10 วิธีคิดการจัดการปัญหาแบบคนที่ประสบความสำเร็จ
คนที่ประสบความสำเร็จมักมีเบื้องหลังเป็นหัวใจที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่เสมอ เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีหนทางโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ต้องพบบททดสอบจิตใจกันมาไม่น้อย ลองมาค้นหากันว่า พวกเขามีจุดร่วมแนวคิดที่โดดเด่นข้อไหนบ้าง จึงปีนป่ายสู่ความสำเร็จ
10 วิธีคิดการจัดการปัญหาแบบคนที่ประสบความสำเร็จ
1. ไม่โทษโชคชะตา เพราะชีวิตสร้างเองได้
หลายคนที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวมีพร้อม แต่ใช้ความไม่มีหรือขาดแคลนเป็นแรงขับสู่ความสำเร็จ ไม่เกรงกลัวต่อความล้มเหลว เพราะต้นทุนมาจากศูนย์อยู่แล้ว ดังนั้นจะล้มลุกคลุกคลานกี่ครั้งก็ไม่เคยท้อ และพร้อมลุกขึ้นมาใหม่เสมอ แม้วันหนึ่งจะประสบความสำเร็จแล้ว และต้องผิดพลาดอีกก็ตาม
2.เห็นความต่างและมองโลกอนาคตออก
ความแตกต่างย่อมสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น โดยมองจุดอ่อนหรือข้อจำกัดจากที่มีอยู่ ไปต่อยอดหรือพัฒนาให้ดีขึ้น หรือมองการณ์ไกลถึงอนาคตว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นหรือมีผลกระทบกับคนหมู่มาก เช่น โปรแกรมสนทนาอย่าง Line คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่เห็นข้อจำกัดของโทรศัพท์ที่ใช้ไม่ได้ เมื่อตอนที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิปี พ.ศ. 2554
3. มองภาพใหญ่แต่ไม่ลืมลงรายละเอียด
ภาพใหญ่คือเป้าหมายที่เห็นเด่นชัด ถ้ามีสิ่งนี้ยึดโยงไว้จะไม่หลุดโฟกัสง่ายๆ ขณะเดียวกัน ก็พร้อมเรียนรู้จังหวะชีวิตที่แตกต่าง ช่วงเวลาไหนควรใช้วิธีใดบริหารจัดการ หรือใช้คนแบบไหนให้ถูกกับงาน
4. วางกลยุทธ์และมีแผนรับความเสี่ยงทุกเมื่อ
คิดแผนงานมากกว่าหนึ่งทางเสมอ เผื่อโอกาสผิดแผนที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ อกกแบบแผนบริหารความเสี่ยงไว้หลายวิธี ตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง หรือแม้แต่ปลายทาง เพื่อยับยั้งไม่ให้ปัญหาขยายใหญ่กว่าที่ควร หรือถึงเวลาปัญหามาจริง จะทำให้เห็นชัดเจนว่า จุดไหนที่สามารถพุ่งเป้าไปแก้ไขได้ตรงจุดทันที
5. หนังสือยังช่วยเปิดโลกกว้างเสมอ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกไม่ว่าจะเป็น วอร์เรน บัพเฟต ยังต้องอ่านหนังสือให้ได้วันละ 500 หน้า บิล เกตส์ ยังพกหนังสือติดตัวตลอดเพื่ออ่านหนังสือให้ได้ 1 เล่มต่อสัปดาห์ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ตั้งเป้าอ่านเดือนละ 2 เล่ม เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยเปิดโลกกว้างที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นชิน แต่สุดท้ายก็นำมาสู่การเชื่อมโยงหรือได้ไอเดียใหม่มาสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้นเสมอ
6. รับฟัง สังเคราะห์ นิ่ง และพูดเมื่อถึงเวลา
คุณสมบัติที่มักได้ใจลูกน้องคือ การเปิดใจรับฟัง เมื่อฟังแล้วคิดไตร่ตรองว่าอะไรคือปัญหา สังเคราะห์และแยกแยะว่าอะไรควรแก้หรือนิ่งเฉย แล้วใช้จิตวิทยาในการจัดการ โดยที่รู้จักอดทนต่อสถานการณ์ที่คลุมเครือหรือไม่ชัดเจน เพื่อให้เวลาหรือกฎธรรมชาติเป็นตัวจัดการ แล้วเลือกที่จะคิดก่อนพูดหรือพูดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
7. ให้ความสำคัญเรื่องคน
คนเหล่านี้ ไม่คิดว่าตัวเองคนเดียวจะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จได้ ทุกอย่างย่อมมีเบื้องหลัง โดยคิดถึงความสำคัญของน้ำพักนำ้แรงทีมงานที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา และตอบแทนด้วยความเหมาะสม ยิ่งทำให้ได้ใจพนักงาน การปฎิบัติต่อคนเป็นอย่างดี จะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นการทำงานอย่างเต็มใจ สร้างความมั่งคั่งให้องค์กรเป็นที่พึ่งพิงกับคนจำนวนมากต่อไป
8. คนอื่นว่าสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดทำงาน
น้อยมากที่จะเห็นเจ้าสัวหรือเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จคนไหน แม้มีมูลค่ากิจการเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทแล้ว จะหยุดคิดหรือหยุดทำงาน ตรงกันข้าม พวกเขายังมองเห็นช่องทางหรือโอกาสสร้างสิ่งใหม่ๆ บนโลกนี้ได้อีก เท่ากับหาทางสร้างรายได้ใหม่ๆ ขึ้นมาต่อเนื่อง กำไรที่ได้มาก นอกจากคืนกลับไปเป็นการลงทุนใหม่แล้ว ยังทำให้ผู้มีส่วนได้เสียพร้อมทำงานร่วมกันอย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย
9. แปลเงินสดเป็นสินทรัพย์ที่มั่งคง
เมื่อได้เงินสดจากการทำงาน จะวางแผนให้เงินทำงานเองต่อไปโดยไม่ต้องไปดูแล โดยกระจายไปยังผลิตภัณฑ์การเงินหรือตลาดทุนต่างๆ หรืออสังหาริมทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ หรือกระทั่งลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีธุรกิจตอบโจทย์โลกอนาคต ช่วยทั้งกระจายความเสี่ยง และยังใช้ประโยชน์ในอนาคตได้อีก เช่น ซื้อที่ดินไว้ในวันนี้ อาจกลายเป็นคลังสินค้าเมื่อต้องการขยายอาณาจักร หรือได้พันธมิตรธุรกิจสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยลดต้นทุน หรือเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
10. รู้จักให้คนอื่นหรือตอบแทนสังคมเป็น
รู้จักให้สังคมเป็น ไม่ว่าจะเพื่อตอบแทนโดยไม่หวังผล หรือมองเห็นประโยชน์อื่นๆ พ่วงมาด้วย เช่น การลดหย่อนภาษี แต่สุดท้ายแล้ว การให้สังคมบ้างเมื่อมีพร้อม ยังดีกว่าที่ไม่เคยให้หรือช่วยเหลือสังคมด้านไหนเลย
หากลองนำความเป็นนักสู้ที่ไม่เคยหยุดคิดหรือหยุดเดิน มาปรับในแบบของตัวเองดู เราอาจพบแรงจูงใจไปสู่ความสำเร็จ แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครสามารถลอกเลียนสูตรสำเร็จใครมาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และเราอาจพบหนทางที่เป็นของตัวเอง ที่ทำให้ถึงเป้าหมายและสบายใจไปได้พร้อมกัน
- 143
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
