4 มี.ค. 2022 เวลา 11:15 • ไลฟ์สไตล์
สัปดาห์ที่ 13 : เธอคือใคร ฉันคือใคร
13/52 (52 สัปดาห์แห่งความต่อเนื่อง)
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ฉันทำงานทุกวัน แถมอยู่เวรเสาร์อาทิตย์อีกด้วย แทบจะไม่มีเวลาทำอะไร แต่ก็ยังออกกำลังกายที่ฟิตเนส และก็พยายามทำ IF ทุกๆวัน และก็ไปกินโอมากาเสะเป็นอาหารญี่ปุ่นซูชิที่จัดเป็นคำๆ เป็นร้านที่เพิ่งเปิดในจังหวัดฉัน ต้องบอกเลยว่าอร่อยมากจริงๆ ส่วนน้ำหนักก็ลดลงอย่างช้าๆ ประมาณ 0.5 กก. แต่ตอนขึ้น น้ำหนักไม่เคยปราณีปราศัยฉันเลย ขึ้นทีละ 5 ลงทีละ 0.5 กูจะบ้าตาย
ข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นรัสเซียกับยูเครนทำสงครามกัน มีทั้งคนเชียร์ฝ่ายปูติน และก็มีคนเชียร์ฝ่ายยูเครน จริงๆฉันไม่อยากเชียร์ฝ่ายไหนเลย ฉันไม่ได้โปรสหรัฐอเมริกา และก็ไม่ได้โปรรัสเซีย เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนก็ยึดถือผลประโยชน์ของชาติตัวเองเป็นหลัก แต่ถ้าฉันต้องเลือกยืนหยัด ฉันขอยืนอยู่ฝ่ายยูเครน ฉันเชื่อว่าคนเราไม่ว่าอยู่ในประเทศใดก็ควรมีอธิปไตยของตนเอง มีสิทธิในการเลือกนโยบายของตน และสร้างอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตน แม้ยูเครนอาจจะมีปัญหาภายในบางอย่าง เขาก็ควรต้องจัดการตัวเอง การอ้างความมั่นคงของชาติตนแต่เบียดบังและทำร้ายผลของประโยชน์ของชาติอื่นเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับ
เราจะเชียร์ใครก็ได้แต่เราจะเชียร์คนให้ไปฆ่าคนอื่นไม่ได้ ผู้ที่เห็นความชอบธรรมในการฆ่าคนหรือการทำสงคราม ควรต้องพิจารณากันใหม่อีกครั้ง สงคราม การทำลาย การประทุษร้าย ความตายไม่ใช่สิ่งที่ควรที่จะยัดเยียดให้กับใครในทุกกรณี ฉันเชื่อว่ามนุษย์อย่างเราที่พัฒนามาถึงขนาดนี้แล้วสามารถช่วยกันหาสิ่งที่เรามีประโยชน์ร่วมกันได้ โดยที่ไม่ต้องมีใครเสียประโยชน์
ฉันเคยคิดว่า ฉันเกิดมาในยุคที่โชคดีและสังคมสงบสุข ไม่ว่าความอดยาก โรคระบาด ภัยพิบัติร้ายแรง สงคราม สิ่งต่างๆเหล่านี้ดูจะไม่ใช่สิ่งที่ยุคของเราจะต้องเจอ แต่เราก็ได้เจอทั้งโรคระบาด ภัยพิบัติและสงคราม ฉันฝันถึงวันที่มนุษย์นั้นเป็นแค่มนุษย์ ไม่มีไทย ไม่มีพม่า ไม่มีลาว ไม่มีเอเชีย ไม่มียุโรปหรืออเมริกา โลกควรจะเป็นหนึ่งเดียวกัน และทุกคนควรจะทำให้เป็นเช่นนั้นในอนาคต
