Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
New World Finance
•
ติดตาม
18 มี.ค. 2022 เวลา 01:30 • คริปโทเคอร์เรนซี
คลิปนี้ดีมากก จากช่อง YouTube: Coin Bureu ชื่อคลิปคือ “FASTEST Cryptocurrencies!!” คำตอบก็คือ Solana เนี่ยแหละ แต่สิ่งที่ผมว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆคือการปูพื้นในเรื่องของ “Blockchain Trilema” ได้อย่างเห็นภาพมากๆ เพราะมีการยก Case Studies ต่างๆ รวมถึงวิธีการทำงานของ Blockchain ที่เรารู้จัก มากางให้ดูว่าทำไม “Scalability” “Decentralization” “Security” เกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้
Blockchain speed 101
ที่เราชอบเอา TPS มาเทียบกันแล้วบอกว่าตัวนี้เร็วกว่าตัวนั้น บทความนี้จะทำให้เพื่อนๆเข้าใจว่า TPS ที่เร็วๆนั้นแลกมากับอะไรบ้าง
ก่อนอื่นเรามาดูคำนิยามของแต่ละองค์ประกอบใน Blockchain Trilema กันก่อนครับ
1. Scalability — การที่ Blockchain ยังรักษาประสิทธิภาพของมันอยู่ได้ (ในที่นี้คือจำนวนธุรกรรมต่อวินาธี) ไม่ว่าจะมี User เพิ่มมากขึ้นแค่ไหนก็ตาม
2. Decentralization — การที่มี Computer (validator) จำนวนมากและกระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ มาช่วยกันยืนยันธุรกรรม เคยมีเคสของ Blockchain อย่าง EOS ที่มีแค่ 21 Validator ได้ร่วมกันแช่แข็ง😂 (Freeze) 7 Wallet บน Chain ของตัวเอง
3. Security — ความแข็งแกร่งของระบบ Consensus เช่น อย่าง Proof-of-Stake ของ Ethereum เนี่ย คนที่จะโกงระบบต้องมี ETH มากถึง 51% ของจำนวน ETH ที่ Stake ทำให้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะทุ่มทรัพยากรขนาดนั้นในการทำลาย Ethereum Blockchain
การที่จะทำ Blockchain ให้มัน Perfect เนี่ยมันอาจจะง่าย...ในกระดาษ
- ก็แค่ทำให้ TPS ไวๆซัก 2,000 TPS
- มีซัก 1,000 node ในระบบที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลกที่มาคอยยืนยันธุรกรรม
- มีระบบ Proof-of-Stake ที่ต้องใช้ทรัพยากรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในการโกงระบบ
แค่นี้ก็ได้แล้ว...Blockchain ที่ Perfect
แต่ในทางทฤษฎีแล้วนั้น...
อย่างแรกเลย...การที่เรามี 1,000 node แล้ว 51% ของ node ต้องมานั่งเช็คแต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้นในระบบ ถ้าเกิดจำนวน User ยังน้อยอยู่อาจจะไม่ได้เป็นปัญหา แต่ถ้าจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ node เช็คไม่ทัน
ซึ่งวิธีแก้ที่จะทำให้ TPS (Scalability) ของ Blockchain ไม่ลด ก็คือ 1. ลดจำนวน node ในระบบลง 2. เปลี่ยน Consensus Mechanism ใหม่ (ลดจากที่ต้องใช้ node 51% ระบบ)
1
แปลว่าถ้าเรายังต้องการ Scalability (Txn* Speed) เราต้องยอมสละจำนวน node (ลด Decentralization) 2. เปลี่ยน Mechanism (ลด security)
1
*Txn = Transaction = ธุรกรรม
กรณีของ ETH 2.0 ก็ทำเหมือนกันโดยการยอมสละความ Decentralize และ Security บางส่วนเพื่อเพิ่ม txn speed
