6 มี.ค. 2022 เวลา 10:15 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Smart City = เมืองฉลาด
จากนี้ไป ขอแปลคำว่า “Smart City” เป็น “เมืองฉลาด” แทนคำแปลเดิมคือ “เมืองอัจฉริยะ” จะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวครับ
ขอบคุณภาพจาก TedXSirirajFacultyOfMedicine
คนส่วนใหญ่เมื่อนึกถึง“Smart City” จะเห็นภาพเมืองที่มีตึกสูง มีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม เมืองที่มีความล้ำหน้าของเทคโนโลยี หรือเมืองที่มีหุ่นยนต์เดินไปเดินมา คล้ายออกมาจากหนังวิทยาศาสตร์
เมืองแอสเปิน นครเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการจัดอันดับสูงเสมอ ไม่ว่าจะโดยสถาบันไหน ด้วยเหตุที่ว่า เมือง ๆ นี้นั้นถูกออกแบบขึ้นมาโดยเอาสุขภาวะของพลเมืองเป็นที่ตั้ง เทคโนโลยีทั้งหลายล้วนทำงานอยู่เบื้องหลัง ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับประโยชน์จากคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น การจราจรที่ติดขัดน้อยลง ภูมิทัศน์ของเมืองที่น่าอยู่ ปราศจากขยะ และความปลอดภัยที่สูงขึ้น ภาพโดย: Ludwig Schedl
หากแต่ความหมายจริงๆแล้ว “Smart City” ควรจะถูกแปลว่า “เมืองฉลาด” เนื่องจากว่า ปัจจุบันเรามีทั้งข้อมูลที่มากขึ้น และเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ในราคาที่ถูกลง สามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการเมืองให้ ส่งผลให้เกิดความสะดวกสบายต่อผู้อยู่อาศัย ซึ่งนั่นก็คือความหมายของการ “ฉลาดขึ้น” ของเมืองนั่นเอง
เวลาเราแปลคำว่า “Smart” เฉย ๆ เราไม่คิดถึงคำว่า “อัจฉริยะ” ฉันใด เราก็ไม่ควรจะแปลคำว่า “Smart City” ว่าเมืองอัจฉริยะ ฉันนั้น — ความสมาร์ตคือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม
โดยมากแล้ว ปัญหาของการออกแบบใด ๆ ก็ตาม มักจะมาจากความไม่เข้ากันของมุมมองของนักออกแบบ และมุมมองของผู้ใช้งาน เมืองเองก็เช่นกัน ผู้นำเมืองอาจจะอยากให้เมืองมีองค์ประกอบสำคัญทางด้านเทคโนโลยีมากมาย ทว่า หากพลเมืองไม่ได้มองเห็นประโยชน์เหล่านั้น หรือ เข้าไม่ถึงก็ไม่มีประโยชน์เหมือนเด็กในเปลนี้ ภาพประกอบโดย https://vk.com/piterskii_punk_wall
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เราต้องการจากความเป็นเมืองที่ฉลาดขึ้น ก็คือ "ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ สถานการณ์ใหม่ ๆ สภาวะใหม่ ๆ ด้วยวิธีการ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม" ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ดึงเอาศักยภาพตนเองออกมาให้เยอะที่สุด เพื่อจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ตนอยู่ได้อย่างดีที่สุด
โฆษณา