9 มี.ค. 2022 เวลา 13:30 • ประวัติศาสตร์
กรณีศึกษาจากการค้าทาสเมื่อ 300 ปีก่อน
ที่จุดจบคือคราบน้ำตาและเลือดเนื้อของทุกฝ่าย
ในยุคสมัยที่ชาติมหาอำนาจยุโรปมีความยิ่งใหญ่ และออกล่าดินแดนต่างๆ ทั่วโลกให้อยู่ภายใต้อาณัติของตัวเอง ในฐานะการเป็นเจ้าอาณานิคมต่างก็ต้องมีการจัดหาแรงงานมนุษย์มาใช้ โดยเฉพาะงานแบกหาม งานที่ต้องใช้แรงหนักๆ งานสกปรกต่างๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเจ้าอาณานิคมมักไม่ทำกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือการนำแรงงานคนที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ต่ำศักดิ์กว่ามาใช้งาน นำมาซึ่งการค้ามนุษย์เพื่อใช้เป็นแรงงานทาส ทำให้ธุรกิจค้าทาสรุ่งเรืองเฟื่องฟูในอดีต
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 หรือตั้งแต่ปี 1700-1799 ชาติยุโรปมีความมั่งคั่งจากทองคำ แร่เงิน น้ำตาล ยาสูบ และมันฝรั่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์อยู่บนทวีปใหม่ที่ค้นพบมาเมื่อ 200 ปีก่อนหน้า นั่นคือ “ดินแดนอเมริกา”
เมื่อความมั่งคั่งของสินค้าดังกล่าวเพิ่มพูนขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการรักษาและขยายฐานอำนาจของประเทศต่างๆ ด้วยการค้า และกองกำลัง
ภาษีและยุทโธปกรณ์ทหาร ถูกใช้กีดกันชาติอื่นไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับดินแดนของตน
เวลาผ่านไป ชาวยุโรปเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอเมริกามากขึ้น เนื่องจากภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ซึ่งพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญในยุคนี้คือ อ้อยและยาสูบ
การค้าเจริญเฟื่องฟู ท่ามกลางการกดขี่ของเจ้าอาณานิคม จนสุดท้าย ประชาชนในทวีปใหม่พร้อมใจกันประกาศอิสรภาพ
แต่คนพื้นเมืองจำนวนมากต้องมาเสียชีวิตลงเพราะสงคราม ที่มาพร้อมกับโรคระบาด ในขณะที่พ่อค้าชาวยุโรปต้องการแรงงานเพื่อสร้างผลผลิตเพิ่ม
และนี่จึงนำมาสู่ “การค้าทาส” ในที่สุด
โดยจุดเริ่มต้นการค้าทาส มาจากการที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสทำการแลกเปลี่ยนผ้าขนสัตว์ อาวุธปืนกับผู้ปกครองของอาณาจักรแอฟริกา เพื่อโดยมีทาสชาวแอฟริกันเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ทาสแรงงานเหล่านั้น ถูกส่งมายังอเมริกาเพื่อทำงานในไร่อ้อยของชาวสเปนและโปรตุเกส
ในเวลาเดียวกัน พ่อค้าชาวอังกฤษก็ย้ายเข้ามาตั้งรกรากในอเมริกาเพิ่มขึ้น ซึ่งมันคือแรงผลักดันให้การค้าทาสเติบโต
ย้อนกลับไปปี 1600 บริษัท รอยัลแอฟริกัน ซึ่งเป็นบริษัทค้าทาสถูกก่อตั้งขึ้นโดยราชวงศ์สจวต และพ่อค้าชาวลอนดอน
บริษัทรอยัลแอฟริกันกระจายสถานีอยู่ตามแนวชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก มีเอกสิทธิ์ผูกขาดการค้าทาส ในปี 1660 แถมยังได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพบกและกองทัพเรือ สามารถยึดเรือขนส่งทาสของพ่อค้าสัญชาติอังกฤษได้ทุกเมื่อ หากไม่ได้ขึ้นตรงกับบริษัท
รอยัลแอฟริกัน นำเข้าทาสผิวสีจากชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชลยสงครามระหว่างชนเผ่า หรือไม่ก็ถูกลักพาตัว
มีการจับมัดอย่างแน่นหนา ก่อนที่จะนำขึ้นเรืออย่างแออัด และเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นเวลานานถึง 1-2 เดือน จำนวนทาสจำนวนเกินกว่าครึ่งเสียชีวิตระหว่างทาง
แต่การค้าทาสของรอยัลแอฟริกันก็เกือบถึงจุดจบ เมื่อพลเรือเอกโรเบิร์ต โฮมส์ ถูกสั่งให้ไปโจมตี บริษัทค้าทาสผิวสีของดัตช์ในปี 1664 ซึ่งสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ จนทำให้บริษัทถูกยุบในปี 1667
ถึงกระนั้น รอยัลแอฟริกันโฉมใหม่ ก็กลับมาในปี 1672 ด้วยการรวมกิจการกับพ่อค้าชาวแกมเบีย
พวกเขาได้สิทธิ์ในดินแดนแอฟริกามากกว่าเดิม โดยสามารถจัดตั้งค่ายทหาร โรงงานผลิตอาวุธ กองกำลัง เพื่อใช้ในการจับกุมทาส ค้าทองคำ และเงินในแอฟริกาตะวันตก
รู้หรือไม่ว่าทาสที่นำเข้ามาในอเมริกาโดยบริษัทจากอังกฤษ เพิ่มขึ้นจาก 5,000 คนต่อปี ในปี 1680 เป็น 45,000 คนต่อปี ในช่วงต้นทศวรรษ 1700
รอยัลแอฟริกันค้าทาสมาจนถึงปี 1731 จากนั้นได้เปลี่ยนไปค้างาและผงทองแทน
2 ปีให้หลัง ชาติอังกฤษสถาปนาอาณานิคมอเมริกาได้ทั้งหมด 13 รัฐ ในทางตะวันออก ส่วนลึกเข้าในแผ่นดินเป็นดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศษ
การขยายอาณานิคมของทั้งสองชาติ นำมาสู่การกระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามใหญ่ที่เรียกกันว่า “สงคราม 7 ปี” ตั้งแต่ปี 1756 - 1763 มีการลากชาติอื่นเข้ามาร่วมด้วยโดยเฉพาะสเปน
ผลของสงครามคือ ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ และต้องชดใช้ด้วยดินแดนแคนาดาในกับอังกฤษ และเสียดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีให้กับสเปน
1
แม้อังกฤษจะเป็นฝ่ายชนะ แต่มันก็ต้องแลกด้วยงบประมาณมหาศาล สิ่งที่อังกฤษแก้ปัญหาในตอนนั้นคือ เก็บภาษาในดินแดนอาณานิม ตั้งแต่ภาษีน้ำตาล ไวน์ ไปจนถึงอากรแสตมป์บนหนังสือพิมพ์
ซึ่งนั่นสร้างความไม่พอใจจนชาวอาณานิคมประท้วงโดยการไม่จ่ายภาษี ถ้าหากไม่มีผู้แทนจากอาณานิคมทั้ง 13 รัฐ
และแล้วรอยร้าวเล็กๆ ก็เกิดขึ้นจากบริษัทอินเดียตะวันออก ที่ก่อตั้งขึ้นโดยอังกฤษเพื่อการค้าในชายฝั่งอินเดีย ซึ่งมีสินค้าสำคัญคือเครื่องเทศ โดยเฉพาะใบชา
ในปี 1771 กษัตริย์สเปนสวรรคต ฝรั่งเศสจึงจัดทัพมุ่งหน้ามายังสเปนที่อ่อนแอ ทางฝั่งอังกฤษที่กำลังกลัวว่าฝรั่งเศสจะยึดสเปนแล้วรวมเป็นหมาอำนาจเดียวกันได้ ซึ่งมันอาจลามมาถึงการยึดดินแดนจักรวรรดิอังกฤษ ทั้งสองมหาอำนาจยุโรปจึงประกาศสงครามต่อกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคืองบประมาณกองทัพอันมหาศาล อังกฤษได้มีการกู้เงินมากมายในรูปแบบพันธบัตร ทำให้เกิดหนี้สินในชาติมโหราฬ
พวกเขาแก้ปัญหาโดยการก่อตั้ง South Sea Company โดยมีไอเดียคือให้เจ้าหนี้อังกฤษเปลี่ยนหนี้ที่รัฐบาลค้างไว้มาเป็นหุ้นของบริษัทแทนได้
แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือหายนะอันใหญ่ยิ่ง
South Sea Company ได้รับสัมปทานการผูกขาดการค้าทั้งหมดในแถบมหาสมุทรแอตแลนติกทางอเมริกาใต้
ซึ่งการค้าหลักๆ คือ การค้าฝ้ายและค้าทาส
แต่บริษัทก็ไม่ได้เติบโตรุ่งเรืองเท่าที่ควร ทว่าราคาหุ้นกลับไต่ระดับจาก 10 ปอนด์ ไปถึง 1,000 ปอนด์ในเวลาไม่กี่ปี มันคือฟองสบู่ที่กำลังหลอกสายตานักลงทุน
1
จึงเป็นจุดสนใจต่อสายตาชนชั้นสูง หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังอย่าง ไอแซค นิวตัน ก็ยอมทุ่มเงินเก็บมาลงทุนกับ South Sea นับร้อยล้านบาท
เมื่อคนวงในเห็นว่าบริษัทไม่เติบโตเท่าที่ควร แต่ราคาหุ้นกลับสวนทาง แถมยังเป็นจุดที่สร้างกำไรได้อย่างมหาศาล พวกเขาเหล่านั้นจึงพากันเทหุ้นออกกันอย่างลับๆ
แต่ช้างตายทั้งตัว ก็ไม่อาจเอาใบบัวมาปิดได้ เพราะต่อมาได้มีการเผยผลประกอบการบริษัทอย่าง ซึ่งขาดทุนอย่างมหาศาล
จนในที่สุดบริษัทค้าทาสแห่งนี้ ถึงกาลอวสานลงในปี 1720 หรือถือกำเนิดมาแค่ 9 ปีเท่านั้น
อีกหนึ่งกรณีศึกษาของบริษัทที่ใช้ทาสเป็นแรงงาน
ในปี 1773 บริษัทอินเดียตะวันออกกำลังประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก ใบชาที่ค้างสต็อกกว่า 18 ล้านปอนด์ไม่มีการส่งออก จนต้องมีการปรับลดภาษีใบชา ทำให้ใบชาอังกฤษราคาถูกกว่าอาณานิคมอเมริกา
ผลกระทบลามไปถึงพ่อค้าเมืองบอสตัน สิ่งที่ตามมาคือการแก้เผ็ดโดยชาวบอสตันปลอมเป็นทาสอินเดียนแดง ลักลอบขึ้นเรือบรรทุกใบชาของอังกฤษ แล้วทิ้งใบชาทั้งหมดลงทะเล ซึ่งมันถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่า “งานเลี้ยงใบชา”
อังกฤษสั่งปิดท่าเรือบอสตัน และนี่เป็นโอกาสให้ตัวแทนทั้ง 13 รัฐอาณานิคม จัดประชุมสภาภาคพื้นทวีปเป็นครั้งแรกที่ฟิลาเดลเฟีย ในปี 1774
ผลของการประชุม คือคว่ำบาตรอังกฤษจากสินค้าทั่วทุกประเภท ซึ่งเบื้องหลังของการคว่ำบาตรคือการสะสมอาวุธปืน และกองกำลังเพื่อต่อกรกับอังกฤษ
วันที่ 4 กรกฎาคม 1776 มีการจัดประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปอีกครั้ง โทมัส เจฟเฟอร์สัน ร่างคำประกาศอิสรภาพ มีใจความว่า..
“ทั้ง 13 อาณานิคม ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรววรดิอังกฤษอีกต่อไป”
สงครามเริ่มขึ้นแล้ว และมันกินเวลาไป 7 ปี จนต่างฝ่ายต่างอ่อนแอ และอังกฤษยอมรับเอกราชของสหรัฐอเมริกา ในปี 1873
โลกเกิดแผ่นดินแห่งอิสรภาพแห่งใหม่ ที่พร้อมให้ใครต่อใครสร้างชีวิตด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ดี จากตัวอย่างของการค้าทาสในอดีต มันคือหน้าประวัติศาสตร์ที่บอกกับมนุษย์ในยุคหลังว่า ไม่มีสิ่งใดที่มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย
ประวัติศาสตร์ไม่ได้จารึกให้ซ้ำรอยคราบน้ำตาและเลือดเนื้อ แต่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ให้มนุษย์ไม่ย่างกรายกับสิ้งเหล่านั้น
ซึ่งมัน..ช่วยให้ก้าวต่อไปของอารยธรรมเจริญงอกงามในแบบที่มันควรจะเป็น
╔═══════════╗
ไม่พลาดบทความสาระดีๆ ที่ Reporter Journey ตั้งใจสร้างสรรเพื่อผู้ติดตามทุกท่าน อย่าลืมกดติดตามเพจ ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
╚═══════════╝
.
ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
โฆษณา