7 มี.ค. 2022 เวลา 04:49 • ท่องเที่ยว
‘วัดบรมนิวาส’ .. ถอดรหัสวัดไทย ชมปริศนาธรรม ผ่านภาพวาดของขรัวอินโข่ง
วัดบรมนิวาส .. เดิมชื่อ ‘วัดบรมสุข’ แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ได้เรียกวัดนี้ว่า ‘วัดพระอินทระเดชะอาด’ ดังนั้น ผู้สร้างวัดน่าจะมีตำแหน่งเป็น ‘พระอินทรเดชะ’ ชื่อ ‘อาด’ หรือ พระอินทรเดชะ (อาด) นั่นเอง
มีตำนานว่าผู้สร้างวัดคนแรกถึงแก่กรรมในสงครามกับเขมรระหว่างที่ยังสร้างวัดไม่เสร็จดี ทายาทจึงน้อมเกล้าฯ ถวายไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งยังทรงผนวชเป็นพระวชิรญาณภิกขุอยู่ .. การสร้างวัดก็ดำเนินต่อ และถวายเป็นพระอารามหลวงในสมัยรัชกาลที่ 3 เรียกว่า ‘วัดนอก’ (นอกกำแพงเมือง) เพื่อให้คู่กับ ‘วัดใน’ (ในกำแพงเมือง) หรือ วัดบวรนิเวศ
วัดบรมนิวาส .. สร้างเสร็จสมบูรณ์ เมื่อพระวชิรญาณภิกขุขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และได้พระราชทานนามวัดนี้ใหม่ว่า “วัดบรมนิวาส” และกลายเป็นวัดฝ่ายอรัญวาสีซึ่งมุ่งเน้นการปฏิบัติวิปัสสนา คู่กับวัดบวรนิเวศวิหาร วัดฝ่ายคามวาสีที่เน้นการศึกษา
วัดบรมนิวาส .. มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมที่เป็นเอกลักษณ์แนวใหม่เฉพาะตัว โดยเปลี่ยนแนวการเขียนภาพแบบเล่าเรื่อง มาเป็นการเสนอความคิดเป็นภาพปริศนาธรรม แทนการเขียนภาพพุทธประวัติ อันเป็นงานช่างสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งพระองค์มักทรงแฝงความหมาย ความคิด หรือปริศนาบางอย่างเอาไว้ในงานศิลปกรรมที่ทรงเป็นผู้กำกับด้วยพระองค์เองอยู่เสมอ ๆ
วัดบรมนิวาส .. ยังคงวางผังตามแบบแผนโบราณ ตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ สร้างอุโบสถเป็นประธานหน้าพระเจดีย์ อาคารในเขตพุทธาวาสหันหน้าสู่ทิศเหนือซึ่งมีคลองแสนแสบไหลผ่าน
พระอุโบสถ .. ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาส มีขนาดกะทัดรัด เป็นอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมสืบเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ 3 ก่ออิฐถือปูน ทำเสาพาไลรอบอาคาร ประดับเครื่องบนอย่างไทย ลวดลายซุ้มประตูหน้าต่างอย่างเทศ
หน้าบัน ปรากฏรูปพระมหามงกุฎ อันเป็นพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สถาปนาวัด .. ล้อมรอบด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวความคิดใหม่ที่เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 นี้เอง อันเป็นแนวความคิดที่เปลี่ยนไปของชนชั้นสูงในสมัยนั้น สู่ยุคสมัยแห่งสัจนิยม มีที่มาจากโลกตะวันตก โดยเฉพาะในอังกฤษและฝรั่งเศส ที่นิยมใช้ตราพระบรมราชสัญลักษณ์ประดับสิ่งก่อสร้างหรือข้าวของเครื่องใช้
ในอดีต .. เครื่องหมายที่แสดงถึงพระมหากษัตริย์จะแสดงด้วยรูปเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ไม่ว่าจะเป็นพระนารายณ์ทรงครุฑหรือพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
แม้จะมีแนวทางมาจากโลกตะวันตก แต่ก็ยังนำมาผสมผสานกับความเป็นตะวันออก เพราะลายพันธุ์พฤกษาด้านหลังเป็นสิ่งที่พบตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่นิยมความเป็นจีน
ซุ้มประตูและหน้าต่าง .. เป็นลายพันธุ์พฤกษาเช่นกัน รวมไปถึงภาพด้านในบานประตูที่เป็นรูปเซี่ยวกางหรือทวารบาลอย่างจีนด้วย
เราจะเดินชมรอบๆพระอุโบสถด้านนอกกันก่อนนะคะ