ฉันชอบทัศนะคติที่ว่า “ไม่มีใครดีกว่า ไม่มีใครแย่กว่า เราแค่แตกต่างกันในฐานะปัจเจก” แต่เราก็จำเป็นต่อกันและกัน เมื่อมองลึกลงไปเราคือองคาพยบเดียวกัน ในตัวฉันนั้นมีตัวเธอ และในตัวเธอก็มีตัวฉัน อะตอมในตัวฉันไม่ได้ต่างจากอะตอมของเธอ และธาตุคาร์บอนในตัวเธอก็เป็นคาร์บอนแบบเดียวกันในตัวฉัน บรรพบุรุษของฉันและเธอก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน ฉะนั้นเราจึงเป็นดั่งเช่นพี่น้อง ฉันเชื่อว่าธรรมชาติสร้างให้เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เพื่อนฉันคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า ผู้ที่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด ความเจ็บปวดนั้นจะกลับมาหาเขาผู้นั้นด้วย นี้เป็นหลักการแห่งธรรมชาติ
เมื่อเราตั้งคำถามว่าเราคือใคร เราจะตื่นรู้ขึ้นมาระดับหนึ่ง เมื่อเราตั้งคำถามว่าเขาคือใคร เราก็จะตื่นรู้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เมื่อเราพิจารณาความเหมือนและความต่างเราก็ตื่นรู้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อเราพิจารณาจนพบว่าไม่มีตัวเราและก็มีตัวเขา เราและเขาเป็นเพียงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป เราจะได้พบความจริงแท้ เมื่อนั้นธรรมชาติก็จะกล่าวกับเราว่า “ยินดีที่ได้รู้จักกับ อนัตตา” อนัตตาเป็นคำที่คนไทยได้ยินกันดี แต่คนที่เข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้ ก็มีแต่ผู้ที่ปลอกเปลือกแห่งอวิชชาได้แล้วเท่านั้น ซึ่งฉันก็ยังเข้าไม่ถึงเรื่องนี้ทั้งหมด
กลับมาที่คำถามว่าเราคือใคร เรามาทำอะไรบนโลก หน้าที่ของเราที่แท้จริงคืออะไร คำถามแบบนี้เป็นคำถามเชิงปรัชญา นักคิดเฝ้าคิดถามกันมาในทุกยุคทุกสมัย คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการตีความ และขึ้นอยู่กับศรัทธาของเราด้วย ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าแบบไหนถูกต้องที่สุด แต่มีแนวทางที่จะให้เราพิสูจน์ หนทางนั้นไม่มีทางลัด และมีเพียงผู้ที่พิสูจน์เท่านั้นถึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง
นอกจากข่าวของรัสเซีย ก็ยังมีข่าวเกี่ยวกับดาราที่ตกแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงแก่ชีวิต เวลาเราสูญเสียใครไปสักคน ก็เป็นมรณานุสติให้เราเข้าใจเกี่ยวกับความตายให้มากขึ้น แม้ว่าเราเองก็ต้องตายในสักวันหนึ่ง แม้ว่าร่างกายเราเองก็ต้องดับสลายเช่นกัน แม้การแพทย์จะเจริญก้าวหน้ามากขึ้น แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถหนีพ้นความตายไปได้ เทคโนโลยีในอนาคตอาจจะทำให้เราอายุยืนขึ้นไปอีก โรคภัยไข้เจ็บอาจจะน้อยลง แต่ฉันเชื่อว่าความตายจะยังเป็นสัจจธรรมของมนุษย์อีกต่อไปนานแสนนาน
ฉันเข้าไปอ่านเรื่องเกี่ยวกับจิตและความตายที่จะเกิดขึ้น จิตก่อนที่จะเสียชีวิต เราเรียกว่าจิตที่เข้าใกล้ความตายเหล่านี้ว่า “มรณาสันนวิถี” ซึ่งก่อนที่จิตดวงสุดท้ายในชาตินี้จะเกิดขึ้น จะมีจิตที่เสพอารมณ์ทั้งหมด 5 ดวงด้วยกัน (หรือเรียกว่า 5 ชวนะจิต อ่านว่า ชะวะนะจิต) โดยปกติทั่วไปจิตที่เสพอารมณ์จะมี 7 ขณะจิต (7 ชวนะจิต) แต่จิตใกล้ตายจะเหลือแค่ 5 เท่านั้น เพราะชีวิตและกายนี้ได้อ่อนกำลังลง อำนาจของกรรมในชาตินี้ก็ใกล้จะหมด แม้แต่จิตก็อ่อนกำลังลงไปด้วย เมื่อมรณาสันนวิถีเกิดขึ้น จุติจิต (จิตดวงสุดท้ายในชาตินี้จะเกิดขึ้นตามมาติดๆ)
ทีนี้จิตในมรณาสันนวิถีมีความสำคัญอย่างไร คำตอบก็คือเมื่อจิตเข้าสู่มรณาสันนวิถี นิมิตทั้งสามย่อมปรากฏขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง นิมิตเหล่านี้บางทีเราเรียกว่า Flashback หรือภาพก่อนตาย หรือนิมิตก่อนตาย นิมิตก่อนตายมีสามแบบตามหนังสืออภิธรรมมัตถสังคหะ นิมิตแบบแรกเรียกว่า “กรรมารมณ์” อันได้แก่ความรู้สึกบุญบาปที่ตัวเองได้ทำมา ความรู้สึกดีใจอิ่มเอิบที่เกิดจากบุญที่ทำ ก็ชักนำไปสู่สุคติ ส่วนความรู้สึกเสียใจจากบาปก็ชักนำไปสู่ทุคติ
นิมิตที่สองเรียกว่า “กรรมนิมิตารมณ์” คล้ายๆนิมิตแบบแรก แต่นิมิตนี้จะมาแบบ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือความรู้สึกได้เลย เช่นถ้าทำบุญมาก็ได้เห็นตัวเองตอนที่กำลังทำบุญนั้นๆหรือสิ่งที่เกี่ยวกับบุญนั้นๆ ถ้าทำบาปมาก็จะเห็นเป็นรูปเช่น มีด ปืน หรืออาจจะมาในรูปของเสียง รส กลิ่น สัมผัสใดๆก็ได้ แล้วจิตก็จะหน่วงอารมณ์นั้นไปสู่สุคติหรือทุคติ
ต่อไปเป็นนิมิตสุดท้ายเรียกว่า “คตินิมิตารมณ์” นิมิตแบบนี้จะมาเป็นรูปแบบ ถ้าจะไปสุคติก็จะเห็นเป็นปราสาท ราชวัง ครรภ์มารดา เทพธิดา หรือสวรรค์ทำนองนี้ ส่วนถ้าจะไปทุคติ ก็จะเห็นเป็นถ้ำ เป็นป่าทึบ เป็นไฟ เป็นนิรยบาล เป็นสุนัขแร้งกาก็ว่ากันไป เราอาจจะเคยได้ยินได้ฟังว่าคนที่ใกล้ตายเห็นนู้นเห็นนี้ รู้สึกเหมือนมดกัด กลัวบ้างร้องไห้บ้าง ฉันคิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในนิมิตเหล่านี้ นิมิตเหล่านี้เป็นผลจากแรงกรรมที่เกิดขึ้นตอนมีชีวิตซึ่งฉันเคยอธิบายไปแล้วในบทความวันที่ 81 (บทความ 123 วัน)
เมื่อมรณสันนวิถีเกิดขึ้น จิตดวงสุดท้ายก็จะเกิดขึ้นตามมา เราเรียกว่า “จุติจิต” ถัดจาก จุติจิตก็จะมี “ปฏิสนธิจิต” เกิดขึ้นทันที ไม่มีจิตดวงไหนขั้นกลาง นั้นหมายความว่า เราจะไม่เป็นวิญญาณล่องลอยไปมา แต่เราจะมีตัวตนทันทีในรูปแบบใดแบบหนึ่ง เพราะว่าจิตไม่สามารถอยู่เดี่ยวๆได้ต้องมีกายประกอบด้วยเสมอ
จิตในตำราอภิธรรมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง จิต ยังมีชื่ออื่นๆตามบริบท คือ วิญญาณ หรือ มโน จิตนั้นเป็นธาตุรู้ มีลักษณะเช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป นอกจากนั้นจิตยังมีอำนาจพิเศษ หรือเรียกว่าความวิจิตรอีก 6 อย่าง (อ้างอิงตามหนังสือพระครูสังวรสมาธิวัตร) อันได้แก่
หนึ่ง จิตวิจิตรด้วยการกระทำ วัตถุหรือศิลปะใดๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและในอนาคต มีจิตเป็นนายช่างทั้งสิ้น สอง จิตวิจิตรด้วยตนเอง จิตทำจิตเอง คือเป็นทั้งผู้ทำกรรมเองทั้งกุศลและอกุศล และเป็นผู้รับผลเองด้วย พูดง่ายๆเป็นทั้งผู้สร้างผลและเป็นผู้รับผลนั้น นอกจากนี้จิตยังแบ่งบุคคลให้แตกต่างกันด้วย สาม จิตสั่งสมกรรมและกิเลส กรรมและการกระทำใดๆ ทั้งเจตนาและกิเลสทั้งหลายมีจิตสั่งสมไว้หมด เรียกว่า “ขันธสันดาน”
สี่ จิตรักษาไว้ซึ่งวิบากที่เกิดจากกรรมและกิเลสสะสมไว้ ผลใดๆที่ทำไว้ จิตจะรักษาผลเอาไว้ และเสวยผลกรรมนั้น จิตจะรับผลของการกระทำนั้นๆเมื่อมีโอกาส เรียกว่า “วิบากจิต” ห้า จิตยังมีหน้าที่สะสมสันดานของตน จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นและดับไป เป็นปัจจัยให้จิตดวงอื่นๆเกิดขึ้นตามมา เกิดต่อกันไม่ขาดสาย เรียกว่า “การสืบสันตติ” และสุดท้าย จิตวิจิตรด้วยอารมณ์ หมายถึงจิตย่อมเสวยอารมณ์ต่างๆที่มากมาย ไม่ว่าจะรูป รส กลิ่น เสียง อารมณ์ความรู้สึกทั้งปวง
ความวิจิตรของจิตเป็นธรรมชาติที่อยู่เหนือการดลบันดาลจากผู้ใด พระเจ้า เทพ มาร พรหม ก็ไม่สามารถดลบันดาลได้ บังคับให้เกิดก็ไม่ได้ บังคับให้ดับก็ไม่ได้ ไม่สามารถลิขิตความเป็นไปได้ของจิต จิตเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยประชุมกันพร้อมจิตก็เกิดขึ้นและดับตามเหตุปัจจัยนั่นเอง
ถ้าถามฉันว่า “เราคือใคร” เราก็คือจิต จิตกับกายก็เหมือนคนกับรถ จิตคือคน กายคือรถ คนขับรถจะเลือกซื้อรถแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ชอบรถแบบไหน รถแพง รถถูก รถยุโรป รถญี่ปุ่น แล้วมีเงินพอไหมที่จะซื้อรถ รถนั้นต้องเติมน้ำมัน ร่างกายก็ต้องการอาหาร รถจะไปไหนได้ก็ต้องมีคนขับ ร่างกายจะไปไหนได้ก็ต้องมีจิตขับ เมื่อวันที่รถพัง คนก็เปลี่ยนรถ เมื่อกายพัง จิตก็เปลี่ยนกาย คนอาศัยรถเดินทางและท่องเที่ยวไปฉันใด จิตก็อาศัยกายเดินทางและท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฉันนั้น เมื่อวันหนึ่งจิตได้เดินทางสู่ธรรมชาติเดิมแท้แล้ว ก็ไม่มีจิตและกายอีกต่อไป การเกิดและตายก็ไม่มี คนและรถก็ดับไปเช่นกัน
ปูน2XL
4/3/2022
เพลงน่าฟังสัปดาห์ที่ 13 :Here’s you perfect by Jamie Miller (FLUKIE cover)
โฆษณา