เพราะหลักการทำงานของ Eth 2.0 คือการแตกย่อย Blockchain ออกมาเป็น Blockchain ย่อยๆที่เราเรียกว่า Shard แล้วพวกข้อมูลธุรกรรมจะถูกแบ่งไปเก็บและยืนยันในแต่ละ Shard ย่อยๆ ซึ่งแต่ละ Shard จะมีอยู่แค่ 128 Validator เท่านั้น (ลดความ Decentralize ลง)
Ethereum sharding
อีกตัวอย่างนึงคือ Polkadot
Polkadot เคลมว่าในระบบมี validator ทั้งหมด 300 ตัว ซึ่งอาจจะดูเหมือนมีความ Decentralize อยู่พอตัว แต่ถ้าเราไปดูจริงๆ 300 validator นั้นมันคือของทุก parachain (blockchain ย่อยๆ) รวมกัน ซึ่ง parachain นึงจะมีแค่ 10 validator เท่านั้น
1
อีกอันคือ Polygon Matic
ที่เคลมว่ามี 100 validator ในระบบ แต่ตัว Plasma chain ที่ใช้รัน Dapps ต่างๆมีจำนวน validator อยู่แค่ 7-10 validator เท่านั้น
1
มาดูเรื่อง TPS กันบ้างดีกว่า ซึ่งก่อนอื่นเลย สิ่งที่เพื่อนๆจะต้องเข้าใจคือ “ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีต้นทุนในการสร้างไม่เท่ากัน”
เราจะเห็นได้จากค่า fee ที่เราต้องจ่าย เช่น ตอนที่เราแค่โอนเหรียญระหว่าง Wallet เราต้องจ่ายราคานึง แต่ถ้าเราไปใช้งาน Dapp หรือทำธุรกรรมที่มันมีความซับซ้อนขึ้นขึ้นหรือที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับตัว Smart Contract เราก็จะต้องจ่ายค่า Gas มากขึ้น เช่น การทำ Flash loan อะไรพวกนี้
ซึ่งถ้าเราเข้าไปดูใน Docs ของบางโปรเจกต์เขาจะเขียนเลยว่า TPS กว้างๆ เทา่ไหร่ กับธุรกรรมที่เป็น Smart contract TPS จะอยู่ที่เท่าไหร่
Smart contract TPS
การที่เราจะรู้ TPS ของแต่ละ Blockchain ได้ เราจะต้องรู้ 3 อย่าง:
1. พื้นที่ที่ 1 Block สามารถจุได้ (Block size)
2. Block time (ระยะเวลาที่ Block ใหม่จะถูกผลิตขึ้น)
3. ขนาดธุรกรรมเฉลี่ยบน Blockchain นั้นๆ (Avg. txn* size)
*txn = transaction = ธุรกรรม
เช่น Bitcoin
Bitcoin สามารถใส่ได้ 1 MB (1,000,000 byte) ต่อ block แล้วมีการสร้าง block ขึ้นเฉลี่ยทุกๆ 10 นาที ซึ่ง 1 ธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน bitcoin network จะกินพื้นที่ประมาณ 400 bytes
เท่ากับว่าต่อ Block Bitcoin จะรับได้ประมาณ 2,500 txn ต่อ 1 block (10 นาที) ทำให้ Bitcoin มี TPS อยู่ที่ราวๆ 5 TPS แต่การที่ bitcoin network ช้าเพราะว่า Bitcoin ยอมสละ Scalability เพื่อความ decentralize และ Security ของระบบ
เพื่อให้เห็นภาพ สมมติว่า block size ของ bitcoin เพิ่มขึ้นเป็น 1 GB (1,000,000,000 byte) ต่อ block จะทำให้ bitcoin สามารถรองรับธุรกรรมได้มากถึง 5,000 TPS (โคตะระไว 🤣)
แต่อย่าลืมว่าข้อมูลทุกอย่างจะถูกเก็บไว้บน blockchain อย่างถาวร แปลว่าพื้นที่เก็บข้อมูลของประวัติ txn ต่างๆมันต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วการที่มันเพิ่มขึ้น 1 GB ต่อ block มันจะใช้เวลาแค่ 1 อาทิตย์ ในการที่เวลาคนที่จะมา run node ต้องมีพื้นที่ขั้นต่ำ 1 TB ซึ่งพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ คนที่สามารถ run node ก็จะมีแต่เจ้าของ Data Center ใหญ่ๆเท่านั้น เท่ากับสูญเสียความ decentralize ไปเลย
1
อ้าวแล้วถ้าเราลดเวลา block time ล่ะ? จาก 10 นาที เป็น 1-2 นาทีได้มั้ย?
- ได้ แต่เวลาที่ลดลงก็เท่ากับจำนวน computer ที่จะมายืนยันธุรกรรมก็ต้องลดลงตาม เพราะการที่มีคอมจำนวนมากขึ้นมาเช็ค txn มันต้องใช้เวลามากขึ้นตาม
ตัวอย่างอื่นๆ
Ethereum:
- Block size: 51,000 byte/block
- Block time: 13 วินาที
- Avg txn size: 2,500 bytes
- ทำให้มี TPS อยู่ที่ประมาณ 15 TPS
Cardano:
- Block size: 2 MB (2,000,000 byte)/block
- Block time: 20 วินาที
- Avg txn size: 500 bytes
- ทำให้มี TPS อยู่ที่ราวๆ 200 TPS
*จะเห็นได้ว่า Avg. txn size ของ Ethereum จะสูงกว่า Cardano เพราะว่าตัว Ethereum เขามี Smart contract txn โดยที่ TPS ของ Cardano ถูกคำนวณตอนยังไม่มี Smart contract (อิ_อิ🤞)
มาถึงคำถามที่น่าสนใจ: แล้ว TPS มันต้องเท่าไหร่ถึงจะพอ?
เคสที่หลายๆคนชอบหยิบขึ้นมาคือกรณีของ Visa เพราะ Visa เป็นบัตรที่มีผู้ถือกว่า 4 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่ง Visa เคลมว่าสามารถมี TPS ได้สูงถึง 65,000 TPS แต่เอาจริงๆที่ Visa ใช้มันแค่ 2,000 TPS เท่านั้น
1
ซึ่ง Blockchain ที่สามารถทำได้ในระดับนี้ก็หนีไม่พ้น Solana ที่เคลมว่าทำ TPS ได้สูงสุดที่ 50,000 - 65,000 TPS (แถมยังรวม Smart Contract txn แล้วด้วย!) โดยมี block time แค่ 400 millisecond (0.4 วินาที)
TPS ที่สูงย่อมแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง...ในเคสนี้ ข้อมูลเก่าๆบน Solana เลยมีพื้นที่ปาเข้าไป 2 TB แล้วภายในแค่ 1 ปี ซึ่งมันมากกว่าพื้นที่ข้อมูลเก่าๆของ Blockchain 10 อันดับแรก รวมกันซะอีก แถมการจะเป็น Validator บน Solana ก็ต้องการคอมที่ Spec สูงมากๆอีกด้วย
Solana เลยต้องแก้ปัญหาโดยการไปเก็บข้อมูลไว้บน Decentralized Storage ของโปรเจกต์อย่าง Arweave (ผมรู้ไม่พอ เลยจะขอไม่ลงรายละเอียดครับ)
blockchain อื่นๆ ที่ถึงระดับ 2,000 TPS ก็มีอย่าง
1. Ethereum 2.0 — Max: 100,000 TPS
2. Avalanche — Max: 4,500 TPS
3. Terra — Max: 10,000 TPS
และอีกมากมายที่ผมไม่ได้กล่าวถึง
แต่ละ blockchain ก็จะมีวิธีการแก้ไขปัญหา blockchain trilema นี้แตกต่างกัน User และนักลงทุนอย่างเราๆก็คงต้องดูกันต่อไปยาวว่าใครจะเป็นผู้ชนะ หรือผู้ชนะอาจจะไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียวก็ได้
ความเร็วในการทำธุรกรรมเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมเพื่อรอวันที่ blockchain layer 1 เหล่านี้จะเข้าถึงคนส่วนมากได้ หลายๆคนก็บอกว่าพอเป็น blockchain แล้วความ decentralize กับ security ก็ต้องมาควบคู่กันไปด้วย แต่ก็จะมีอีกฝ่ายที่ตั้งคำถามเช่นกันว่า “หรือจริงๆแล้ว User ส่วนมากต้องการแค่ความเร็ว ความสะดวกสะบายในการใช้งานเท่านั้น?”
1
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย