7 มี.ค. 2022 เวลา 04:57 • ปรัชญา
1. เรามองว่าศรัทธาเกิดขึ้นได้ ทั้งจากคำบอกเล่าปากต่อปาก และจากการพิสูจน์ทราบหรือจากสิ่งที่แสดงออกมาให้เห็น ผ่านสายตาผู้ศรัทธา ดังนั้น "การตั้งคำถาม" จึงอยู่ที่ "สติและปัญญาของตัวผู้ศรัทธา" เอง ไม่มีใครมีอำนาจมาบังคับ การตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตนเองได้
2. จะเห็นได้ว่า กระบวนการสร้างศรัทธา หนีไม่พ้น "การสื่อสาร" ที่สามารถกระตุ้น "อารมณ์" ผ่านเครื่องเชื่อม คืออายตนะภายนอก ตาเห็นว่าช่างอ่อนโยน ผิวพรรณผุดผาด ดูเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเหลือเกิน ผู้คนจึงสรุปไปทันทีว่ามีบุญวาสนาล้นฟ้า กำเนิดมาจากสวรรค์ (ทั้งที่ความจริงอาจเพียงไปศัลยกรรม หรือปรนเปรอผิวพรรณด้วยเงินทองจำนวนมาก) หูฟังว่าวาจาไพเราะ พูดในสิ่งที่จับจิตจับใจ ดูมีการศึกษา (ทั้งที่เพียงจ้างผู้ชำนาญเขียนสคริปต์ และสอนบทบาทการแสดงต่อสาธารณะ) จมูกรับกลิ่นนี้ๆ ว่าเป็นกลิ่นผู้ดี มีบุญวาสนายิ่งใหญ่ (ทั้งที่เพียงมีเงินซื้อหาน้ำหอมน้ำปรุงอันวิเศษหายากกว่าใครในหล้า)
3. พระพุทธเจ้า ทรงสอนเรื่องดังกล่าวไว้นานกว่า 2,600 ปี และยังทรงสอนกาลามสูตร (พระสูตรอันเป็นหลักแห่งความเชื่อ ที่อาจลวงตา ลวงใจ) แต่ผู้คนนั่นเอง ที่ไม่เคยใช้ปัญญาใคร่ครวญว่า "อารมณ์" ที่เกิดขึ้นจนเกิด "ศรัทธา" นั้น ชี้นำตนไปในทิศทางใด เพื่อให้หลง เพื่อให้ใคร่ เพื่อให้เชื่อง เพื่อให้ยอมมอบกายถวายชีวิตและทรัพย์สินเงินทอง หรือเพื่อให้เกิดปัญญารู้เห็น และพิจารณาธรรมนั้นๆ โดยไม่ไปหลง ไปยึด ได้ด้วยตนเอง เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้
4. พระพุทธองค์ทรงเกิดในวรรณะกษัตริย์ ทรงสลัดทิ้งทุกอย่าง นุ่งห่มกายด้วยผ่าห่อศพคนยากไร้ ทรงอยู่ป่า และออกสั่งสอนโปรดสัตว์ และท้ายที่สุด ทรงดับขันธ์เหลือไว้เพียงเถ้ากระดูก ด้วยภาพพุทธประวัติเพียงเท่านี้ ได้แฝงนัยยะ ให้พวกเราได้รู้เห็นตามความเป็นจริงเท่านั้น
ดังนั้น ส่วนตัวเรา เราจึงไม่ยอมให้ศรัทธามาจูงจมูก โดยไร้ซึ่งการตั้งคำถาม และเราไม่เคยฟังเสียงผู้ถ่ายทอดศรัทธาที่ห้ามการตั้งคำถาม เพราะแค่การห้าม ก็บอกให้รู้แล้วว่าผู้ถ่ายทอดก็ไร้ปัญญาจริงๆ และเราก็ไม่ยอมให้ใครปั่นหัวด้วยการปลุกปั่นข้อมูลเพื่อให้เชื่อ เพื่อให้เกลียดชัง หรือเพื่อให้ก้มกราบศิโรราบก็ตาม!
2
โฆษณา