เลยทีเดียว และเอกลักษณ์ของภูตคาชานั้นก็อยู่ในชื่อของเจ้าตัวเอง โดยคำว่าคาชานั้นแปลว่ากงล้อไฟ เพราะเชื่อว่าตามตัวของคาชาจะมีเปลวไฟหรือวงแหวนไฟเผาไหม้อยู่นั่นเอง
แต่ไม่ได้มีเพียงลักษณะภายนอกเท่านั้นที่ต่างจากบาเกะเนโกะ ความสามารถและบทบาทของคาชานั้นมีความพิเศษกว่าบาเกะเนโกะมาก (รวมถึงน่ากลัวกว่าด้วย) โดยความสามารถดังกล่าวนั้นก็คือ “การขโมยศพมนุษย์” คาชาจะปรากฏกายมาขโมยมากพิเศษในช่วงที่มีฝนหรือพายุเข้าเป็นหลัก ถ้าถามว่าคาชาขโมยศพมนุษย์ไปทำอะไร บ้างก็ว่าคาชานั้นได้รับคำสั่งมาจากนรกให้นำพาศพที่ครั้งหนึ่งเคยทำบาปไปส่ง บ้างก็ว่าขโมยไปกิน หรือบางคนก็เชื่อว่าคาชาขโมยศพมาเพื่อใช้เป็นหุ่นเชิดของตนเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อไหน ภาพแมวยักษ์อุ้มศพกระโดดหนีในยามค่ำคืนกลางสายฝนก็ดูน่ากลัวไม่น้อยเลย
เพื่อไม่ให้ศพของคนที่เรารักหายไป หลายท้องถิ่นในประเทศญี่ปุ่นวิธีในการป้องกันคาชาต่างๆ กัน เช่น การวางใบมีดโกนป้องกันไว้ที่ฝาโลง การจัดงานศพหลอกที่มีเพียงหินบรรจุภายในโลงขึ้น หรือเพิ่มบทสวดสำหรับนักบวชที่ประกอบพิธีกรรม
ที่น่าสนใจคือความเชื่อเรื่องการป้องกันไม่ให้ภูตแมวคาชาเข้าใกล้ศพนั้น บังเอิญคล้ายคลึงกับความเชื่อของชาวตะวันตกบางที่ ชาวจีน รวมถึงชาวไทยเรานั่นคือการระวังไม่ให้แมวเข้าใกล้งานศพ หรือไม่ให้แมวกระโดดข้ามโลงศพ โดยเชื่อว่าจะเป็นการเพิ่มความเฮี้ยน การฟื้นคืนชีพอย่างไม่ปกติ หรือการจากไปอย่างไม่สงบของผู้ล่วงลับ
ไม่อาจทราบได้ว่าการที่ความเชื่อเกี่ยวกับแมวและศพในประเทศต่างๆ ทั่วโลกนี้มีที่มาจากการพบเห็นตามนั้นจริงหรือไม่ แต่หากมองตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องราวของภูตแมวคาชาอาจเกิดจากแมวที่ปกติก็มีสัญชาตญาณนักล่าและกินเนื้อเป็นอาหารอาจตามกลิ่นของศพมาและมีการกินเนื้อมนุษย์ได้ จนมีมนุษย์ไปพบเห็นเข้าแล้วกลายเป็นเรื่องเล่าสืบต่อมาจนเป็นภูตแมวคาชา หรืออาจเป็นกุศโลบายของคนในสมัยก่อนให้คนในงานศพระวังแมวเข้ามากระโดดข้ามสิ่งของหรือโลงจนหล่นเสียหายก็เป็นได้เหมือนกัน
ในยามค่ำคืน...เหล่าแมวสองหางกำลังเริงระบำ
เนโกะมาตะ (Nekomata) เป็นภูตแมวสองหางที่มักถูกพูดถึงบ่อยในการ์ตูนและแอนิเมชั่นญี่ปุ่น จนเชื่อว่าบางท่านอาจเคยคุ้นหูคุ้นตากันมาบ้าง ถ้าดูจากลักษณะภายนอกแล้ว เนโกะมาตะจะมีความคล้ายกับบาเกะเนโกะในร่างแมวมาก ๆ จึงอาจต้องมองที่หางให้ดี ๆ ว่านี่คือบาเกะเนโกะหรือเนโกะมาตะกันแน่
ที่มาของเนโกะมาตะบางความเชื่อจะคล้ายกับภูตแมวตนอื่น ๆ คือการเป็นแมวที่มีอายุมานาน แต่ก็มีความเชื่อว่าแมวที่จะเป็นเนโกะมาตะนั้นจริงๆ คือแมวที่หางยาวที่สุดในพื้นที่นั้น แล้ววันหนึ่งหางเกิดแยกตัวออกจากกันกลายเป็น 2 หาง และมีลูกไฟปรากฏ หรือไม่ก็เชื่อว่าเป็นแมวที่ความแข็งแกร่งที่สุดจึงจะได้เป็นเนโกะมาตะ และก็มีบางแหล่งกล่าวว่าสัตว์ตระกูลแมวทั้งหมดก็เป็นเนโกะมาตะได้แม้แต่สัตว์ป่าอย่างเสือหรือสิงโตก็ตาม
เนโกะมาตะถือเป็นภูตแมวที่ฉลาดมาก แถมบางตนก็มีเวทมนตร์และสร้างลูกไฟขนาดใหญ่ได้อีกด้วย ภูตประเภทนี้ส่วนมากจะเดินสองขาหลังและสื่อสารด้วยภาษามนุษย์ ถิ่นที่อยู่อาศัยมักอยู่ในเมือง แต่ก็มีบ้างที่อยากหลบไปอยู่ตามหุบเขาเพื่อสร้างอาณาเขตของตนเอง มองเผินๆ เนโกะมาตะเหมือนจะไม่ใช่ภูตที่เลวร้ายอะไร แถมบางตัวก็หน้าตาน่ารักน่าหยิก แต่จริงๆ แล้ว เนโกะมาตะถือว่าเป็นภูตที่ร้ายที่สุดเลยก็ว่าได้...
ความร้ายของเนโกะมาตะที่ว่านั้นคือเนโกะมาตะทุกตัวจะมุ่งร้ายต่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการล่ามนุษย์มากิน กักตัวมนุษย์ให้เป็นทาสรับใช้ (อ้าว ก็แมวปกตินี่นา) หรือทำร้ายมนุษย์จำนวนมากด้วยพลังที่ตนเองมี สาเหตุที่เนโกะมาตะตั้งใจทำร้ายมนุษย์นั้นเป็นเพราะความเคียดแค้นในครั้งที่ยังเป็นแมวแล้วถูกเลี้ยงอย่างไม่เอาใจใส่หรือถูกทำร้ายจึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดพลังวิเศษต่างๆ บางตนแม้ไม่ทำร้ายมนุษย์โดยตรงแต่ก็รวมตัวกันออกมาเล่นดนตรี ร้องเพลงเศร้าเพื่อพรรณนาถึงความทรมานที่เคยได้รับ
ข้อสันนิษฐานเรื่องเนโกะมาตะในยุคปัจจุบัน มีคนคาดการณ์ว่าจริง ๆ แล้วคือโรคพิษสุนัขบ้าที่พบได้ทั้งในแมวและสัตว์ป่า เมื่อถูกสัตว์ที่มีเชื้อทำร้ายเข้าและไม่ได้มีการป้องกันอย่างถูกต้อง มนุษย์เองก็ถึงกับความตายได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องราวของเนโกะมาตะก็สร้างข้อคิดให้กับผู้คนเช่นกันว่าเราควรใจดีและใส่ใจน้องแมวให้ดี ไม่ว่าเนโกะมาตะจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่แมวทุกตัวก็มีชีวิตและจิตใจ...
อย่าให้น้องแมวต้องถูกทำร้ายหรือจากไปด้วยความใจร้ายของมนุษย์เลย
ฟืนไฟในบ้านต้องให้ภูตแมวดูแล
สำหรับภูตแมวตนนี้ออกจะมีที่มาคลุมเครือไม่น้อย ภูตตนนี้มีชื่อว่า “โกโตคุ เนโกะ” (Gotoku Neko) ที่ปรากฏอยู่ในงานเขียน และภาพวาดโบราณของประเทศญี่ปุ่น แมวยืนสองขามีสองหางมีลูกไฟดูเหมือนจะเป็นเนโกะมาตะ แต่มีพร็อพเสริมมาเป็นขาตั้งหม้อหรือกาสามขาบนหัวคล้ายมงกุฎและปล้องไผ่สำหรับก่อไฟในเตาผิงพื้นบ้านญี่ปุ่น แล้วอะไรคือความแตกต่าง และอุปกรณ์เหล่านี้ใช้ทำอะไรกันแน่
มาวิเคราะห์กันถึงรากศัพท์ของชื่อสักหน่อย คำว่า “โกโตคุ” นั้นประกอบขึ้นมาจาก 2 คำคือ โก ที่แปลว่า 5 และ โตคุ ที่แปลว่าศีลธรรม แต่เมื่อนำมาประกอบกันจะเป็นชื่อของขาตั้งหม้อหรือกาที่อยู่บนเตาไฟ ซึ่งก็เป็นความหมายตรงตัวสำหรับสิ่งที่สวมอยู่บนหัวของภูตแมวตนนี้ โดยเชื่อว่าหน้าที่ของ โกโตคุเนโกะคือการจุดไฟในที่พักอาศัย หรือก่อไฟสร้างความอบอุ่นให้ตนเองและคนในบ้านนั่นเอง แต่บังเอิญว่าการสวมโกโตคุนี้ดันไปคล้ายกับปิศาจอีกตนหนึ่งที่มีชื่อว่า Ushi no Koku Mairi เลยมีคนบางกลุ่มมองว่าโกโตคุ เนโกะจะนำลางร้ายมาให้ได้เหมือนกัน
แต่เมื่อย้อนกลับมาพูดถึงความหมายคำว่าศีลธรรมทั้ง 5 ก็มีตำนานที่แตกต่างกันออกไปสำหรับความหมายนี้ด้วย โดยกวีท่านหนึ่งในศตวรรษที่ 18 ชื่อว่า Toriyama Sekien กล่าวถึงเรื่องเล่าโบราณที่ว่ามีขุนนางนาม Yukinaga ผู้ร่ายรำบทประพันธ์ศีลธรรมทั้ง 7 แต่กลับลืมไป 2 ข้อ และเมื่อเนโกะมาตะได้รับรู้การแสดงนี้ จึงได้นำมาใช้และเกิดเป็นโกโตคุ เนโกะขึ้น
โกโตคุ เนโกะ จัดได้ว่าเป็นภูตที่มีทั้งความเชื่อด้านดีที่คอยช่วยเหลือมนุษย์และความเชื่อที่ว่าจะนำลางร้ายมาให้ แต่ไม่ได้มีการเล่าปากต่อปากกันอย่างหนาหูเหมือนกับภูตแมวตนอื่น มีเพียงภาพวาดและชื่อปรากฏในผลงานของศิลปินบางท่านเท่านั้น แต่นั่นก็ถือเป็นการบันทึกชั้นเยี่ยมที่ทำให้เราได้ทราบวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นในอดีตให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ได้เช่นกัน
ส่วนที่มาของภูตตนนี้ บางทีอาจจะมาจากในสมัยโบราณที่บ้านในประเทศญี่ปุ่นทำจากไม้และมีเตาไฟภายในบ้าน เมื่อมีแมวนอนใกล้เตาไฟอาจจะทำให้ไฟลามมาติดที่หางได้ เมื่อไฟไหม้หางแมวก็ตกใจวิ่งไปรอบบ้านส่งผลทำให้ไฟไปติดกับส่วนอื่นๆ ของบ้านจนทำให้ไฟไหม้บ้านในที่สุด ดังนั้นในบางพื้นที่จึงมีเรื่องเล่าพื้นบ้านที่พูดถึงว่าห้ามให้แมวเข้าใกล้ไฟ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่แมวเข้าใกล้ไฟอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวน้องแมวเองและบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องคอยระวังให้ดี
เพราะเรื่องฟืนไฟไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถึงจะมีภูตแมวมาเกี่ยวหรือไม่ก็ตาม
ช่วยกวักเรียกโชคดีให้หน่อยนะ
มาถึงภูตแมวที่เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จัก นั่นก็คือ “มาเนกิเนโกะ” หรือ “แมวกวัก” นั่นเอง หลายท่านน่าจะทราบกันว่าแมวกวักคือสัญลักษณ์ของการนำมาซึ่งโชคลาภ แต่เรารู้หรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็นแมวกวักนั้นมีที่มาอย่างไร
มีการกล่าวขานกันว่า จริงๆ มาเนกิเนโกะเองก็เป็นบาเกะเนโกะที่ไม่คิดจะทำร้ายมนุษย์อีกทั้งยังช่วยเหลือมนุษย์อย่างมากอีกด้วย ดังตำนานของวัดโกโตคุจิที่เล่าว่าครั้งหนึ่งมีซามูไรท่านหนึ่งเดินทางผ่านมา เมื่อมองเข้ามาในวัดที่ทั้งเก่าและขาดการทำนุบำรุงก็ได้เห็นแมวตนหนึ่งกวักมือเรียก ทำให้เกิดแรงดลใจบางอย่างเรียกให้เข้าไป
ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนักและฟ้าก็ผ่าลงที่ถนนที่ห่างออกไปไม่ไกล ซามูไรผู้นั้นนึกขอบคุณแมวตัวนั้นในใจเพราะหากไม่ได้เข้ามาหลบในวัดแห่งนี้ จุดที่ตนเองจะต้องเดินผ่านซึ่งเป็นจุดที่มีฟ้าผ่าอาจทำให้เขาตายได้ ซามูไรท่านนั้นจึงได้ทำการบริจาคเงินซ่อมแซมทำนุบำรุงวัด และสร้างรูปปั้นแมวกวักขึ้นมา โดยวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว หากมีโอกาสสามารถไปดูรูปปั้นแมวกวักที่สถานที่แห่งนี้กันได้
แต่ก็มีอีกหนึ่งที่มาของมาเนกิเนโกะ คือเรื่องราวของหญิงนางหนึ่งนามว่าอุสุกุโมะ เธอเป็นผู้ที่รักและชอบแมวมาก เธอได้เลี้ยงแมวอยู่ตัวหนึ่งที่ก็รักและซื่อสัตย์ต่อเธอมากเช่นกัน วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังจะเข้าไปอาบน้ำ แมวตนนี้ได้เข้ามากัดชายเสื้อ พยายามข่วนและร้องเสียงดัง
เมื่อคนในบ้านได้ยินและเห็นดังนั้นจึงเข้าใจว่าแมวจะทำร้ายเธอจึงได้ใช้ดาบฟันแมวตัวนั้นจนตาย ทั้งที่จริง ๆ แล้วแมวตัวนั้นมาเตือนเธอเรื่องที่ว่ามีงูอยู่ในห้องน้ำที่เธอกำลังจะเข้าไป เมื่อรู้อย่างนั้นเธอจึงเสียใจมากและได้จ้างช่างแกะสลักที่มีชื่อที่สุดสร้างรูปสลักแมวของเธอขึ้นมา
อีกตำนานเล่าขานสุดท้ายของมาเนกิเนโกะ เรื่องนี้เป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งที่มีฐานะยากจนแต่ก็ได้เลี้ยงดูแมวอยู่ตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่ได้เงินมาก็จะซื้ออาหารมาเผื่อแมวตัวนี้เสมอ แต่นานวันเข้า แม้แต่อาหารสำหรับตัวเธอเองก็ยังมีไม่พอ จึงได้นำแมวตัวนี้ไปปล่อยและหวังจะมีคนที่ดีพร้อมกว่าเธอรับมันไปเลี้ยงได้ ด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ
คืนนั้นเธอฝันว่ามีแมวตัวหนึ่งมาบอกให้เธอลองปั้นดินเป็นรูปแมว แล้วมันจะนำลาภมาให้ เมื่อเธอลองทำตามนั้น มีคนที่ผ่านมาเห็นและขอซื้อมันไป เธอเริ่มปั้นแมวมากขึ้นและขายได้มากขึ้นจนสุดท้ายก็มีเงินพอจะไปรับแมวตัวเดิมกลับมาเลี้ยงได้
แมวกวักในปัจจุบันมีการสร้างสรรค์ออกมาอย่างหลากหลาย อาจมีความเชื่อเพิ่มเติมถึงสีของแมวที่อาจจะช่วยเสริมดวงต่างกัน หรือการยกแขนซ้ายจะเรียกลูกค้า แขนขวาเรียกเงินทอง การเพิ่มคำและเหรียญที่ดูเป็นมงคลลงไปในรูปปั้น บางตัวสามารถใส่ถ่านให้ขยับแขนได้ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย
การจะซื้อแมวกวักหรือไม่นั้นขึ้นกับความเชื่อส่วนบุคคล แต่ถ้าความเชื่อนั้นทำให้เกิดขวัญกำลังใจ ไม่ได้ทำให้เดือดร้อนอะไร การจะครอบครองเจ้าแมวกวักนี้ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแถมยังสามารถนำมาตกแต่งพื้นที่เพิ่มความน่ารักได้อีกด้วย
สะดุดล้มซะเจ้าพวกมนุษย์
ภูตแมวในญี่ปุ่นนั้นช่างมีหลากหลายแบบ ทั้งแบบน่ากลัว แบบก้ำกึ่ง หรือแบบดีก็มี แต่ภูตตนนี้ออกจะแตกต่างจากภูตตอนอื่นๆ ซักหน่อยเพราะเป็นภูตแมวแบบงงๆ ภูตแมวตนนี้คือ “สุเนโกะสุริ” (Sunekosuri) ที่มีการระบุพิกัดการพบเห็นอยู่ที่เขตชิสึกิ (Shitsuki) จังหวัดโอกายาม่า (Okayama)
สาเหตุที่กล่าวว่าเจ้าสุเนโกะสุริเป็นภูตแมวแบบงง ๆ นั้นเพราะว่าไม่ใช่ภูตประเภทที่จะมาก่อให้เกิดเรื่องดีหรือร้าย แต่จะมาทำให้คนล้มเล่น ๆ แล้วจากไป เชื่อกันว่าในค่ำคืนที่ฝนตกสุเนโกะซูริจะออกมาเดินตามมนุษย์ในความมืด คอยเดินคลอเคลียให้เกิดความรำคาญหรือเดินพันแข้งพันขาให้คนล้ม (อ้าว ก็แมวธรรมดานี่นา) จนเป็นที่มาของชื่อ โดย สุเนะ แปลว่าหน้าแข้ง ส่วน โกะซุริ แปลว่า ถูนั่นเอง
สุเนโกะสุริเป็นภูตขนาดเล็ก มองไกล ๆ บางคนก็ว่ามีความคล้ายลูกสุนัขมากกว่าแมว แต่ที่แน่ ๆ ภูตตนนี้ไม่ได้จะมาทำร้ายอะไรเรา แต่จะแวะเวียนมาเล่นซนด้วยเพียงเท่านั้น มากสุดก็คืออาจจะทำให้ล้มและฟกช้ำกันได้บ้าง บางเขตของจังหวัดโอกายาม่าจึงเรียกภูตแมวที่มาชนให้ล้มว่า “สุเนะโคโรกาชิ” (Sunekorogashi) ที่แปลว่า ชนขาให้ล้มลง แทน
ภูตตนนี้มีการบันทึกชื่ออย่างเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1935 ในหนังสือ Genko Zenkoku Yokai Jiten จึงไม่ทราบว่าการเล่าถึงสุเนะโกะสุรินี่มามานานเท่าไร เริ่มต้นและมีที่มายังไง หรืออาจจะเป็นพฤติกรรมการถูไถของน้องแมวที่พบได้จริง ๆ เวลาแสดงออกถึงความรัก เรียกร้องให้สนใจ แต่ที่แน่ ๆ ในตอนนี้เหล่าเจ้าของแมวอาจจะคิดว่าการมีแมวมาอ้อน มาคลอเคลีย มาเดินพันแข้งพันขานั้นดีกว่าถูกเมินเป็นไหน ๆ
แต่หากใครมีโอกาสได้ไปโอกายาม่าแล้วได้พบเห็นก็มาเล่าสู่กันฟังได้ หรือหากใครไปแล้วได้เจอจริงๆ ก็ขอให้ไม่ถึงกับล้มเลือดตกยางออกเลย แต่ถึงกระนั้นคนที่เลี้ยงแมวอยู่แล้วก็คงจะชินกับการถูกแมวพันแข้งพันขาอยู่แล้วและไม่มีทางล้มอย่างแน่นอน
หึ....ไม่ได้แอ้มเราหรอกนะ สุเนโกะสุริ
อ่านเรื่องอื่นๆ ได้ที่ : www.readhowl.com
ช่องทางติดตามอื่นๆ
โฆษณา