7 มี.ค. 2022 เวลา 06:32 • กีฬา
ถ้ามองจากชื่อชั้นโปรไฟล์ของนักเตะหลายๆ คนบนหน้ากระดาษ ดูเหมือนว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่น่าจะเป็นรองคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบห่างชั้นอะไรมากนัก
แต่ความจริงก็คือความจริง ไม่ใช่แค่ผลการแข่งขันนัดล่าสุดที่ออกมาเป็นเรือใบสีฟ้าไล่ต้อนผีแดงราบคาบ 4-1 เท่านั้น แต่ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกปัจจุบันบอกว่า ซิตี้มีคะแนนห่างจากยูไนเต็ดมากถึง 22 แต้ม โดยการเจอกันทั้ง 2 เกมในซีซั่นนี้ ทีมแชมป์เก่าชนะได้ด้วยรูปเกมแบบข่มกันคนละชั้นทั้ง 2 นัด แม้ฝั่งปีศาจแดงจะใช้บริการผู้จัดการทีมที่แตกต่างกันก็ตาม
แกรี่ เนวิลล์ วิเคราะห์ถึงต้นสังกัดเก่าเอาไว้หลังจบเกมนัดล่าสุดที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ว่า “มันไม่มีอะไรแตกต่างกันกับตอนที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คุมทีม และผมไม่เห็นว่าจะมีแรงฮึดกลับมาเลยในยุคของ รังนิค”
“สำหรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ ผมไม่ตำหนิอะไรเขา (รังนิค) หรอกนะ พวกคุณตั้งคำถามกันก่อนเกมว่าเขาจะคุมทีมต่อในฤดูกาลหน้าหรือเปล่า ซึ่งเขาจะไม่ใช่ผู้จัดการทีมต่อไปแน่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน”
“แต่คำถามก็คือ จะมีนักเตะคนไหนบ้างที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อจบฤดูกาลต่างหาก?”
นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สละบัลลังก์ผู้จัดการทีมไปเมื่อปี 2013 มีเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยจบฤดูกาลด้วยการมีอันดับต่ำกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
1
หลังจากป๋าเฟอร์กี้อำลาตำแหน่งนายใหญ่ไป เราได้เห็นทีมเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ อีก 6 ครั้ง แถมได้ชูโล่ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีก 3 หนด้วยกัน
แม้ แมนฯ ซิตี้ จะยังไม่มีความสำเร็จระดับแชมป์ทวีป แต่พวกเขาคือทีมเดียวจากอังกฤษที่ไม่พลาดโควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก ตลอด 1 ทศวรรษเต็มๆ ที่ผ่านมา แถมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมได้ถึง 5 ครั้งจาก 10 ปีหลัง (เข้ารอบรองชนะเลิศ 2 ครั้ง โดยปีก่อนเพิ่งเข้าชิง) ซึ่งถ้าไม่มีอะไรพลาด ซีซั่นนี้ก็คงเข้ารอบลึกๆ ได้อีก
ตัดภาพมาที่ปีศาจแดง หลังจากพ้นร่มเงาของตำนานกุนซือชาวสกอตติชเมื่อ 9 ปีก่อน พวกเขาก็ไม่ใกล้เคียงกับตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดอีกเลย
นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาล 2013-14 จนถึงตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าโทรฟี่รวมกันเพียง 5 รายการเท่านั้น โดย 2 ในนั้นคือ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่ได้จากการชนะทีมศักยภาพเป็นรอง ส่วนผลงานในเวทียุโรป ก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการไปหวังแชมป์ ยูโรปา ลีก มากกว่าจะไปให้ไกลใน UCL
ถ้าจะให้อธิบายชัดๆ ก็คือมาตรฐานสูงลิบที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่อยู่คนละระดับกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งจะมาเกิดขึ้น แต่มันคือเรื่องที่ดำเนินมานานหลายปีแล้ว
แน่นอนว่าทุกคนคงนึกถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ว่าเป็นบุคคลผู้เข้ามายกระดับเรือใบสีฟ้าให้กลายเป็นทีมที่ห่างชั้นจากคู่ปรับร่วมเมือง
แต่ผมอยากจะบอกว่าเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ยิ่งใหญ่ มันคือความทะเยอทะยาน และการวางแนวทางให้ชัดเจนตั้งแต่ฝ่ายบริหาร ที่อยากให้สโมสรพุ่งขึ้นสู่การเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาเปลี่ยนโค้ชเพื่อยกระดับและปรับสไตล์การเล่นในสนามไปสู่การครองเกมให้เหนือกว่าคู่แข่งแบบเบ็ดเสร็จและเน้นเกมรุกเต็มตัว จาก มาร์ค ฮิวจ์ส สู่ โรแบร์โต้ มันชินี่, มานูเอล เปเยกรินี่ และล่าสุดคือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พัฒนาการของ แมนฯ ซิตี้ มีแต่ขาขึ้น ซึ่งกุนซือทั้ง 3 คนหลังสุดต่างมีแชมป์ลีกติดมือ
ความยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ช่วงทศวรรษหลังไม่ได้มาจากเครดิตของ เป๊ป แค่คนเดียว
พวกเขามีอดีตนักเตะอาชีพที่เคยเล่นในลีกสูงสุดอย่าง ไบรอัน มาร์วู้ด เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางทิศทางฟุตบอลของสโมสร ก่อนเปิดทางให้บุคลากรคุณภาพอย่าง เฟร์ราน โซเรียโน่ กับ ชิกิ เบกิริสไตน์ ซึ่งเคยบริหารทีมอย่างบาร์เซโลน่า เข้ามามีบทบาทหลักในการทำงานอยู่เบื้องหลัง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
โซเรียโน่ คือซีอีโอ ส่วน เบกิริสไตน์ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการฟุตบอล พวกเขาต่างเป็นมันสมองที่ช่วยกันบริหารสโมสรให้มีทีมที่มีคุณภาพพร้อมที่สุดสำหรับให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้ใช้ไล่ล่าทุกแชมป์
ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากเทียบการทำงานของฝ่ายบริหารกับทีมเรือใบสีฟ้าในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา เหมือนกับจะปล่อยให้ผู้จัดการทีมทำงานไปแบบวางทิศทางฟุตบอลกันเองเลยก็ว่าได้ และยังไม่เจอกุนซือที่ใช่เลยสักคน
ทีมปีศาจแดงไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการเลือกกุนซือมาแทน เซอร์ อเล็กซ์ นอกจาก “หวังน้ำบ่อหน้า” และเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด
พวกเขาพยายามลองใช้บริการโค้ชหลายๆ แบบ ไม่ว่าจะเป็นกุนซือที่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน, คนที่เคยกวาดแชมป์ใหญ่มากมายในอดีต ไปจนถึงตำนานนักเตะของสโมสร ที่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรมามากพอในเส้นทางงานโค้ช
ในขณะที่ แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล มีตำแหน่งฝ่ายบริหารด้านฟุตบอลโดยเฉพาะเพื่อซัพพอร์ตเฮดโค้ชมานานแล้ว แต่ทีมปีศาจแดงไม่มีใครทำงานตรงนี้อย่างจริงจัง นอกจากเอางบประมาณมาซื้อนักเตะดังๆ แล้วหวังว่าจะมีกุนซือเทวดาสักคนมาเสกทีมให้เป็นแชมป์ ซึ่งวงการฟุตบอลทุกวันนี้ การจะประสบความสำเร็จระดับสูง มันต้องทำงานกันให้ละเอียดกว่านั้น
1
แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งจะแต่งตั้ง จอห์น เมอร์เท่อห์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฟุตบอลคนแรกของสโมสรในปี 2021 นี้เอง และกว่าที่พวกเขาจะมีบุคคลที่ “เป็นงาน” ในเรื่องการบริหารทีมฟุตบอลทำงานเบื้องหลังให้จริงๆ ก็คงต้องรอให้ ราล์ฟ รังนิค ขยับขึ้นไปนั่งตำแหน่งที่ปรึกษาในช่วงซัมเมอร์นี้นั่นแหละ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ราล์ฟ รังนิค พูดถึงเคล็ดลับผลงานยอดเยี่ยมของ แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ที่เหนือกว่าชาวบ้านเยอะมากในทุกวันนี้ไว้อย่างน่าฟัง
รังนิค บอกว่า “พวกเขามีตัวตนชัดเจนว่าอยากจะเล่นในแนวทางใด นี่คือเคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขา พวกเขารู้ชัดเจนว่าอยากเล่นกันแบบไหน จนเกิดอัตลักษณ์องค์กร นี่คือสิ่งที่สโมสรระดับท็อปทุกทีมต่างมีเหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องมีการพัฒนาที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
ถามว่าช่วงที่ผ่านมา แม้กระทั่ง ณ ตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้วางแนวทาง, ระบบ และรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนหรือเปล่า? สำหรับผมคิดว่าคำตอบคือ “ยัง”
พวกเขาหวังแค่เอาตัวรอดเก็บผลการแข่งขันไปตามสภาพเท่านั้น และมันคงต้องใช้เวลาอีกมาก กว่าจะจูนทีมกันให้ติด
1
ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เต็มไปด้วยนักเตะที่สถานะแน่นอน ว่าจะอยู่ช่วยทีมเรือใบสีฟ้าประสบความสำเร็จในทุกรายการที่ลงแข่งขัน ทุกคนต่างพร้อมที่จะถูกโรเตชั่น และทำผลงานให้ดีเมื่อได้รับโอกาส
1
แต่ทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีแค่ไม่กี่คนที่จะเป็นแบบนั้น…
พวกเขายังหวังพึ่งกองหน้าไม้ใกล้ฝั่งที่อายุรวมกัน 72 ปีอย่าง เอดินสัน คาวานี่ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งสภาพร่างกายต่างไม่พร้อมสำหรับเกมล่าสุดกันทั้งคู่
พวกเขายังใช้งานนักเตะที่ไม่รู้ว่าจะเล่นให้ทีมต่อในฤดูกาลหน้าหรือไม่อย่าง ปอล ป็อกบา ขับเคลื่อนเกม
พวกเขายังใช้มิดฟิลด์ที่แฟนบอลเรียกร้องทุกวันว่าสโมสรต้องหาคนที่ดีกว่านี้มาแทนอย่าง เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เป็นแกนหลักในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดอย่างตรงกลางสนาม
พวกเขามีกัปตันทีมที่สมาธิและความมั่นใจไม่อยู่กับร่องกับรอยอย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทำหน้าที่สำคัญในตำแหน่งที่ชี้เป็นชี้ตายผลการแข่งขันได้อย่างเซนเตอร์แบ็ก
ในขณะที่ฟูลแบ็ก 2 ฝั่งของ แมนฯ ซิตี้ ทั้ง ไคล์ วอล์คเกอร์ และ ชูเอา คันเซโล่ สามารถซัพพอร์ตเพื่อนทั้งเกมรุกและเกมรับได้อย่างลื่นไหลและมีวินัย แต่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมีศักยภาพจำกัด
อเล็กซ์ เตลลิส ไม่เก่งเกมรับ แถมฟอร์มการเล่นก็เอาแน่เอานอนไม่ได้เพราะไม่ค่อยได้เล่นต่อเนื่อง ส่วน อารอน วาน-บิสซาก้า กลายเป็นการเซ็นสัญญาแบ็กขวาที่ล้มเหลว มันชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ควรเป็นตัวจริงให้ทีมระดับนี้ และไม่ควรมีค่าตัวถึง 50 ล้านปอนด์ถ้าเก่งแค่การสกัดบอล แถมยังมาฟอร์มหลุดน่าเกลียดมากในเกมเจอแชมป์เก่าอีกต่างหาก
กองหลังที่ดูน่าไว้ใจที่สุดอย่าง ราฟาแอล วาราน กลับกลายเป็นคนที่แทบไม่เคยอยู่ช่วยอะไรทีมในเกมสำคัญซะอย่างนั้น เพราะสภาพร่างกายไม่พร้อมตลอด
วาราน ไม่ได้ลงเล่นในเกมที่แพ้ ลิเวอร์พูล 0-5, แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-2 และบุกเสมอ เชลซี 1-1 เพราะบาดเจ็บ ส่วนนัดล่าสุดอยู่ดีๆ ก็ติดโควิดไปพร้อมกับ ลุค ชอว์ จึงอดช่วยทีมไปแบบเซ็งๆ
การขาดนักเตะตัวสำคัญไปหลายคน ทำให้นี่คือครั้งแรกที่ ราล์ฟ รังนิค ใช้งานแผงแบ็กโฟร์เป็น อารอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ อเล็กซ์ เตลลิส โดยครั้งสุดท้ายที่ 4 คนนี้ลงตัวจริงพร้อมกันคือเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ ไมเคิ่ล คาร์ริค คุมทีมขัดตาทัพบุกไปชนะ บียาร์เรอัล 2-0 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน
ระบบการเล่นที่ รังนิค ใช้ในเกมบุกเยือน แมนฯ ซิตี้ คือ 4-2-4 โดยดัน บรูโน่ แฟร์นันด์ส ขึ้นไปเล่นกองหน้าคู่กับ ปอล ป็อกบา แล้วขนาบข้างด้วย แอนโธนี่ เอลังก้า ยืนทางขวา ส่วน เจดอน ซานโช่ ยังเล่นทางซ้ายต่อไป
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้จะเป็นวันที่ เมสัน กรีนวู้ด ไม่ถูกสโมสรเรียกใช้งาน, อองโตนี่ มาร์กซิยาล ถูกปล่อยให้ เซบีย่า ยืมตัว ขณะที่ คาวานี่ กับ โรนัลโด้ ไม่พร้อมลงเล่น แต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยังคงเป็นแค่ตัวสำรอง บ่งบอกชัดเจนว่าฟอร์มการเล่นของเขาในช่วงนี้ไม่สามารถทำให้ รังนิค ไว้ใจส่งลงตัวจริงได้เลย
ขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แม้จะไม่มี รูเบน ดิอาส ที่เจ็บแฮมสตริงจนต้องพักยาวไม่ต่ำกว่า 1 เดือนก็ไม่มีปัญหาในการหาคนลงแทน เพราะ จอห์น สโตนส์ ที่ลงตัวจริงเกมลีกทุกนัดซีซั่นนี้แล้วทีมชนะตลอด พร้อมจับคู่กับ อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ อยู่แล้ว
ที่น่าแปลกใจนิดหน่อยคือ 3 ประสานแนวรุก เกมนี้ เป๊ป ดร็อป ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกทุกนัดตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ไปนั่งสำรอง แล้วส่ง แจ็ค กรีลิช ออกสตาร์ทเป็นตัวรุกฝั่งซ้ายแทน
อีกคนที่โดนจับไปนั่งดูเพื่อนเล่นก่อนคือมิดฟิลด์อย่าง อิลคาย กุนโดกัน โดยเกมนี้กุนซือชาวกาตาลันส่ง ริยาด มาห์เรซ กลับมาเล่นปีกขวาตัวจริง แล้วถอย แบร์นาร์โด้ ซิลวา ลงมาเป็นตัวปั้นเกมในแดนกลาง ขณะที่ ฟิล โฟเด้น ยังรับบท ฟอลส์ ไนน์ ต่อไป
นี่ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ เป๊ป ใช้ 3 ประสานแดนหน้าเป็น มาห์เรซ-โฟเด้น-กรีลิช และมี เดอ บรอยน์-โรดรี้-แบร์นาร์โด้ เดินเกมตรงกลาง หลังจากก่อนหน้านี้เคยใช้ 6 คนนี้เล่นพร้อมกันมาแล้ว 1 ครั้ง วันที่เปิดบ้านถล่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด 7-0
ก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าพอส่ง 6 คนนี้ลงตัวจริงพร้อมกันอีกหนในเกมสำคัญอย่าง แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ เรือใบสีฟ้าจะยิงประตูได้ถล่มทลายอีกครั้ง
แมนฯ ยูไนเต็ด ลงเล่นครึ่งแรกได้ดีนะครับ ระบบ 4-2-4 ถูกจัดมาเพื่อใช้ในการดันขึ้นไปเพรสซิ่งสูงใส่ แมนฯ ซิตี้ โดยเฉพาะ
ปีก 2 ข้างอย่าง เอลังก้า กับ ซานโช่ ยืนชิดริมเส้น เพื่อรอเล่นเกมโต้กลับจากด้านข้าง และช่วยปิดการเดินเกมจากฟูลแบ็กของเจ้าถิ่นทั้ง วอล์คเกอร์ และ คันเซโล่ ไปด้วย
ผีแดงทำเซอร์ไพรส์ตรงที่กล้าขึ้นไปเล่นแดนบนสูงกว่าการเจอกับเรือใบสีฟ้าครั้งก่อนๆ หน้านี้ที่เน้นความรัดกุมมากกว่า
แต่จุดที่ทำให้เกิดข้อแตกต่างสำคัญของการที่ แมนฯ ซิตี้ จบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำ 2-1 ก็คือเจ้าถิ่นที่นักเตะมีความสามารถเฉพาะตัวสูงกว่า ต่อบอลกันได้แม่นและเร็วกว่า สลับตำแหน่งได้ดีกว่า ได้ประตูง่ายๆ จากการป้องกันอันหละหลวมของคู่แข่ง ส่วนทีมเยือนแม้จะพยายามบุกสู้ด้วยเกมเคาน์เตอร์แอทแท็ค แต่กลับทำประตูจากโอกาสที่มีอันน้อยนิดได้เพียงครั้งเดียว จากลูกยิงสุดเฉียบของ เจดอน ซานโช่
ประตู 1-0 ของซิตี้ มาจากการที่นักเตะผีแดงไล่บีบกันไม่สุด ปล่อยให้เจ้าบ้านได้ผ่านบอลกันไม่น้อยกว่า 14 จังหวะแล้วจบด้วยการสอดขึ้นมาแปโล่งๆ ของ เควิน เดอ บรอยน์ โดยที่ผู้เล่นทีมเยือนปล่อยพื้นที่ว่างในกรอบเขตโทษเยอะมากแบบไม่น่าให้อภัย
ส่วนประตู 2-1 ที่มาก่อนครบครึ่งชั่วโมงแรกของเกม ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไม่รีบตัดสินใจเคลียร์ทิ้งออกหลังในจังหวะที่ทีมสุ่มเสี่ยงจะเสียประตู แต่เลือกปล่อยบอลลอดขาจนเปิดโอกาสให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา สอดขึ้นมาแปติดบล็อคแทน นำไปสู่จังหวะเผด็จศึกไม่มีเหลือของ เดอ บรอยน์ ในที่สุด
แอนโธนี่ เอลังก้า กลายเป็นดาวรุ่งที่สอบไม่ผ่านในการเป็นตัวจริงของเกมที่ใหญ่แบบนี้ เขาคือหนึ่งในคนที่เล่นได้แย่ที่สุดของเกม และเป็นต้นเหตุแรกเริ่มของการทำเสียบอลจนนำมาสู่ประตู 2-1
แต่คนที่กลายเป็นบ่อโจมตีที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้หนีไม่พ้น อารอน วาน-บิสซาก้า เขาคือนักเตะแนวรับที่ผ่านบอลเสียบ่อยที่สุดในทีม ขึ้นเกมไม่ได้ แถมการเข้าปะทะสกัดบอลที่เป็นจุดเด่น ก็ไม่สำเร็จเลยสักครั้งในเกมนี้อีกต่างหาก
ในครึ่งหลัง ราล์ฟ รังนิค พยายามเสี่ยงเปิดเกมรุกให้มากขึ้น ด้วยการถอด เอลังก้า ที่เล่นได้แย่ กับ ปอล ป็อกบา ที่ไม่เหมาะกับเกมเร็วออกจากสนาม โดยส่ง เจสซี่ ลินการ์ด กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงสนามแทน
แต่ในครึ่งหลัง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แก้เกมไม่ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มีโอกาสตอบโต้เหมือนในครึ่งแรก โดยใช้วิธีเข้าบีบเร็วขึ้นและตัดเกมเร็วตั้งแต่ตรงกลางสนาม ส่วนตอนที่ได้บอล ก็เน้นความแน่นอนมากกว่าเดิม
รูปเกมในครึ่งหลังกลายเป็น “บอลคนละชั้น” ของจริง เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พับสนามเล่นอยู่ครั้งเดียว มีช่วงเวลาไม่น้อยกว่า 15 นาทีที่พวกเขาครองบอลเกิน 90%
และสถิติที่น่าหดหู่สำหรับทีมปีศาจแดง ก็คือ 45 นาทีหลังพวกเขาไม่มีโอกาสลุ้นประตูเลย จน เอแดร์ซอน โมราเอส มีเวลานั่งยองๆ ดูเพื่อนขึ้นไปบุกกันแบบชิลล์ๆ ด้วยซ้ำ
1
แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เล่นกันเหมือนรอคอยความผิดพลาดที่เจ้าบ้านจะเปิดโอกาสให้ แต่การเสียประตูนำห่าง 3-1 ให้ แมนฯ ซิตี้ ที่ครองเกมอย่างเบ็ดเสร็จ จากลูกเอี้ยวตัววอลเลย์แบบไม่จับของ ริยาด มาห์เรซ ที่พุ่งแฉลบ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เสียบเสา มันทำลายความหวังและความมุ่งมั่นที่จะสู้ของผีแดงในเกมนี้ทิ้งไปจนหมดสิ้น
ก่อนหน้านี้ มาห์เรซ ลงสนามพบ แมนฯ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกมา 11 นัด (นับรวมสมัยที่อยู่ เลสเตอร์ ด้วย) เขาไม่เคยยิงได้เลยนะครับ แต่เกมนี้ซัดไป 2 ประตู โดยมีโอกาสลุ้นยิงถึง 8 ครั้ง ตรงกรอบ 4 หน นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วแหละ ที่ทีมปีศาจแดงปล่อยให้เขาเล่นได้อย่างมั่นใจแบบนี้
คนเดียวที่ยังดูจะมีสมาธิในเกมที่สุด และตั้งใจช่วยทีมเต็มที่ไม่ให้ผลการแข่งขันเลวร้ายเกินไปคือนายประตูอย่าง ดาบิด เด เคอา ที่เซฟช่วยทีมไปถึง 6 ครั้ง นอกนั้นอีก 10 ตำแหน่งที่เหลือสู้กับนักเตะเอาต์ฟิลด์ของเรือใบสีฟ้าไม่ได้เลยสักคน
กองหน้าเก็บบอลไม่ได้ กองกลางเสียบอลง่าย จ่ายบอลไม่ตรง แกะเพรสซิ่งไม่ออก กองหลังหละหลวม โดนเจาะเข้าทำตลอด มันกลายเป็นเกมที่สู้กันไม่สมศักดิ์ศรีดาร์บี้แมตช์แม้แต่น้อย และจบด้วยการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้แบบโดน outclassed อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถนักเตะที่เป็นรอง แต่ความมุ่งมั่นที่จะชนะ และทัศนคติในการเล่นเพื่อทีมก็แตกต่างกันลิบลับ
นักเตะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กระหายที่จะยิงประตูเพิ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมีโอกาส เพราะพวกเขารู้ดีว่าต้องพยายามกุมความได้เปรียบในการลุ้นแชมป์เหนือ ลิเวอร์พูล ที่ไล่บี้มาแบบไม่มีพักให้ได้มากที่สุด แต่นักเตะผีแดงต่างถอดใจกันอย่างรวดเร็ว และพอได้ครองบอลในสถานการณ์โดนนำห่าง ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมัน
มีช็อตหนึ่งในครึ่งหลังที่ผีแดงได้บอลโต้กลับอยู่แล้ว แต่แทนที่ตัวสำรองอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด จะมองหา บรูโน่ ที่ว่างอยู่ทางซ้ายเพื่อจ่ายบอลให้ เขากลับก้มหน้าก้มตาเลี้ยงไปเข้ามุมที่โดนกองหลังเจ้าถิ่นบีบแย่งบอลได้
หรือจังหวะที่ เจดอน ซานโช่ ได้พาบอลลุยสวนขึ้นไปในแดนของ แมนฯ ซิตี้ แทบไม่มีนักเตะทีมเยือนช่วยกันวิ่งขึ้นไปช่วยทำทาง จังหวะนั้นมีแข้งผีแดงขึ้นไปในแดนฝั่งตรงข้ามกันแค่ 2 คน แต่นักเตะเรือใบสีฟ้าเมื่อเสียบอล ต่างช่วยกันถอยลงไปตั้งรับเพื่อเอาบอลคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด
อันที่จริง ก่อนจะแพ้ 4-1 เมื่อคืนวันอาทิตย์ แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถบุกไปชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้ 3 ครั้งติดต่อกันนับรวมทุกรายการด้วยการคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ นะครับ
ซึ่งสิ่งที่นักเตะผีแดงมีในการบุกคว้าชัยถึง เอติฮัด สเตเดี้ยม 3 หนก่อนหน้านี้ภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาวนอร์เวย์ คือเรื่องของสมาธิ และสปิริตไม่ยอมแพ้ แต่ในเกมนัดล่าสุดพวกเขาเหมือนกับว่าลงไปเล่นโดยไม่มีแรงกระตุ้นอะไรเลย
ไม่รู้มีใครคิดเหมือนผมไหม ผมรู้สึกว่าบรรดานักเตะปีศาจแดงตอนนี้เหมือนกับว่าเล่นไปวันๆ รอให้พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้รีบๆ ผ่านพ้นไปไวๆ แล้ว เพราะพวกเขายังไม่มีความหวังว่าทีมจะฟื้นกลับมาทำผลงานให้ดีขึ้นกันได้ในตอนนี้ และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฤดูกาลหน้า เจ้านายของพวกเขาคือใคร
แล้วเมื่อนักเตะยังมีทัศนคติไม่ยอมทุ่มเทเพื่อสโมสรกันแบบนี้ จะให้ไปโทษกุนซือรักษาการอย่าง ราล์ฟ รังนิค ว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรม
เอาจริงๆ การแพ้ยับเยินถึง 4-1 ไม่ใช่เรื่องที่อัปยศอะไรหรอก ในเกมฟุตบอล ผลการแข่งขันแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้ และถ้าเกิด แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปชนะได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทีมที่ดีกว่า แมนฯ ซิตี้ เช่นกัน
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เคยบุกชนะได้ 3-2 ด้วยทีเด็ดเกมโต้กลับอันแม่นยำ และความเฉียบคมของ แฮร์รี่ เคน แต่ในอีกไม่กี่วันถัดมา ไก่เดือยทองชุดเดียวกันนั่นแหละก็แพ้ทีมท้ายตารางอย่าง เบิร์นลี่ย์ ให้เห็นได้ ขณะที่ เบิร์นลี่ย์ ที่ชนะ สเปอร์ส มา ไม่กี่วันถัดมาก็โดน เชลซี ถล่มคาบ้านยับเยินให้เห็นอีก
ฟุตบอลไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ และบอลไม่ได้แข่งกันนัดเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อคุณแพ้วันนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะแพ้ไปตลอด หรือถ้าเคยชนะมาหลายๆ ครั้ง ก็ไม่ใช่ว่าจะทำแบบนั้นได้เสมอไป
ซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูล ที่สภาพทีมพิการก็โดน แมนฯ ซิตี้ ยำเละคาแอนฟิลด์ด้วยสกอร์ 1-4 เหมือนกันนี่แหละครับ ช่วงนั้นพวกเขาก็เกือบสูญสิ้นความหวังไปลุย แชมเปี้ยนส์ ลีก เช่นกัน กว่าจะกลับมาคืนฟอร์มได้ก็ช่วง 10 นัดสุดท้ายพอดี
ทุกวันนี้ไม่มีใครหรอกที่จะไปฟื้นฟอยหาตะเข็บว่าเมื่อปีที่แล้วหงส์แดงเคยโดนเรือใบต้อนขาดแบบนั้น นั่นก็เพราะพอผ่านช่วงวิกฤติมาได้ ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็กลับมามีมาตรฐานและเล่นอย่างมั่นใจจนผลงานดีอีกครั้ง
ผมอยากจะบอกว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าการแพ้ทีมจ่าฝูงแบบยับๆ 1 นัดสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือทัศนคติของนักเตะในทีม และวิธีการฟื้นฟูศรัทธาจากแฟนบอลกลับคืนมาในช่วงต่อจากนี้ต่างหาก
บางทีพวกเขาอาจจะกระตุ้นตัวเองให้กลับมาเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ แอตเลติโก มาดริด ก็ได้ ถ้าแฟนบอลคิดจะมองทีมรักกันแบบให้กำลังใจ
แต่จากสิ่งที่ได้เห็นเมื่อวันอาทิตย์ ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องถ้วยรางวัล, การติดท็อปโฟร์ หรือยกระดับไปสู้กับทีมชั้นนำให้สูสีนะครับ…
1
เอาแค่ “สมศักดิ์ศรี” โลโก้สโมสรก่อน ตอนนี้เรายังมองแทบไม่เห็นว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นแบบนั้น
#เสียบสามเหลี่ยม #รังนิค #ราล์ฟรังนิค #เป๊ป #เป๊ปกวาร์ดิโอล่า #แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ #ผีแดง #ปีศาจแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #เรือใบสีฟ้า #แมนซิตี้ #แมนฯซิตี้ #แมนเชสเตอร์ซิตี้ #แม็กไกวร์ #วานบิสซาก้า #เดอบรอยน์ #แบร์นาร์โด้ #โฟเด้น #มาห์เรซ #โรดรี้ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา