12 มี.ค. 2022 เวลา 10:18 • ไลฟ์สไตล์
“ทีแรกก็เห็นแค่ว่ามันไม่ใช่ตัวเรา
ต่อไปก็เห็นลึกซึ้งลงไปมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นตัวทุกข์
พอเห็นถึงตัวทุกข์นี่มันจะปล่อยวาง”
“ … เรามาเฝ้ารู้ลงในขันธ์ 5
ทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สัญญานี่หลวงพ่อเว้นไว้ก่อน มันยาก
ที่จริงมันไม่ยากหรอกถ้าภาวนา
อย่างเรานั่งๆ อยู่ดีๆ ไม่ได้คิดไม่ได้นึกอะไรเลย
นั่งของเราพุทโธๆ ของเราสบายๆ
คิดพุทโธอยู่อย่างเดียว
อยู่ๆ หน้าของคนๆ หนึ่งโผล่ขึ้นมา
หน้าของคนนี้โผล่ขึ้นมา
มันผุดขึ้นมาเองเราไม่ได้เจตนา
พอมันผุดขึ้นมาเราก็จำได้นี่ศัตรูเรา
โทสะก็เกิดสังขารทำงานต่อ
สัญญามันผุดขึ้นมา สังขารก็ผุดขึ้นมา
หรือเวทนามันเกิดขึ้นมา สังขารมันก็ผุดขึ้นมา
สัญญากับเวทนานั่นล่ะ
มันเลยเป็นตัวที่ทำให้สังขารมันทำงานขึ้นมา
เลยมีชื่อว่า จิตตสังขาร
สิ่งที่เรียกว่า จิตตสังขาร
สิ่งที่มาปรุงจิต ก็คือ ตัวสัญญากับเวทนา
สิ่งที่ปรุงกาย คือ ลมหายใจ
ถ้าไม่หายใจแล้วร่างกายนี้ก็หยุดทำงาน ก็แตกสลาย
เฝ้ารู้ลงไป สุดท้ายก็จะเห็นเลยว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วดับไป
มีแล้วก็หายไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
ถ้าเราเห็นอย่างนี้ เห็น ไม่ใช่คิด
ถ้าใจเราประจักษ์แจ้งความจริงอันนี้
นี่คือภูมิธรรมของพระโสดาบัน ขั้นที่หนึ่ง
นี่คือพระโสดาบัน
1
ถัดจากนั้นก็ภาวนาต่อไปอีก
จนกระทั่งเรารู้เลยกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
มันเป็นของโลก
แล้วดูเรื่อยๆ ไปต่อไปมันจะรู้
กายนี้คือตัวทุกข์ มันทุกข์เพราะไม่เที่ยง
ทุกข์เพราะถูกบีบคั้น
ทุกข์เพราะไม่อยู่ในอำนาจควบคุมบังคับ
สั่งไม่ให้แก่ก็ไม่ได้ สั่งไม่ให้เจ็บก็ไม่ได้
สั่งไม่ให้ตายก็ไม่ได้
รู้ความจริงกายนี้เป็นทุกข์จริงๆ
ไม่ใช่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
ถ้าเห็นอย่างนี้เป็นภูมิของพระอนาคามี
สุดท้ายการปฏิบัติมันจะตะลุมบอนลงที่จิต
ขั้นต้นเราเห็นแล้วจิตไม่ใช่เราหรอก
แล้วต่อไปก็จะเห็นเลยจิตนั้นคือตัวทุกข์
เห็นไหมมันมาลงที่ตัวทุกข์
เห็นกายเป็นตัวทุกข์ จิตก็จะปล่อยวางกาย
เพราะเรื่องอะไรจะไปอุ้มตัวทุกข์เอาไว้
เห็นจิตเป็นตัวทุกข์มันก็ปล่อยวางจิต
เรื่องอะไรมันจะไปอุ้มตัวทุกข์เอาไว้
เพราะฉะนั้นการเห็นทุกข์นั่นล่ะถึงจะปล่อยวางได้
ไม่เห็นทุกข์ไม่ปล่อยหรอก
1
อย่างถ้าเรานั่งสมาธิ จิตมีแต่ความสุข
ถามว่าจะปล่อยวางได้ไหม ไม่ได้หรอก
ปล่อยไม่ได้หรอก
หรือบางทีภาวนา
ภาวนาไปคิดว่าภูมิธรรมเราเต็มที่แล้ว
แต่ว่ายังห่วงจิตอยู่ กลัวจิตจะฟุ้งซ่าน
ก็ประคองจิตอยู่ในรูปฌาน อรูปฌาน
ทรงอยู่อย่างนี้ตลอดเลย
จิตก็มีแต่ความสงบอยู่อย่างนั้น วิเวก
ดูดีทุกสิ่งทุกอย่างเลย
แต่ว่ามันยังติดอยู่ ยังติด ยังมีความหวงอยู่
อยากให้จิตนี้มันดีตลอด
ให้มันเห็นแต่ความว่างตลอดเลย
ตัวนี้ยังไม่พ้นขั้นสุดท้าย
หลวงปู่ดูลย์ท่านถึงบอกว่า
“นักปฏิบัติส่วนใหญ่ กระทั่งระดับครูบาอาจารย์
ส่วนใหญ่เป็นผีใหญ่”
คือเป็นพระอนาคามี
ปล่อยวางจิตไม่ได้จริง หวงจิต
กลัวจิตจะไม่ดีก็ประคองจิตเอาไว้อย่างนั้น
หรือฝึกจิตให้ทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา
ทรงฌานอยู่ตลอดเวลา
ทำไมต้องไปทรงไว้ตลอดเวลา
ก็ยังรักมันอยู่ กลัวมันไม่ดี
ค่อยๆ เรียนค่อยๆ ฝึกไป
แล้วใจเราจะค่อยๆ พัฒนา
ขั้นแรกเอาที่หลวงพ่อบอกนั่นล่ะ
คอยรู้สึกลงในกาย ในเวทนา ในสังขาร ในจิต
ดูไปเรื่อยเห็นแต่ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ดูไปอย่างนี้ล่ะ
1
ถ้าได้พระโสดาบันแล้ว ที่เหลืออย่างไรมันก็มาเอง
เป็นปุถุชนมันก็เป็นไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะภาวนาจนได้พระโสดาบัน
แต่พอเป็นพระโสดาบันแล้ว
อย่างไรวันหนึ่งก็ต้องเป็นพระอรหันต์
ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นหรอก อย่างไรก็ต้องจบ
เพราะฉะนั้นตรงการเป็นพระโสดาบันสำคัญที่สุดเลย
ถ้าตัวนี้ไม่ผ่าน โอกาสที่จะไปสูงกว่านั้นมันไม่มี
แต่ถ้าตัวนี้ผ่านแล้ว
อย่างไรก็ต้องจบจนได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
ฉะนั้นตัวนี้สำคัญที่สุด
การเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจ
เรามีสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม
มีปัญญาเข้าใจความเป็นจริงของรูปธรรมนามธรรม
ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จะเข้าใจได้จิตต้องตั้งมั่น มีสมาธิที่ถูกต้อง
จิตเป็นแค่คนดู ร่างกายนี้ถูกดู จิตเป็นคนดู
อย่างนี้เรียกเรามีจิตตั้งมั่น
1
พอเห็นความจริง กายนี้คือทุกข์
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นทุกข์
มันจะค่อยๆ ปล่อย ปล่อยเป็นลำดับๆ ไป
ปล่อยกายก่อนเพราะมันหยาบมันดูง่าย
แล้วสุดท้ายมันก็ไปปล่อยจิตอีกทีหนึ่ง
ฉะนั้นตอนนี้นั่งอยู่รู้สึกไหม
สังเกตไหมตอนที่ฟังหลวงพ่อเทศน์
นั่งอยู่ไม่รู้สึก รู้สึกไหม นึกได้หรือยัง
ตอนที่นั่งฟังหลวงพ่อเทศน์ นั่งอยู่ก็ไม่รู้หรอก
เพราะอะไร จิตมันสนใจที่จะฟัง
ขณะนั้นจิตมันสนใจที่จะฟัง
มันไม่สนใจที่จะรู้ว่าร่างกายกำลังนั่ง
มันรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้อย่ามัวแต่สนใจสิ่งอื่น
ให้สนใจตัวเองไว้
ร่างกายหายใจออกรู้สึก
ร่างกายหายใจเข้ารู้สึก
ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก
ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่งรู้สึกไป
1
เช่น ยิ้มรู้สึก หน้าบึ้งรู้สึกไว้ รู้สึกไป
รู้ไปเรื่อยๆ เราก็เห็นไตรลักษณ์
ทีแรกก็เห็นแค่ว่ามันไม่ใช่ตัวเรา
ต่อไปก็เห็นลึกซึ้งลงไปมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นตัวทุกข์
พอเห็นถึงตัวทุกข์นี่มันจะปล่อยวาง. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
5 มีนาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา