4 มี.ค. 2022 เวลา 12:44 • กีฬา
ทำไมอบราโมวิช ซื้อเชลซี แล้วทำไมเขาต้องขายเชลซี วิเคราะห์บอลจริงจังจะอธิบายสถานการณ์อย่างเข้าใจง่ายที่สุด
2
โรมัน อบราโมวิช เคยต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ ว่าจะซื้อสโมสรไหนดี ระหว่างเชลซี กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
นี่เป็นชอยส์ที่ยากมาก เพราะทั้งสองทีมมีจุดเด่นที่ต่างกัน แต่สุดท้ายอบราโมวิชเลือกได้แค่ทีมเดียว และทีมนั้นคือเชลซี
ย้อนกลับไปในเดือนเมษายน 2003 อบราโมวิชเข้าไปชมเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เรอัล มาดริด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด
เกมนี้เต็มไปด้วยความระทึก โรนัลโด้ กองหน้าชาวบราซิลของเรอัล มาดริด ซัดแฮททริกได้ แต่ตัวสำรองเดวิด เบ็คแฮม ถูกเปลี่ยนลงมาแล้วยิงสองลูก ให้แมนฯ ยูไนเต็ดพลิกชนะ 4-3 แม้ในสกอร์รวมทีมปีศาจแดงจะแพ้ก็ตาม แต่พวกเขาก็เล่นด้วยสปิริตไม่ท้อถอยจนวินาทีสุดท้าย
บรูซ บัค ซีอีโอของเชลซีเล่าว่า "การชมเกมนั้นทำให้โรมันตะลึงและตกหลุมรักฟุตบอลทันที เขาหันไปถามที่ปรึกษาว่า เป็นไปได้ไหม ที่จะซื้อสโมสรฟุตบอลที่อังกฤษเอามาบริหารเอง"
อบราโมวิช เป็นมหาเศรษฐีอยู่แล้ว เขาเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันชื่อ Sibneft (ซึ่งในเวลาต่อมาจะถูก Gazprom เทกโอเวอร์ไปด้วยเงินมหาศาล) คือเรื่องเงินเขามีมากพอ ดังนั้นจึงต้องการหาความสุขใส่ตัว ด้วยการไปลงทุนกับสิ่งที่ตัวเองชอบ
2
แต่ ณ เวลานั้นก็มีเสียงวิจารณ์เหมือนกันว่า อบราโมวิชต้องการใช้ฟุตบอลอังกฤษ เป็นเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี หรือ Sportwashing เพราะเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับรัฐบาลรัสเซีย บางคนก็บอกว่า อบราโมวิชอยากใช้ฟุตบอลอังกฤษเป็นแหล่งฟอกเงิน ก็มีเสียงซุบซิบกันไป แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีหลักฐานชัดเจน มันก็เลยเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น
1
หลังจบเกมแชมเปี้ยนส์ลีกที่โอลด์แทรฟฟอร์ด อบราโมวิชเริ่มติดต่อหาหลายทีมในอังกฤษ โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่เป็นเป้าหมายหลัก อย่างไรก็ตามดีลกับทีมปีศาจแดง ไม่สามารถลุล่วงได้ เพราะจังหวะเวลาไม่ลงตัว
กล่าวคือ ณ เวลานั้นแมนฯ ยูไนเต็ด อยากขายสโมสรก็จริง แต่พวกเขาเริ่มสานสัมพันธ์กับฝั่งตระกูลเกลเซอร์สไปแล้ว โดยเกลเซอร์สเริ่มเก็บหุ้นแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 2.9% และเตรียมกว้านซื้อเพิ่มอีกเรื่อยๆ
วันนั้น อบราโมวิชไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ถือหุ้นแมนฯ ยูไนเต็ด เพราะเขาเป็นเศรษฐีน้ำมันที่ไม่มีความรู้เรื่องกีฬามาก่อนเลย ไม่แปลกที่ผู้คนจะกลัวว่าถ้าขายทีมไปแล้วจะบริหารมั่วจนทีมพัง ตรงข้ามกับตระกูลเกลเซอร์ส ที่ถูกยอมรับมากกว่า เพราะเป็นเจ้าของทีม NFL แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส คือมีพื้นฐานทางการบริหารทีมกีฬาอยู่แล้ว
1
ความจริงถ้าอบราโมวิชจะไปให้สุด ก็สามารถเดินหน้าลุยเต็มที่เพื่อแย่งชิงแมนฯ ยูไนเต็ดกับตระกูลเกลเซอร์สได้ แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ที่ชื่อของเชลซีก็โผล่ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก และมันดึงดูดความสนใจของอบราโมวิชได้ไม่น้อย
ในปี 2003 เชลซี เกิดปัญหาหนี้สินพอกพูนจากนโยบาย "อัดเงิน" ของเคน เบตส์ เจ้าของทีม ณ ขณะนั้น
1
เคน เบตส์ เป็นเจ้าของทีมประเภทกล้าลงทุน คือใช้เงินเยอะเพื่อซื้อความสำเร็จ โดยเชลซีในยุคของเขา ก็อิมพอร์ตนักเตะดังๆ มาหลายคน เช่น จานฟรังโก้ โซล่า, จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์, จานลูก้า วิอัลลี่ หรือ รุด กุลลิท เป็นต้น
แต่ปัญหาของเบตส์ คือเขาไม่ใช่นักธุรกิจที่ร่ำรวยถึงขั้นมหาเศรษฐี เบตส์ได้เงินมาจากการกู้ธนาคาร กู้มาก็เอาไปซื้อนักเตะ แล้วพอทีมหาเงินได้ ก็เอาเงินไปใช้หนี้
เบตส์ ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเชลซีมีหนี้สินสะสม 80 ล้านปอนด์ หลายคนฟันธงว่า พวกเขามีโอกาสล่มสลายตามลีดส์ ยูไนเต็ดไปติดๆ เพราะถ้าเชลซีมีหนี้สะสมพอกพูนจนจ่ายคืนธนาคารไม่ไหว ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการ Administration โดนสั่งปรับแต้ม และสั่งให้ตกชั้น
เคน เบตส์ พยายามบอกให้แฟนๆ สบายใจว่า "เราไม่เหมือนลีดส์หรอก อย่างน้อยเรามีสนามฟุตบอลของตัวเอง" แม้เขาจะพูดอย่างนั้น แต่ใครๆ ก็มองว่า ทิศทางมันส่อแววมาก ที่จะใช้หนี้ไม่ไหว แล้วล่มสลายเหมือนลีดส์
เทรเวอร์ เบิร์ช ผู้บริหารเชลซี ณ เวลานั้นบอกว่า "เมื่อหนี้สินเพิ่มขึ้น ทำให้เราไม่สามารถแข่งขันกับทีมอื่นได้ในเรื่องการซื้อตัวผู้เล่นดีๆ เข้าสู่ทีม เอาแค่ต่อสัญญาผู้เล่นที่มีอยู่ก็ใช้เงินมากแล้ว" กล่าวคือ ถ้าต่อให้ไม่ล้มละลาย เชลซีก็คงได้แค่ประคองตัวไปเรื่อยๆ ได้เงินมาก็ใช้หนี้ไป น่าจะยากที่จะไปต่อกรกับแมนฯ ยูไนเต็ด หรืออาร์เซน่อลได้
ตัวอย่างที่เห็นถึงความวิกฤติ คือในช่วงซัมเมอร์ปี 2002 เชลซีไม่เหลืองบซื้อนักเตะแม้แต่ปอนด์เดียว พวกเขาทำได้แค่เซ็นฟรีเอ็นริเก้ เดอ ลูคัส จากเอสปันญ่อล แบบไม่มีค่าตัว
1
เทียบกันแล้ว ในซัมเมอร์เดียวกันนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ซื้อริโอ เฟอร์ดินานด์ จากลีดส์ ในราคากองหลังสถิติโลก 29.1 ล้านปอนด์, แมนฯ ซิตี้ ซื้อนิโกลาส์ อเนลก้า จากเปแอสเช ราคา 13 ล้านปอนด์ ส่วน ลิเวอร์พูลซื้อเอล ฮัดจิ ดิยุฟ ที่ฟอร์มดีในบอลโลกจากล็องส์ ในราคา 10 ล้านปอนด์
แม้จะเห็นผู้เล่นฝีเท้าดีๆ หลายคน แต่เชลซีไม่มีเงินไปซื้อ ดูทรงแล้ว ความสามารถในการแข่งขันกับทีมอื่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งวิกฤตินี้ มีทางออกอยู่คือต้องหาใครมาเทกโอเวอร์
2
ในที่สุด เคน เบตส์ ก็ประกาศขายทีม ทำให้อบราโมวิชมีทางเลือก ว่าจะลุยเอาแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นทีมใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ตามที่ตั้งใจตอนแรก (แต่ก็ต้องไปสู้กับพวกเกลเซอร์ส) หรือจะเปลี่ยนแนวทางแล้วไปเจรจากับเชลซีแทน ที่ราคาถูกกว่า และดูซื้อง่ายกว่า แต่ก็อาจจะต้องนับหนึ่งใหม่ เพราะเชลซียังมีเกียรติประวัติเชิงฟุตบอล และจำนวนแชมป์ที่สู้แมนฯ ยูไนเต็ดไม่ได้
หลังการพิจารณาอย่างรอบคอบ เขาก็พบว่าเชลซี เป็นตัวเลือกที่ดีมากทีเดียว
"การที่เชลซีตั้งอยู่ในกรุงลอนดอนเป็นแรงบวกที่สำคัญมาก" บรูซ บัคเล่า "มันง่ายกว่านะ ที่จะผลักดันทีมให้กลายเป็นแบรนด์ระดับนานาชาติ สำหรับผม สินค้าจากนิวยอร์ก จะมีภาพลักษณ์สากลกว่าสินค้าจากคลีฟแลนด์ ซึ่งก็เช่นเดียวกัน สินค้าจากลอนดอน จะมีภาพลักษณ์สากลมากกว่าสินค้าจากแมนเชสเตอร์ หรือนิวคาสเซิล"
ไม่ใช่แค่อยู่ในลอนดอน แต่ "ตำแหน่งที่ตั้ง" ของเชลซี ยังอยู่ในเขตตะวันตก อยู่ติดสถานีรถไฟฟูแล่ม บรอดเวย์ ซึ่งเป็นเขตที่หรูหรา ไฮโซ ที่ดินราคาแพง
เชลซี มีบางอย่างที่เรียกว่า Elegance หรือ Classy กล่าวคือมีความหรูหรา มีระดับ มันออกจะอธิบายยากอยู่ คือเชลซีไม่ได้มีภาพลักษณ์ของทีมท้องถิ่นแบบมิลล์วอลล์ หรือเวสต์แฮม ที่อยู่ในลอนดอนเหมือนกัน แต่ดูดิบและฮาร์ดคอร์กว่า ซึ่งในแง่นี้ หากอบราโมวิชซื้อสโมสรเชลซี สามารถนำไปต่อยอดในระดับนานาชาติได้ง่ายด้วย
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะเปลี่ยนแนวทางมาซื้อเชลซีแทน ช่วงต้นเดือนมิถุนายนปี 2003 อบราโมวิช และ ทีมงานอีก 3 คน ได้แก่ ริชาร์ด ไครซ์แมน, ยูจีน เทเนบาม และ เจอร์มัน คัดเชนโก้ นัดเจอเทรเวอร์ เบิร์ช ผู้บริหารของเชลซี ที่ออฟฟิศในสแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อยืนยันว่าจะขอซื้อกิจการสโมสร
โดยอบราโมวิชจะซื้อหุ้นทั้งหมด เป็นมูลค่า 60 ล้านปอนด์ พร้อมทั้งจ่ายหนี้ที่คั่งค้างกับธนาคาร จำนวน 80 ล้านปอนด์ให้หมดเกลี้ยง เพื่อให้ทีมเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีหนี้สิน พร้อมทั้งให้คำสัญญาว่า จะทุ่มงบประมาณในการซื้อนักเตะ เพื่อยกระดับให้เชลซีมีความแข็งแกร่งจนแข่งขันกับทีมใหญ่ได้
2
เมื่อได้ข้อเสนอที่ดีเกินคาดขนาดนี้ เคน เบตส์ ตอบตกลงทันที ลองคิดดูว่า คุณบริหารทีม จนสร้างหนี้สิน 80 ล้านปอนด์ (5,360 ล้านบาท ณ ขณะนั้น) และกำลังกลุ้มใจว่าจะหาเงินมาชำระหนี้ยังไงโดยไม่ให้ทีมล่มสลาย
อยู่ๆ วันหนึ่งมีคนมาบอกว่า คุณไม่ต้องเหนื่อยแล้ว จากนี้เราขอปลดหนี้ให้ และจะช่วยผลักดันให้ทีมเดินหน้าต่อได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นทางลงที่สวยงามที่สุดเท่าที่จะนึกได้แล้ว คือต้องนึกภาพตามด้วยว่าเกือบ 20 ปีก่อน ตอนนั้นมูลค่าเชลซีไม่ได้สูงเหมือนในปัจจุบันนะ
เบตส์ไม่คิดมาก ยอมขายอย่างรวดเร็ว และได้รับเงินส่วนแบ่งจากหุ้นที่ถืออยู่สูงถึง 17 ล้านปอนด์ และวันที่ 1 มิถุนายน 2003 เชลซีก็ได้เจ้าของใหม่อย่างเป็นทางการ นั่นคือโรมัน อบราโมวิชนั่นเอง
จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เล็งไว้ตอนแรก มาสู่เป้าหมายใหม่ คือเชลซี ที่เป็นทางเลือกที่ลงตัวกว่า
จริงๆ แล้ว อีกมุมที่คนเชื่อว่าเป็นเหตุผลที่อบราโมวิชเลือกเชลซี คือถ้าเขาไปเทกโอเวอร์แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะไม่ได้รับเครดิตมากเท่าที่ควร เพราะแมนฯ ยูไนเต็ด ณ เวลานั้นก็แกร่งอยู่แล้ว แชมป์ยุโรปก็ได้มา 2 สมัยแล้ว (1968, 1999) แถมเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังอยู่
แต่ถ้ามาซื้อเชลซี ที่ไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีก และไม่เคยได้แชมป์ยุโรป หากเขาปั้นทีมจนประสบความสำเร็จได้ในระดับนั้น ก็จะจารึกชื่อของตัวเองเป็นตำนานทันที
----------------------
4
เมื่อได้เป็นเจ้าของสโมสร สิ่งที่เขาทำทันทีคือ "อัดเงิน" อย่างเต็มรูปแบบในการไล่ล่านักเตะ ในซัมเมอร์ปี 2002 เชลซีใช้เงินซื้อนักเตะ 0 ปอนด์ แต่ในซัมเมอร์ปี 2003 เชลซีใช้เงิน 111 ล้านปอนด์
ณ เวลานั้น ไม่เคยมีทีมไหนในพรีเมียร์ลีก ที่ใช้เงินทะลุ 100 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์เดียว การกระทำของอบราโมวิช จึงเป็นอะไรที่บ้าระห่ำมาก
สมัยนั้นยังไม่มี Financial Fair Play มีเงินเท่าไหร่ คุณจ่ายได้เท่านั้น นั่นทำให้เชลซี ซื้อมาเรื่อยๆ สารพัดตัว กองหน้าซื้ออาเดรียน มูตู กับ เฮอร์นัน เครสโป พร้อมกัน ปีกซื้อแดเมียน ดัฟฟ์ กับ โจ โคล พร้อมกัน เรียกได้ว่า จากเชลซีเป็นทีมที่โอเค พวกเขายกระดับเป็นทีมระดับประเทศได้เลยในช่วงเวลาสั้นๆ
สิ่งที่อบราโมวิชแตกต่างจากเจ้าของทีมคนอื่น คือเขารวยเหลือใช้ และคนรวยระดับนี้มองถึงความสำเร็จก่อนกำไร-ขาดทุน เขาต้องการให้ทีมได้แชมป์ทันทีแบบไม่ต้องรอ ถ้าหากผู้จัดการทีมคว้าแชมป์ไม่ได้ ก็ยอมจ่ายเงินฉีกสัญญาแพงๆ เพื่อไปเอาโค้ชคนใหม่มาทำงานแทน
วิธีนี้ข้อดีคือ ทำให้ผู้จัดการทีมต้องรักษา Performance เอาไว้ให้ได้สม่ำเสมอ ถ้าพลาดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็โดนเด้งทันที เพราะความอดทนของเจ้าของทีมมีต่ำมาก
แต่ข้อเสียคือ คุณไม่สามารถหาผู้จัดการทีมคนไหนที่อยู่กับทีมไปนานๆ หรือสร้างโค้ชที่ผูกพันกับทีมในระดับเฟอร์กูสัน หรือเวนเกอร์ได้ เพราะอยู่ได้แป้บเดียวก็โดนเด้ง
เฟอร์กูสันเคยพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ปีซ้อน (2003-04, 2004-05, 2005-06) แต่เขาคัมแบ็กกลับมาได้ และพาทีมคว้าแชมป์ 3 สมัยรวด (2006-07, 2007-08, 2008-09) บวกด้วยแชมป์ยุโรปอีก 1 หน
2
คือถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับเชลซีล่ะก็ เฟอร์กี้โดนเด้งไปนานแล้ว โดยไม่มีโอกาสแก้ตัวนานขนาดนั้นหรอก เพราะการจบฤดูกาลมือเปล่าเป็นสิ่งที่อบราโมวิชยอมรับไม่ได้
- คาร์โล อันเชล็อตติได้แชมป์ 1 สมัย ปีต่อมาป้องกันแชมป์ไม่ได้โดนไล่ออก
- โชเซ่ มูรินโญ่รอบสองได้แชมป์ลีก แต่เปิดฤดูกาลมา 4 เดือน ทีมผลงานดร็อปลง โดนไล่ออกทันที
1
- อันโตนิโอ คอนเต้ ได้แชมป์ลีก ปีต่อมาได้แชมป์เอฟเอคัพ ยังโดนไล่ออก
2
- โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ได้แชมป์ยุโรป เปิดฉากซีซั่นใหม่ไม่ถึง 10 นัด โดนไล่ออก
คนที่ทำทีมได้แชมป์ยังกดดันขนาดนี้ ดังนั้นพวกที่ร้างแชมป์ อย่างสโคลารี่, วิลลาช-โบอาช หรือ แลมพาร์ด แป้บเดียวก็ไม่รอดแล้ว
นี่คือเหตุผลที่แฟนบอลทีมอื่นจะมีเพลง Chant แซะ เชลซีว่า Chelsea ain't got no history (เชลซี ไอ้พวกไร้ประวัติศาสตร์)
กล่าวคือในอดีตไม่เคยได้แชมป์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่มารุ่งเรืองได้เพราะเงินของเศรษฐีรัสเซีย นอกจากนั้น ด้วยแนวทางบริหารแบบนี้ ที่ไม่สร้างความผูกพันกับโค้ชคนไหน ดังนั้นไม่มีทางจะสร้างตำนานอย่าง แมตต์ บัสบี้, บิลล์ แชงคลีย์, บ๊อบ เพสลีย์, อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ อาร์แซน เวนเกอร์ ขึ้นมาได้
ลองคิดภาพตาม หน้าสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด มีรูปปั้นบัสบี้ กับ เฟอร์กูสัน แล้วหน้าสนามเชลซี จะสามารถมีรูปปั้นผู้จัดการทีมคนไหนได้หรือ เมื่อได้คุมกันสั้นๆ แบบนี้
2
แต่เอาล่ะ ถ้าวัดกันในแง่ของความสำเร็จล่ะก็ ปฏิเสธไม่ได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2003 ที่อบราโมวิชเทกโอเวอร์ เชลซีกลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ถึงปัจจุบัน ผ่านมาแล้ว 18 ฤดูกาล ผลงานความสำเร็จเมื่อเทียบกับทีมอื่นมีดังนี้
1
เชลซี : 5 แชมป์ลีก 2 แชมป์ยุโรป
แมนฯ ยูไนเต็ด : 5 แชมป์ลีก 1 แชมป์ยุโรป
แมนฯ ซิตี้ : 5 แชมป์ลีก 0 แชมป์ยุโรป
ลิเวอร์พูล : 1 แชมป์ลีก 2 แชมป์ยุโรป
อาร์เซน่อล : 1 แชมป์ลีก 0 แชมป์ยุโรป
เลสเตอร์ : 1 แชมป์ลีก 0 แชมป์ยุโรป
อบราโมวิชทำให้เชลซี ที่เคยเป็นทีมกลางๆ (ค่อนไปทางสูง) ยกระดับกลายเป็นทีมระดับโลก มีแฟนคลับทั่วทุกทวีป และมูลค่าของทีมก็เพิ่มอย่างมหาศาล ปัจจุบันถ้ามีการซื้อขายกัน ราคาก็ย่อมไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านปอนด์
ลองคิดดูว่าตอนอบราโมวิชซื้อเชลซีในปี 2003 เขาจ่ายไป 140 ล้านปอนด์เท่านั้น ตอนนี้มูลค่าของเชลซี พุ่งทะยานสูงขนาดนี้ ส่วนสำคัญเป็นเพราะวิสัยทัศน์ในการบริหารของเขานั่นแหละ ที่แข็งกร้าว แต่ชัดเจน โดยยึดถือความสำเร็จเป็นที่ตั้งโดยไม่กลัวขาดทุน
ถ้าสโมสรหาเงินหมุนไม่ทัน ก็มาเอากับอบราโมวิชนี่แหละ มีรายงานว่า เชลซียืมเงินส่วนตัวของอบราโมวิชไปมากกว่า 1,500 ล้านปอนด์ ตลอด 19 ปี ที่เขาเป็นเจ้าของทีมอยู่ เงินขาดมือเมื่อไหร่ อบราโมวิชก็อัดฉีดเพิ่มไปเมื่อนั้น
1
ถ้าเราถามแฟนแมนฯ ยูไนเต็ดว่าทีมปีศาจแดงประสบความสำเร็จเพราะอะไร หลายคนคงตอบว่าเฟอร์กี้ ถ้าไปถามแฟนลิเวอร์พูลก็จะตอบว่าคล็อปป์ แต่กับเคสของเชลซี ชื่อของโรมัน อบราโมวิช จะนำโด่งเป็นอันดับ 1 เสมอ
2
----------------------
1
ถ้ารักทีมขนาดนี้ ทุ่มเทขนาดนี้ แล้วทำไมต้องขาย?
การขายเชลซีของอบราโมวิชนั้น อยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับ เพราะตั้งแต่มีสงครามยูเครน สินค้า และธุรกิจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย โดนคว่ำบาตรจากทั่วโลก ดังนั้นเชลซีที่มีเจ้าของเป็นคนรัสเซียก็มีโอกาสจะโดนหางเลขด้วยสูงมาก
1
อธิบายคือ รัฐบาลอังกฤษจะเพิ่มมาตรการลงโทษรัสเซียสัปดาห์ต่อสัปดาห์ วันนี้แค่ห้ามสายการบินรัสเซียลงจอดที่อังกฤษ แต่ถ้าสงครามยังไม่จบซะที ในสเต็ปต่อมา รัฐบาลอาจเพิ่มความเข้มข้นด้วยการ "ยึดทรัพย์" ของนักธุรกิจรัสเซียที่อาศัยในอังกฤษเลยก็ได้
1
อบราโมวิชก็ไม่ใช่นักธุรกิจที่ชื่อเสียงใสสะอาด เขามีข่าวพัวพันกับวลาดิเมียร์ ปูติน และการฟอกเงินอยู่เรื่อยๆ แถมยังเคยถูกรัฐบาลอังกฤษงดออกวีซ่า รวมถึงขอพาสปอร์ตสวิตเซอร์แลนด์แต่ก็โดนปฏิเสธ ดังนั้นไม่แปลกใจถ้าสักวัน รัฐบาลอังกฤษจะลุกขึ้นมาทำอะไรกับสมบัติของอบราโมวิชที่อยู่ในลอนดอน
1
ถ้าการยึดทรัพย์เกิดขึ้นจริงๆ สโมสรเชลซีที่เป็นเหมือนสินทรัพย์ของอบราโมวิชก็จะโดนยึดไป นี่คือเหตุผลที่สื่ออังกฤษบอกว่า อบราโมวิช "Try to sell Chelsea as quickly as possible" คือขายสโมสรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ก่อนรัฐบาลอังกฤษจะชิงยึดทรัพย์ก่อน)
เอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่สถานการณ์คับขัน ทีมระดับเชลซีต้องซื้อขายกันที่ตัวเลข 3 พันล้านปอนด์ แต่เมื่อทุกอย่างมันรีบแบบนี้ คิดว่าดีลจะจบอยู่แค่ 2 พันล้านปอนด์เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเยอะทีเดียว
1
มุมของอบราโมวิช การถือเงินสดมาเก็บไว้ ย่อมดีกว่าโดนยึดทรัพย์ไปฟรีๆ ซึ่งไม่ใช่แค่สโมสรฟุตบอล แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา อบราโมวิชพยายามขายอสังหาฯ ของเขาที่ลอนดอน มูลค่า 200 ล้านปอนด์เช่นกัน คือก็หลักการเดียวกับเชลซี คุณจะปล่อยให้รัฐบาลอังกฤษมายึดได้ยังไง ขายเอาเงินสดไว้ก่อนดีกว่า
3
ในแถลงการณ์ อบราโมวิชบอกว่าที่ต้องขายสโมสร "เพื่อผลประโยชน์ของเชลซีเป็นสำคัญ" คือถ้า Worst Case มีการยึดทรัพย์เกิดขึ้น แล้วสโมสรจะยังไงต่อ ใครจะบริหาร จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าเหนื่อยให้นักเตะ มันวุ่นวายเกินไป ดังนั้นรีบขาย รีบมีเจ้าของใหม่ให้จบเพื่อเซฟความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นดีกว่า
ขณะที่อีกหนึ่งประเด็นจากแถลงการณ์ อบราโมวิชบอกว่ารายได้จากการขายสโมสร ส่วนหนึ่งจะตั้งมูลนิธิเพื่อบริจาคเงินให้กับเหยื่อสงครามในยูเครน แต่สกายสปอร์ต วิเคราะห์ว่า "โอเค มันฟังดูดีที่หน้ากระดาษ ดูมีน้ำใจมาก แต่ในความจริง เราไม่รู้ถึงความชัดเจนว่าจะทำได้ตามนั้นไหม"
1
อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดด้วยความสัตย์จริง แค่บอกว่าจะช่วยเหลือเหยื่อที่ยูเครน ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนรัสเซีย และคำพูดแบบนี้อาจทำให้โดนเล่นงานจากรัฐบาลเครมลิน นี่ก็ถือเป็นความใจกล้าพอดูแล้ว
เรื่องอบราโมวิชอำลาสโมสร ในมุมของแฟนเชลซี ก็ถือเป็นความเศร้า เพราะก่อนอบราโมวิชจะมา เชลซีไม่ใช่ทีมที่น่าเกรงขามขนาดนี้ แต่พออบราโมวิชเข้ามา ทีมยกระดับเป็นหนึ่งในมหาอำนาจลูกหนัง
1
เรื่องเงิน อบราโมวิชไม่เคยหวง จ่ายได้ไม่อั้นเสมอ เป็นเจ้าของทีมที่แฟนบอลไม่ต้องกลัวเรื่องจะมากอบโกยผลประโยชน์จากทีม เพราะเกือบ 2 ทศวรรษทีผ่านมา อบราโมวิชก็ไม่ได้ทำแบบนั้น แถมยังควักเนื้อตัวเองเป็นประจำ
ไม่มีทางรู้เลยว่า เจ้าของใหม่ที่เข้ามาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนรวยที่เปย์ไม่อั้นแบบเดิม หรือจะเป็นนักธุรกิจที่คิดคำนวณรายรับรายจ่ายแบบละเอียดยิบ เหมือนอาร์เซน่อล แมนฯ ยูไนเต็ด หรือลิเวอร์พูล ก็ต้องรอดูกันต่อไป
มีคนวิเคราะห์ว่า อบราโมวิชแกล้งทำเป็นขายทีม แต่พอขายเสร็จแล้วก็แอบควบคุมอยู่เบื้องหลังได้ไหม เรื่องนี้ ริชาร์ด มาสเตอร์ส ซีอีโอของพรีเมียร์ลีกบอกว่า "ทำแบบนั้นไม่ได้" สโมสรอังกฤษไม่มีนอมินีของใคร ถ้าขายแล้วก็คือขายเลย
บทสรุปของเรื่องนี้ พอจะบอกได้ว่า นี่ล่ะ คือความโหดร้ายของสงคราม
ฟุตบอลกับสงครามมันไม่น่าเกี่ยวกันได้ แต่เมื่อเกิดการต่อสู้กันจริงๆ ทุกชาติจะหยิบเอาทุกกลยุทธ์มาเล่นงานอีกฝ่ายทั้งหมด การโจมตีวีไอพี โจมตีกระเป๋าเงิน และโจมตีเศรษฐกิจก็เป็นหนึ่งในนั้น
ถึงตรงนี้ เรื่องมันก็มาไกลเกินกว่า จะเดินถอยหลังแล้ว และการซื้อขายเชลซีจะเกิดขึ้นแน่ๆ
แฟนเชลซีก็ทำได้แค่ภาวนา ขอให้เจ้าของใหม่ มีความรัก มีความใส่ใจให้ทีมจริงๆ เหมือนอบราโมวิชทำมาตลอด 19 ปี แค่นี้ก็คงจะโอเคมากแล้ว
แล้วถ้าไม่เปย์หนัก จ่ายหนัก อย่างน้อยที่สุดก็อย่ามาเป็นปลิงดูดเลือดกัน นี่คงไม่ใช่คำขอที่มากเกินไปหรอกใช่ไหม
1
#THESHOWMUSTGOON
โฆษณา