11 มี.ค. 2022 เวลา 06:42 • ไลฟ์สไตล์
เอาเป็นว่าผมขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังนิดหนึ่ง ซึ่งมันน่าจะเกี่ยวข้องกับคำถามนี้บ้าง
2
ผมเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งแถวเมืองเอก โดยอาศัยเงินและน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ซึ่งรับราชการทั้งคู่ ความหวังที่ท่านต้องการคืออยากเห็นลูกประสบความสำเร็จ เป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัว มีการมีงานที่ดีทำ เพื่อจะได้มีอนาคตที่สดใสและมั่นคงในภายภาคหน้า
แต่ผมมีสันดานอย่างหนึ่งคือ นอกจากใจร้อนมากแล้ว ได้ยินใครพูดผิดหูไม่ได้ ถึงจะรับฟังความคิดเห็นจากคนอื่น แต่.. .ความคิดกูต้องมาก่อนเสมอ ใครไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้องคุยกัน
มันทำให้ผมเปลี่ยนงานบ่อย แม้งานที่ทำอยู่นั้นเป็นงานที่ค่าตอบแทนค่อนข้างดี ถ้ามีความมานะอดทน ไม่เกิน 7-8 ปี ขวนขวายเรียนปริญญาโทเพิ่ม ก็น่าจะไต่เต้าเป็นผู้บริหารได้ไม่ยาก
แต่ความที่เอาแต่ใจตัวเอง และอีโก้สูงมาก นานวันเข้าแทนที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า ถึงจะไม่ถอยหลัง แต่มันก็ย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้เดินออกมาจากจุดเดิมแม้แต่ก้าวเดียว
เพื่อนฝูงทุกคนมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต บางคนเริ่มแต่งงานวางแผนมีครอบครัว บางคนมีเงินเก็บจากการทำงาน ก็เริ่มนำไปลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยจุดประสงค์ว่าวันหนึ่งข้างหน้า กูจะต้องไม่เป็นขี้ข้าใคร
ในขณะที่ผมยังต้องเกาะพ่อแม่กินอยู่ เหมือนเด็กเลี้ยงไม่โตสักที แม้ช่วงหลัง ๆ ผู้เป็นแม่เริ่มร้อนรนทนไม่ไหว นำผมไปฝากให้ทำงานในตำแหน่งที่นั่งแต่ในออฟฟิศ โดยที่หลายงานไม่ได้ตรงกับสายที่เรียนจบมา กับคนที่รู้จักกันรวมถึงบรรดาญาติที่เขามีกิจการใหญ่โต
สุดท้าย ผลลัพธ์ก็ออกมาแบบเดิม ๆ ซ้ำร้ายกว่าเก่า บางงานถึงกับลงไม้ลงมือจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล พาลให้พ่อแม่ต้องเป็นทุกข์อีก เหตุผลเพราะใจร้อน และอีโก้สูงไม่พอ ยังทะลึ่งกลายเป็นคนสนิทกับเจ้าของกิจการเสียอย่างนั้น ใครก็เลยแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้
ลงเอยด้วยการที่แม่ของผมและผู้มีพระคุณของผมคนหนึ่งที่ผมกล้าเรียกแม่อีกคน (ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว) มาขอร้องให้บวช เพราะแกไม่มีครอบครัวและไม่มีลูก รวมทั้งอยากให้พระพุทธศาสนา ได้ช่วยกล่อมเกลาด้านมืดของผมให้เจือจางลงบ้าง
บทสรุป ผมใช้เวลาบวชอยู่นานถึง 4 ปี (พ.ศ. 2554 - 2557) ก่อนจะลาสิกขา ซึ่งก่อนหน้าที่จะบวช ผมย่ำอยู่กับที่เกือบสิบปีโดยที่ในเวลานี้ เพื่อนผมบางคนเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดกลาง จนถึงขนาดใหญ่ไปแล้ว บางคนเป็นผู้บริหารในองค์กรที่ตัวเองเริ่มจากการเป็นพนักงานทั่วไป บางคนได้ดิบได้ดีในสายงานราชการ มีอนาคตที่มั่นคงและมั่งคั่งเมื่อถึงวันเกษียณ
สิ่งที่ผมอยากบอกคุณ คือ ให้นึกถึงผู้ที่ส่งเสียให้เราเรียนจนจบ เงินที่นำมาส่งเสียคุณเรียนนั้นต้องแลกด้วยอะไรมา แต่ถ้าคุณส่งเสียตัวเอง งั้นคุณก็ไม่ต้องแคร์
2
นึกถึงค่าใช้จ่าย ความยากลำบากกว่าจะได้ทำงาน ต้องแข่งขันกับอีกกี่คน ต้องลุ้นตัวโก่งขนาดไหน แต่ถ้าคุณมีเส้นสายเข้าไป งั้นคุณก็ไม่ต้องแคร์
นึกถึงวันนี้ในอีก 10 หรือ 15 ปีข้างหน้า เราจะพาตัวเองไปอยู่ตรงไหน จะมีเงินเก็บพอที่จะเอาไปลงทุนอะไรสักอย่าง เพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณหรือเปล่า แต่ถ้าคุณมีสปอนเซอร์ มีนายทุน หรือคิดว่าลูกหลานจะเลี้ยงดู งั้นคุณก็ไม่ต้องแคร์
คำตอบของผมอาจจะยาวไปสักหน่อย แต่คงพอจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ.. .
โฆษณา