เจดีย์ทรงระฆังสีขาว ... ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณตามสไตล์เจดีย์ที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 แทนที่เจดีย์ทรงเครื่องและเจดีย์ทรงปรางค์ที่นิยมมาตลอดในสมัยก่อนหน้า
ภาพจาก Tead the cloud
ภายในมีห้องประดิษฐานเจดีย์จำลองหล่อโลหะ สันนิษฐานว่าอาจบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ โดยทางเข้าอยู่ตรงกับประตูหลังพระอุโบสถพอดี
... บานประตูเป็นงานประดับมุกฝีมือช่างหลวงที่สร้างขึ้นพร้อมเจดีย์ ถือเป็นอีกหนึ่งมาสเตอร์พีซของวัดบรมนิวาสที่ผ่านการคิดอย่างแยบคาย เพราะทั้งบนบานประตูแต่ละฝั่งและอกเลาบานประตูต่างก็มีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน
บานประตูและอกเลาบานประตูแบ่งสัญลักษณ์ออกเป็น 3 ส่วน คือ บน กลาง ล่าง บานประตูฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นนภปฎลมหาเศวตฉัตรหรือฉัตรขาว 9 ชั้นอยู่ด้านบน พระมหามงกุฎตรงกลาง และเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ อีกฝั่งหนึ่งเริ่มด้วยเบญจปฎลเศวตฉัตร หรือฉัตรขาว 5 ชั้นด้านบน
ตรงกลางเป็นรูปหัวใจที่มีรัศมีคล้ายเปลวเพลิงล้อมรอบ อันเป็นพระราชสัญลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระมเหสีพระองค์แรกในรัชกาลที่ 4 และพระมเหสีที่ทรงรักยิ่ง และมีรูปหีบพระศรี หีบหมากซึ่งเป็นเครื่องประกอบฐานันดร
การนำพระบรมราชสัญลักษณ์ของรัชกาลที่ 4 และพระราชสัญลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสฯ มาไว้ในที่เดียวกัน ใช่จะมีแต่วัดบรมนิวาสเท่านั้น แต่ที่วัดโสมนัสวิหาร วัดที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างพระราชอุทิศแก่สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัส ก็มีการใช้สัญลักษณ์ทั้ง 2 นี้ร่วมกันบนหน้าบันของพระวิหารด้วย
บริเวณอกเลานั้นส่วนบนเป็นรูปพรหมหน้าเดียว ตรงกลางเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ส่วนล่างเป็นรูปเทวดา 4 องค์ หมายถึงท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ภาพทั้ง 3 ส่วนนี้พอนำมาประกอบเข้าด้วยกัน จะกลายเป็นลำดับชั้นของสุคติภูมิที่อยู่เหนือมนุสสภูมิหรือโลกมนุษย์ขึ้นไป ดังนี้
ท้าวจตุโลกบาล สื่อถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นล่างสุดของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น มีท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ที่ประกอบด้วยท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้า
พระอินทร์ สื่อถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นสำคัญที่ปรากฏในพุทธประวัติหลายครั้ง และพระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปโปรดพุทธมารดา มีพระอินทร์เป็นประมุข
พรหมหน้าเดียว สื่อถึงพรหมโลก สุคติภูมิที่อยู่เหนือเทวโลกหรือโลกสวรรค์ ที่สถิตของพรหม แบ่งออกเป็นรูปพรหมและอรูปพรหม
อสิติมหาสาวก : ล้อมพระเจดีย์ด้วยพระสาวก
ระเบียงคดที่ล้อมพระเจดีย์ 3 ด้าน เว้นด้านหน้าเอาไว้ เพราะมีพระอุโบสถตั้งอยู่ ภายในระเบียงคดของวัดส่วนใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งบ้าง ยืนบ้างเอาไว้โดยรอบ แต่วัดนี้เปลี่ยนจากพระพุทธรูปลอยตัวเป็นพระสาวกนูนสูงประดับบนผนังแทน พระสาวกแต่ละรูปต่างก็ยืนพนมมืออยู่ภายใต้ฉัตร ด้านล่างมีแผ่นหินระบุชื่อพระสาวกองค์นั้นพร้อมตัวเลขกำกับเอาไว้ ซึ่งพอเราค่อย ๆ นับดู จะพบว่าพระสาวกภายในระเบียงคดของวัดบรมนิวาสนี้มีทั้งหมด 80 องค์ เท่ากับจำนวนของพระอสีติมหาสาวก (อสีติ = 80) พอดี
พระอสิติมหาสาวก .. คือพระสาวกรูปสำคัญของพระพุทธเจ้า 80 องค์ซึ่งถูกพูดถึงมาแล้วในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาชั้นหลัง แม้จะมีการกล่าวถึง แต่ไม่มีการระบุว่าทั้ง 80 รูปนั้นมีใครบ้าง
ในสังคมอินเดียสมัยโบราณ ตัวเลข 80 แสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวย รวมถึงอาจจะแปลความถึง ความยิ่งใหญ่ ความสวยงาม หรือความสำคัญได้ด้วย รวมถึง ตัวเลข 80 นี้เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะพระองค์ทรงมีชนมายุ 80 พรรษา แถมฉัพพรรณรังษีของพระองค์ยังแผ่ซ่านออกไปรอบพระวรกายประมาณ 80 ศอก และพระวรกายของพระองค์ยังสง่างามของอนุพยัญชนะ 80 ประการ เหล่านี้ยืนยันได้ว่า ตัวเลข 80 นั้นคงเป็นตัวแลขที่สำคัญจริง ๆ
อาคารอื่นๆด้านนอกพระอุโบสถ .. มีความสวยงาม บางส่วนประดับด้วยงานแกะสลักหินรูปแบบศิลปะจีน
กำแพง อาคาร และเครื่องประดับรอบๆพระอุโบสถ .. ล้วนสวยงาม
เราจะเริ่มเข้าไปชมภานในพระอุโบสถกันค่ะ .. จะไปชมภาพสไตล์ฝรั่งในการเล่าเรื่องพุทธศาสนา อันเป็นการนำโลกเก่ามาผสานกับโลกใหม่
ประธานในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส .. คือ พระทศพลญาณ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยที่อัญเชิญมาจากเมืองพิษณุโลก
เบื้องหน้าองค์พระประธาน .. ประดิษฐานรูปหล่อพระอัครสาวก คือ พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตรยืนประนมมือสักการะ สังเกตได้ว่าหล่อให้มีลักษณะเหมือนคนจริง ๆ ส่วนด้านหลังตั้งรูปเทวดาเชิญฉัตร เขียนใบหน้าและแต่งเครื่องทรงอย่างไทยประเพณี
ภายในพระอุโบสถ .. รายล้อมด้วยจิตรกรรมฝาผนัง มีสีหลักเป็นสีน้ำเงินและสีดำ ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ และร่มเย็น ต่างจากจิตรกรรมในยุคก่อนหน้าที่ใช้สีโทนร้อน
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถวัดบรมนิวาสแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ .. ผนังระหว่างช่องหน้าต่างและประตู เขียนภาพ สังฆกรรม หรือกิจของสงฆ์ พิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา และประเพณีสำคัญของไทย
ผนังระหว่างหน้าต่างวาดภาพ ที่บานแผละ หรือผนังส่วนที่บานประตูหน้าต่างเมื่อเปิดเข้าไปแล้วแปะอยู่ วาดภาพวิมาน และอสุภกรรมฐาน หรือการพิจารณาซากศพประเภทต่าง ๆ
เพดานวาดลวดลายพรรณพฤกษาแบบตะวันตก หลังบานประตูวาดภาพทวารบาลแบบจีน
ส่วนหลังบานหน้าต่างวาดโต๊ะเครื่องมงคล เครื่องบูชาแบบจีน
ผนังเหนือช่องหน้าต่างและประตู เขียนภาพปริศนาธรรมที่ดูแล้วพิสดารมาก ก็คือ ภาพวาดแนวใหม่ที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน จะพบแค่เพียง 2 วัดเท่านั้น คือ วัดบวรนิเวศและวัดบรมนิวาสเท่านั้น .. ซึ่งเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของจิตรกรรมไทย
พระวชิรญาณภิกขุออกแบบโครงเรื่อง และเลือกใช้ภาพแบบตะวันตกมาวาดเป็นจิตรกรรมฝาผนัง เพื่ออธิบายปริศนาธรรม แทนที่จะใช้ภาพแบบไทยประเพณีที่สืบมานาน .. อาจจะเป็นเพราะพระองค์ต้องการนำความรู้และความก้าวหน้าของโลกตะวันตกมาเผยแพร่ผ่านเรื่องราวทางพุทธศาสนา เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงโลกใหม่อันต่างไปจากโลกแบบจารีตที่นับถือกันมาแต่ก่อน และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสนใจและชื่นชม
อย่างไรก็ตาม .. ภาพจิตรกรรม เรื่องราวบนฝาผนัง บริเวณผนังเหนือช่องประตูและหน้าต่างนั้น ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดของจิตรกรรมภายในวัดที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา เพียงแต่ใช้กลวิธีใหม่โดยการเปรียบเทียบหรืออุปมาอุปไมย เพื่อสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย โดยใช้ตัวละคร ฉาก สถานที่มาอธิบายอย่างแยบคาย ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น
.. บอกให้เรารู้ว่าผู้ออกแบบภาพชุดนี้ คือ ‘พระวชิรญาณภิกขุ’ ทรงใช้ความรู้ขั้นสูงในการรังสรรค์ภาพชุดนี้ขึ้น โดยนำปรัชญาจากดินแดนตะวันตกเข้ามาประยุกต์ ให้พระพุทธศาสนามีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้นพร้อมกันนั้นยังได้ใส่คำบรรยายภาพเอาไว้ด้านล่าง เผื่อใครที่ตีความภาพไม่ออกก็อ่านคำอธิบายภาพด้านล่างได้
จิตรกรที่สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบโครงเรื่องโดยพระวชิรญาณภิกขุ ให้ออกมาเป็นภาพวาดที่งดงามเลื่องชื่อ คือ “ขรัวอินโข่ง” และภาพเหล่านี้มีชื่อว่า ‘ปริศนาธรรม’
ขรัวอินโข่งใช้การเขียนภาพแบบตะวันตก ที่มีระยะใกล้-ไกลตามหลักทัศนีวิทยา (perspective) และเขียนภาพให้มีแสงและเงา เป็นภาพเหมือนจริง ภาพปริศนาธรรมทั้งหมดเขียนตามแบบอย่างของศิลปะตะวันตก และอาคารบ้านเรือน ผู้คนที่ปรากฏในภาพ ล้วนเป็นชาวตะวันตกทั้งสิ้น
ภาพ ‘ปริศนาธรรม’ ภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส มีอยู่ด้วยกัน 12 ภาพ ซึ่งน้อยกว่าวัดบวรนิเวศวิหารที่มี 21 ภาพ ซึ่งเหตุผลหลักอาจจะเป็นที่ขนาดของพระอุโบสถทั้ง 2 หลังต่างกันค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามว่ากันว่า .. ไม่ว่าจะ ‘12’ หรือ ‘21’ ต่างก็ประกอบขึ้นจากตัวเลข 1 และ 2 ทั้งสิ้น และไม่ว่าจะ 1+2 หรือ 2+1 ต่างก็ได้ผลลัพธ์เท่ากันคือ 3 ซึ่งอาจจะเป็น‘กลเลข’ ที่รัชกาลที่ 4 ซ่อนไว้ก็เป็นได้ .. เพราะเลข 3 สอดคล้องกับเนื้อหาสำคัญของจิตรกรรมฝาผนังชุดนี้ คือพระรัตนตรัยซึ่งประกอบด้วยแก้ว 3 ประการคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง และความหมาย .. สรรเสริญพระรัตนตรัยผ่านภาพแบบตะวันตก
ภาพจิตรกรรมหลังพระประธาน .. มีภาพดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางทองฟ้าสีน้ำเงิน ด้านล่างมีภาพเมือง ซึ่งฝั่งซ้ายมีกลุ่มคนกำลังส่องกล้องดูดาวอยู่ใกล้กับอาคารที่มีหอนาฬิกาด้านบน ฝั่งขวามีภาพสถานีรถไฟที่มีรถไฟกำลังลอดใต้สถานีและมีผู้คนกำลังยืนรอรถไฟอยู่
.. ภาพนี้เปรียบพระพุทธเจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ผู้ขับไล่ความมืดหรืออวิชชาด้วยแสงสว่างแห่งปัญญาที่ทรงนำมาสู่โลก เปรียบพระธรรมเป็นเมืองและรถไฟ และเหล่าผู้โดยสารบนรถไฟคือพระสงฆ์
ในอดีต บริเวณผนังหลังพระประธาน .. มักจะเป็นภาพจักรวาลวิทยาตามแบบโบราณ ที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง มีเขาสัตตบริภัณฑ์ นทีสีทันดร พระอาทิตย์ พระจันทร์ ทวีปต่าง ๆ สวรรค์ บางครั้งมีภาพนรกด้วย
.. ซึ่งจิตรกรรมที่วัดบรมนิวาสนี้ยังคงแนวคิดเดิมโดยแทนค่าสมการใหม่ ให้พระอาทิตย์อยู่กลางผนังแทนเขาพระสุเมรุ ดวงดาวบนท้องฟ้าที่กำลังถูกส่องโดยผู้คนแทนสวรรค์และวิมานเทวดา และสถานีรถไฟที่เจาะลึกลงไปใต้ดินแทนนรก
.. ส่วนภาพเมืองที่ปรากฏอยู่ด้านล่างซึ่งในจารึกเรียกว่า ‘เมืองมั่งคั่ง’ .. อาจจะหมายถึงเมืองอันเป็นศูนย์กลางของโลก ซึ่งในช่วงเวลานั้นคือ ‘มหานครลอนดอน’ เพราะมีสถานะเป็นศูนย์กลางการค้า การเงิน แหล่งรวมวิทยาการ และศูนย์กลางอำนาจของจักรวรรดิอังกฤษ ภาพวาดแสดงภาพเมืองที่มีสถานีรถไฟที่มีรถไฟกำลังวิ่งลอดผ่านซุ้มโค้ง เป็นดั่งประตูทางเข้าสู่นครลอนดอน ซึ่งโครงสร้างเช่นนี้ดูคล้ายกับสถานีรถไฟบางแห่งในประเทศอังกฤษ เช่น Maidstone East Railway station
ภาพดอกบัว ... ภาพสระน้ำมีดอกบัวนานาพรรณชูช่ออยู่ในสระ มีดอกบัวใหญ่ดอกหนึ่งชูดอกสูงกว่าบัวดอกอื่นๆ มีผู้คนที่แต่งตัวแบบชาวตะวันตก นั่งบ้างยืนบ้างอยู่ตามริมสระนั้น กำลังชี้ชวนชมและดมกลิ่นหอมของดอกบัวขนาดใหญ่ที่กลางบึงน้ำ
.. ความอุปมาว่า มีสระโบกขรณีหนึ่ง มีปทุมชาติหลายอย่างหลายพรรณ แต่มีดอกปทุมชาติหนึ่งใหญ่พ้นน้ำงามสะอาดกว่าปทุมชาติอื่น มีกลิ่นหอมวิเศษกว่าดอกไม้อื่น ตลบทั่วไปในทุกทิศ มีคนมากมายด้วยกันมาชมดอกบัวใหญ่ ได้กลิ่นแล้วชื่นชมยินดี หมู่แมงผึ้งแมลงภู่ก็มาเชยเอาชาติเกษร
ความอุปไมยว่า ดอกบัวใหญ่เหมือนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก มีคุณอันประเสริฐฟุ้งไปในทิศทั้งปวง กลิ่นดอกบัวใหญ่เหมือนพระธรรม เพราะเป็นของเกิดแต่พระพุทธเจ้า หมู่คนที่ชื่นชมดอกบัวเหมือนหมู่อริยเจ้าที่ได้พระธรรมพิเศษ ได้มรรคผลเพราะได้ฟังพระธรรมเทศนา
ดอกบัวขนาดยักษ์กลางบึง .. น่าจะวาดขึ้นตามลักษณะของดอกบัววิกตอเรีย ดอกบัวพันธุ์ใหญ่ที่สุดที่เมื่อบานเต็มที่อาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางได้ถึง 40 เซนติเมตร มีกลีบดอกจำนวนมาก และมีการไล่สีจากขาว ชมพู และแดง พระยาประดิพัทธิ์ภูบาลได้นำเมล็ดพันธุ์เข้ามาปลูกเป็นครั้งแรก และขยายพันธุ์ได้สำเร็จราว พ.ศ. 2444 แม้จะอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็น่าจะรู้จักดอกบัวชนิดนี้ผ่านบรรดาสิ่งพิมพ์จากโลกตะวันตกแล้ว
ภาพเรือสำเภา .. เป็นภาพเรือเดินสมุทร (Frigate) หลายลำอยู่กลางมหาสมุทร ด้านหน้ามีเรือขนาดเล็กกำลังจับวาฬ โดยมีกลุ่มคนทั้งยืน ทั้งขี่ม้ากำลังยืนชมอยู่ โดยที่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลมีแผ่นดิน ซึ่งมีเจดีย์มอญตั้งอยู่
.. เป็นการเปรียบพระพุทธเจ้าเป็นดั่ง นายสำเภา .. พระธรรมเป็นดั่ง เรือใหญ่ และพระสงฆ์เป็นดั่ง ผู้เดินทางไปถึงฝั่งดินแดนอันสำราญ โดยแสดงด้วยภาพอีกฟากทะเลซึ่งมีเจดีย์แบบมอญอยู่
.. สื่อถึงพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศพระศาสนาและหลักธรรมให้สัตว์ทั้งหลายได้ปฏิบัติตาม เพื่อจะได้เข้าถึงพระนิพพาน
.. รัชกาลที่ 4 ทรงเลือกเจดีย์มอญเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาแทนฝั่งพระนิพพาน นอกจากจะเกิดจากความเลื่อมใสของพระองค์ที่มีต่อพระสงฆ์ฝ่ายรามัญแล้ว ยังอาจสื่อถึงเขตแดนของประเทศพม่าด้วย เพื่อต้องการสื่อถึงอำนาจของอังกฤษและความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการเดินเรือ ที่ช่วยให้อังกฤษแผ่ขยายอำนาจทั้งการค้าและการเมืองมายังประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า เปรียบประดุจการเดินทางไปยังฝั่งพระนิพพานนั่นเอง
ภาพนายสารถี ผู้ฝึกม้า .. เปรียบพระพุทธเจ้าเป็นดั่ง นายสารถี ผู้ฝึกม้า พระธรรมเป็นดั่ง วิธีฝึกม้า และพระสงฆ์เป็นดั่ง ม้าที่ได้รับการฝึกดีแล้ว สื่อถึงพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมีอุบายในการแสดงพระธรรมเทศนา และการสั่งสอนให้บุคคลทั้งหลายเข้าถึงหลักธรรม
… ในภาพแสดงรูปกลุ่มทหารกำลังขี่ม้า ปรากฏภาพธงชาติเนเธอร์แลนด์ และสถานที่ในฉากหลังที่คาดว่าเป็น Hyde Park ในกรุงลอนดอน
ภาพศัลยแพทย์ .. เปรียบพระพุทธเจ้าเป็นดั่ง หมอผู้รู้ชำนาญในวิธีรักษา พระธรรมเป็นดั่ง ยาบำบัดโรค และพระสงฆ์เป็นดั่ง ผู้ป่วยที่หายจากโรค สื่อถึงพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รักษาโรค คือ ราคะ โทสะ โมหะ และกิเลสทั้งปวง ด้วยพระธรรมของพระองค์ ให้คนทั้งหลายเกิดปัญญา ได้เข้าถึงพระนิพพาน
ภาพเทพยดาผู้มีฤทธิ์ .. ภาพผนังตรงข้ามพระประธาน .. จะเห็นภาพกลุ่มเทวดากำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้าในหมู่มวลเมฆ กลางท้องฟ้ามีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ ด้านล่างเป็นเมืองในบรรยากาศมืดเพื่อแสดงถึงเมืองมืด และมีกลุ่มคนที่แต่งตัวด้วยชุดคลุมยาว มีผ้าโพกหัว มีอูฐเป็นพาหนะ
.. ภาพนี้เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนเทวดาผู้มีฤทธิ์ เหาะมาทำลายภูเขาที่ปิดล้อมเมืองและเนรมิตสะพาน เปรียบเสมือนพระธรรมพาเหล่าสรรพสัตว์ออกมาพบแสงสว่าง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดสำคัญทางพุทธศาสนาว่าด้วยการหลุดพ้นจากสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิด โดยเปรียบกับการหลุดพ้นจากเมืองมืดนั่นเอง
ภาพจาก Read the cloud
หมู่เทวดาแปรอักษร : ลายเซ็นพิสดารบนผืนผนัง .. หากสังเกตไปที่ขบวนของเหล่าเทวดาและหมู่เมฆ จะพบว่ามีการออกแบบภาพชุดนี้อย่างตั้งใจให้ออกมาเป็นตัวอักษร 2 ตัว คือ ตัว ‘ท’ และ ‘ญ’ แต่ไม่ใช่ในรูปของอักษรไทยที่เราคุ้นเคย ทว่าเป็น “อักษรอริยกะ” อักษรที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้แทนอักษรขอมนั่นเอง
‘ท’ และ ‘ญ’ ย่อมาจาก ‘ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่’ อันเป็นพระนามย่อของพระวชิรญาณภิกขุหรือ รัชกาลที่ 4 นั่นเอง สิ่งนี้เปรียบเสมือนลายเซ็นของพระองค์ท่านที่ประทับไว้บนฝาผนัง เช่นเดียวกับศิลปินในโลกตะวันตกที่เซ็นชื่อกำกับไว้ในผลงานของตัวเอง
การที่พระนามย่อของพระองค์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า .. ก็สอดคล้องกับความหมายของพระนามซึ่งแปลว่า ‘สูงเท่าฟ้า’ อีกด้วย หมู่เมฆและเทวดาที่ประกอบเป็นอักษรทั้ง 2 ตัวในฉากนี้เป็นผู้ปลดปล่อยชาวเมืองจากเมืองในความมืด จึงอาจสื่อเป็นนัยว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นำแสงสว่างมาสู่ชาวสยามด้วยก็เป็นได้
อนึ่ง การออกแบบอักษรด้วยตัวคน สิ่งของหรือทิวทัศน์นั้นอาจเป็นแรงบันดาลใจจากการประดิษฐ์ตัวอักษรในโลกตะวันตก ซึ่งมีมาแล้วตั้งแต่สมัยยุโรปยุคกลาง โดยนิยมนำมาออกแบบเป็นอักษรตัวแรกในหนังสือก็เป็นได้
ภาพจาก Internet
ภาพผู้ชี้ทาง … เปรียบพระพุทธเจ้าเป็นดั่ง ผู้ชี้ทาง พระธรรมเป็นดั่ง เส้นทางสู่ดินแดนอันสุขเกษม และพระสงฆ์เป็นดั่ง ผู้เดินทางไปถึงดินแดนนั้น สื่อถึงพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางสว่างให้แก่ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ในบทสรรเสริญพระพุทธคุณ ท่อนที่ว่า
"...ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย..."
สิ่งที่น่าสนใจในภาพนี้คือสถานที่และบุคคลที่ปรากฏ อาคารแบบตะวันตกยอดโดมนั้น มีภาพถ่ายเก่ายืนยันชัดเจนว่าเป็นภาพของอาคาร United States Capitol หรืออาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งในภาพเป็นยอดโดมดั้งเดิมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในปี ค.ศ.1855
ขณะที่บุคคลในภาพ ที่ยืนชี้ทางอยู่หน้าอนุสาวรีย์นั้น แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหาร อาจเป็นไปได้ว่าบุคคลในภาพคือ George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ผู้เป็นเสมือนผู้ชี้ทางสู่ความเจริญและมั่นคงของประเทศ
ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 : เมื่อนพเคราะห์อย่างไทยถูกแสดงใหม่ด้วยดวงดาวอย่างฝรั่ง
นอกจากภาพปริศนาธรรมที่เป็นเรื่องราวแนวใหม่สุดล้ำยุคเหนือประตูหน้าต่าง และภาพกิจของสงฆ์ระหว่างช่องหน้าต่างแล้ว บนฝาผนังเดียวกันยังมีภาพเกี่ยวกับจักรวาลด้วย แต่ไม่ใช่จักรวาลแบบไทย ๆ (ที่มีรากฐานจากอินเดีย) ที่มีโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล ... มาเป็นระบบสุริยะจักรวาลที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางตามหลักวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยดวงอาทิตย์ และดวงดาวอีก 8 ดวง รวมเป็น 9 ดวง
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล .. ภาพของดวงอาทิตย์จึงอยู่บริเวณผนังด้านหลังด้านหลังพระประธาน เป็นดวงดาวที่ส่องแสงสว่างบนท้องฟ้า (เสียดายที่ไม่มีภาพที่ถ่ายเอง เพราะไม่สามารถเดินผ่านบริเวณที่นั่งของพระสงฆ์ เพื่อผ่านไปถ่ายภาพด้านหลังพระประธานได้) โดยที่ผนังด้านหน้า (ฝั่งตรงข้ามพระประธาน) หน้ามีดวงจันทร์ เป็นดวงดาวสีขาวลอยเด่น และยังมีดวงจันทร์อีกดวงที่มีลักษณะดวงดาวที่มีด้านมืดและด้านสว่าง ตรงกับลักษณะทางกายภาพของดวงจันทร์
ภาพจาก Internet
ดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ .. น่าเสียดายว่ามีเพียงดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์เท่านั้นที่แสดงลักษณะอย่างชัดเจน โดยดาวพฤหัสบดีเป็นดาวดวงใหญ่ที่มีริ้วและมีดวงจันทร์บริวาร 4 ดวง คือ ไอโอ ยูโรปา แกนีมีด และคัลลิสโต ส่วนดาวเสาร์นั้นเป็นดาวที่มีวงแหวน โดยมีวงแหวน 2 วงที่มีช่องว่างระหว่างกัน ในขณะที่อีก 5 ดวงนั้นไม่ได้แสดงลักษณะเด่นใด ๆ ออกมา
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า ดวงดาวทั้ง 9 ดวงนี้อาจไม่ได้หมายถึงระบบสุริยจักรวาลแบบตะวันตก .. แต่อาจเป็นการที่รัชกาลที่ 4 ทรงนำความรู้ด้านดาราศาสตร์แบบตะวันตกมาผสมผสานกับความเชื่อเรื่อง ‘เทพนพเคราะห์’ ตามอย่างโหราศาสตร์ไทยซึ่งเชื่อว่ามีอยู่ 9 ดวง
.. หากเป็นเช่นนั้น นอกจากพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระพฤหัสบดี และพระเสาร์แล้ว อีก 5 ดวงที่เหลือก็น่าจะหมายถึง พระอังคาร พระพุธ พระศุกร์ พระราหู (จันทรคราส) และพระเกตุ เท่ากับว่า รัชกาลที่ 4 ได้ทรงนำความสนพระทัยในเรื่องโหราศาสตร์และดาราศาสตร์มาผสมผสานกันอย่างลงตัวและแนบเนียน
เสนาสนะอื่น ๆ นอกเขตพุทธาวาส นอกจากกุฏิสงฆ์โบราณจำนวนหลายหลังแล้ว ยังมีอีกอาคารหนึ่ง ที่ปัจจุบันใช้เป็นอาคารประกอบพิธีกรรมหลัก รวมถึงการสวดมนต์ทำวัตรด้วย อาคารนั้นคือ ศาลาอุรุพงศ์
ศาลาหลังนี้ เจ้าจอมมารดาเลื่อน ในรัชกาลที่ 5 เป็นผู้สร้างขึ้นสำหรับเป็นศาลาการเปรียญของวัด นามของศาลามาจากพระนามของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ซึ่งสิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง 15 ปี
ภายในศาลาประดิษฐาน พระพิชิตมารมัธยมพุทธกาล พระพุทธรูปโบราณที่อัญเชิญมาจากวัดหลุมดิน ราชบุรี
กุฏิสงฆ์ .. สถาปัตยกรรมแบบ เรือนปั้นหยามะนิลา
กุฏิสงฆ์อื่นๆ
วัดบรมนิวาส .. แม้จะมีสถานะเป็นพระอารามหลวง แต่ก็ไม่ใช่วัดใหญ่โตเมื่อเทียบกับพระอารามหลวงหลายแห่ง กลับแสดงถึงงานในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 การผลัดเปลี่ยนจากยุคสมัยที่ศิลปะจีนเฟื่องฟูสูงสุด สู่ยุคสมัยที่ศิลปะตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ศิลปะของไทย และยังซ่อนสัญลักษณ์มากมายที่ผ่านการคิดอย่างแยบคายแทรกเอาไว้อย่างกลมกล่อม
ด้วยความแตกต่างจากสิ่งเดิมที่มากเกินไป จะทำให้ภาพปริศนาธรรมแนวนี้ไม่ได้รับความนิยม แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความกล้าคิด กล้าทดลองของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พยายามนำเสนอและบอกเล่าให้ชาวสยามได้รับรู้ถึงโลกใหม่ ภูมิปัญญาใหม่ วิทยาการใหม่จากโลกตะวันตกผ่านเรื่องราวทางพุทธศาสนา
วัดบรมนิวาส .. ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงปฏิสังขรณ์ทั้งพระอาราม ต่อมาพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์ สิริจนฺโท) อดีตเจ้าอาวาสได้บูรณะครั้งใหญ่ ล่าสุดปี 2553 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เริ่มดำเนินโครงการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ พระเจดีย์ ศาลา กำแพงแก้ว ระเบียงคต งานซ่อมอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง และปรับปรุงภูมิทัศน์ในเขตพุทธาวาส
NOTE : “ขรัวอินโข่ง” มีนามเดิมว่า "อิน" เป็นชาวบางจาน เมืองเพชรบุรี มาบวชเป็นสามเณรที่กรุงเทพฯ แม้อายุเกินก็ไม่ยอมบวชพระ จนถูกล้อเป็นเณรโค่ง แต่ในที่สุดก็ยอมบวชเป็นพระที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ชื่ออินโข่ง จึงสันนิษฐานว่ามาจากการถูกเรียกล้อว่า “อินโค่ง” ก่อนจะเพี้ยนเป็น “โข่ง” ส่วนคำว่า “ขรัว” มาจากมีอายุพรรษาและทรงความรู้มากขึ้น ได้รับการเคารพนับถือ ซึ่งเจ้านายสมัยนั้นนิยมเรียกว่า “ขรัว” คนทั่วไปจึงเรียกพระภิกษุอินว่า “ขรัวอินโข่ง”
“ขรัวอินโข่ง” ถือเป็นช่างเขียนคนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 4 และถือเป็นช่างหัวสมัยใหม่ที่ริเริ่มนำเอาเทคนิคการวาดภาพตามหลักทัศนียะวิทยาแบบตะวันตกเข้ามาใช้ ทำให้ภาพที่ออกมามีมิติและสมจริงมากยิ่งขึ้น นอกจากผลงานที่วัดบวรนิเวศและวัดบรมนิวาสแล้ว ขรัวอินโข่งยังฝากผลงานเอาไว้อีกหลายที่ เช่น พระอุโบสถวัดมหาสมณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน หรือหอราชกรมานุสรและหอราชพงศานุสร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
หากมีโอกาส .. ควรไปชมวัดคู่ หรืออรัญวาสีคู่แฝดของ “วัดบรมนิวาส” อย่าง “วัดบวรนิเวศ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งผลงานการออกแบบชั้นเยี่ยมของรัชกาลที่ 4 ด้วยเช่นกัน แถมยังมีจุดร่วมกันหลายอย่าง ทั้งมีหน้าบันพระอุโบสถที่เป็นรูปพระมหามงกุฎ มีเจดีย์ทรงระฆังที่เข้าไปภายในได้ มีพระพุทธรูปอย่างพระพุทธชินสีห์และพระศาสดาที่อัญเชิญมาจากพิษณุโลก และมีจิตรกรรมเรื่องปริศนาธรรมและจริยวัตรสงฆ์เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากวัดบวรนิเวศมีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจและควรค่าแก่การไปชมอย่างยิ่ง
ขอบคุณเนื้อความบางส่วนจาก : The Cloud https://readthecloud.co/wat-boromniwas/
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 1 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา