Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
12 มี.ค. 2022 เวลา 11:15 • ประวัติศาสตร์
“การค้าทาส (Slave Trade)”
เมื่อพูดถึง “ทาส” หลายคนอาจจะนึกถึงทาสจากแอฟริกา
แต่อันที่จริง ย้อนกลับไปในสมัยโบราณ สมัยยุคกลาง ทาสนั้นไม่ได้มีเพียงทาสจากแอฟริกา หากแต่สามารถเป็นคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว หรือชาติพันธุ์
และประวัติศาสตร์ของทาสก็มีมานานนับพันปีแล้ว
อาจจะเรียกได้ว่าในยุคกลาง ไม่มีสังคมไหนที่ปราศจากทาส
ดินแดนของชาวคริสต์ก็มีทาสมุสลิม ชาวอาหรับก็ได้จับชาวแอฟริกา ยุโรป และอินเดีย เป็นทาส ส่วนชาวไวกิ้งก็จับทุกคนที่พบมาเป็นทาส
การที่แต่ละดินแดนจะได้ทาสนั้น ก็ได้มาจากการค้า หรือไม่ก็จากการบุกรุก ยึดครองดินแดนอื่น ซึ่งถึงแม้ในยุคนั้น การเดินทางอาจจะไม่สะดวกสบายนัก หากแต่การค้าทาสก็แพร่กระจายไปทั่วโลก
ทาสชาวฟินแลนด์จะถูกขายให้อาหรับ ส่วนทาสแอฟริกาก็จะถูกขายให้ชาวรัสเซียในมอสโคว รวมทั้งรัฐอิสลาม ส่วนทาสชาวอาหรับ ก็ถูกขายให้อาณาจักรแอฟริกาตะวันตก
1
ทางด้านจีน จักรพรรดิจีนก็ได้ทรงซื้อทาสจากตลาดค้าทาสในยุโรป หรือไม่ก็ทรงสนับสนุนเหล่าโจรสลัด ซึ่งทำการจับผู้คนจากเกาหลี ญี่ปุ่น อ่าวเปอร์เซีย และอินโดนีเซีย นำผู้คนจากดินแดนเหล่านี้มาเป็นทาส
ตลาดหลักๆ ของการซื้อขายทาสคือจักรวรรดิไบแซนไทน์และรัฐอิสลาม และในสมัยศตวรรษที่ 11 กองทัพอิสลามได้บุกอินเดีย และทำการจับชาวอินเดียนับแสนเป็นทาส
ที่น่ากล่าวถึงคือชาวไวกิ้ง (Viking)
ชาวไวกิ้ง คือชาวสแกนดิเนเวียที่ทำการรุกรานดินแดนต่างๆ ทั่วยุโรปในสมัยศตวรรษที่ 8-12
2
เมื่อทำการรุกรานดินแดนใด ชาวไวกิ้งจะทำการลักพาตัวผู้คนในดินแดนนั้น และนำไปขายต่อในตลาดค้าทาส ซึ่งธุรกิจค้าทาส เป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรได้เป็นอันมากจนอาจจะเรียกได้ว่า เศรษฐกิจของชาวไวกิ้ง หลักๆ มาจากการค้าทาสก็ว่าได้
1
ทาสของชาวไวกิ้งถูกขายไปทั่วเมดิเตอเรเนียน ไปจนถึงแบกแดด โดยแหล่งในการหาทาสที่สำคัญของชาวไวกิ้ง ก็คือบริติชไอลส์ (British Isles)
บริติชไอลส์ (British Isles)
ทางด้านพ่อค้าจากเวนิสและเจนัว ต่างก็หาซื้อทาสจากยุโรปตะวันออก และนำไปขายต่อที่อิตาลีและแอฟริกาเหนือ แต่เวนิสและเจนัวต่างก็สูญเสียความรุ่งเรืองในธุรกิจค้าทาส เมื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลล่มสลายเมื่อปีค.ศ.1453 (พ.ศ.1996)
หากแต่ประสบการณ์ด้านการค้าทาสในอดีตที่ผ่านมา ก็ทำให้เกิดการค้าทาสที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือ “การค้าทาสข้ามแอตแลนติก (Atlantic Slave Trade)” ซึ่งเป็นการค้าทาสครั้งมโหฬารในประวัติศาสตร์
ทาสที่เป็นที่ต้องการและทำราคาได้ดีที่สุด คือเด็กและสตรีที่มีผลบลอนด์ ตาสีฟ้า โดยทาสที่มีผมบลอนด์สามารถเรียกราคาได้สูงลิ่วในเอเชียและเมดิเตอเรเนียน โดยทาสหญิงที่มีผมบลอนด์ ถือเป็นของหายากและสามารถเรียกราคาได้สูง แม้แต่ท่านข่านจากมองโกล ก็ยังมีคำสั่งซื้อทาสเด็กชาวฟินแลนด์
2
ทาสเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถูกจับมาจากทางเหนือของฟินแลนด์ โดยขุนศึกจากนอฟโกรอด ประเทศรัสเซีย ได้ทำเงินมหาศาลจากการจับทาสจากฟินแลนด์และนำมาขาย และที่ไครเมีย ทาสหญิงผมบลอนด์จากฟินแลนด์ สามารถขายต่อโดยทำกำไรได้ 130,000%
1
เหตุผลที่ทาสหญิงชาวฟินแลนด์เป็นที่ต้องการมาก ไม่เพียงแค่เพราะว่าผิวที่ขาวและผมสีบลอนด์เท่านั้น แต่ทาสเหล่านี้ยังเป็นชาวเพเกิน ไม่ได้เป็นทั้งชาวคริสต์หรือมุสลิม ทำให้เป็นที่ยอมรับในตลาดค้าทาสทุกแห่งในยุคกลาง
2
และเหล่าทาสชาวฟินแลนด์นี้เอง คือส่วนหนึ่งของการค้าทาสที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ นั่นคือ “การค้าทาสข้ามทะเลดำ (Black Sea slave trade)”
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13-กลางศตวรรษที่ 18 มีทาสกว่า 6.5 ล้านคนถูกส่งผ่านทะเลดำ ทำให้การค้าทาสข้ามทะเลดำมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง เป็นรองเพียงการค้าทาสข้ามแอตแลนติกเท่านั้น
1
ทาสจากที่ราบในยูเครนและรัสเซียขึ้นไปจนถึงฟินแลนด์ ต่างถูกนำไปขายในอิสตันบูล อิตาลี และประเทศแถบอาหรับ รวมไปถึงเอเชียกลางและอินเดีย
ทาสกว่า 80% คือผู้หญิงอายุระหว่าง 8-24 ปี โดยทาสเหล่านี้ หลักๆ คือคอยบริการด้านต่างๆ รวมถึงคอยให้บริการทางเพศ
ในทุกๆ ปี กองทัพทหารม้ากว่า 3,000 นายจะเข้ารุกรานที่ราบต่างๆ เพื่อจับคนเป็นทาส โดยที่ราบเหล่านี้ คือพื้นที่เปิดกว้าง ลากยาวตั้งแต่เอเชียตะวันออก ไปจนถึงโปแลนด์และฮังการี
เหล่าเด็กๆ และผู้ชายสูงวัยจะถูกฆ่าทันทีเนื่องจากไม่มีประโยชน์ และไม่สามารถเดินได้รวดเร็ว ซึ่งการเดินทางเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรจากดินแดนของตนไปยังตลาดค้าทาส ก็ทำให้ทาสหลายคนทนไม่ไหว และเสียชีวิตไประหว่างทาง
2
เชื่อกันว่าการออกล่าทาสเป็นเวลานับร้อยปี ทำให้เศรษฐกิจของยุโรปตะวันออกและรัสเซียอ่อนแอลง หากนำไปเทียบกับยุโรปตะวันตก
1
หนึ่งในตลาดค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง คือตลาดค้าทาสในอาหรับ
2
ชาวอาหรับได้จับทาสหรือซื้อทาสเป็นจำนวนมากเท่าที่จะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นทาสจากยุโรป แอฟริกา และอินเดีย
ระหว่างศตวรรษที่ 9-18 อาหรับได้นำเข้าทาสจากแอฟริกาตะวันออกกว่าหนึ่งล้านคน
ต่อมา เมื่อเวลาผ่านไป ระบบทาสก็ได้เริ่มเสื่อมลง แต่ก็ยังไม่ได้หายไปซะทีเดียว
ได้เกิดบุคคลกลุ่มใหม่ขึ้นมา นั่นคือ “ข้าแผ่นดิน” หรือ “ทาสติดที่ดิน (Serfs)”
เหล่าทาสติดที่ดินต้องทำงานในไร่ของผู้เป็นนายโดยไม่สามารถลาออกได้ และยังไม่มีสิทธิถือครองอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ลูกๆ ของตนก็ต้องเป็นทาสติดที่ดินเช่นกัน
อาจจะกล่าวได้ว่าทาสนั้นไม่ได้หมดไป เพียงแต่เปลี่ยนรูปเท่านั้น
นี่ก็เป็นประวัติคร่าวๆ ของทาสในสมัยโบราณครับ
References:
https://historyofyesterday.com/medieval-slave-trade-410725bf9ffe
https://www.sciencedaily.com/releases/2014/04/140415084148.htm
https://www.medievalists.net/2014/04/medieval-slave-traders-go-finland/
https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/0144039X.2019.1592976
1
37 บันทึก
38
3
16
37
38
3
16
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย