22 มี.ค. 2022 เวลา 20:22 • นิยาย เรื่องสั้น
วันนี้ขอนำเสนอ "วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปี 2563" ประเภทเรื่องสั้น รางวัลรองชนะเลิศ เป็นเรื่องสุดท้ายของเซ็ทนี้ค่ะ
สาเหตุที่นำเรื่องที่ได้รางวัลรองชนะเลิศมาให้อ่าน แทนที่จะเป็นเรื่องที่ได้รางวัลชนะเลิศเหมือนทุกครั้ง เนื่องจากว่าเรื่องที่ได้รางวัลชนะเลิศ เป็นเรื่องที่อ่านเข้าใจยาก ยาวมากพอๆกับพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มเล็ก เนื้อเรื่องก็ไม่น่าสนุกค่ะ
1
รับรองว่าเรื่องนี้ อ่านแล้วจะวางไม่ลง ต้องอ่านต่อจนจบค่ะ แอดเองยังอ่านสองรอบแน่ะ ลองมาติดตามดูนะคะว่าเนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไร
"พลเมืองดี"
วุฒินันท์ ชัยศรี
เหมือนว่าสิ่งที่ผมทำลงไปในนาทีนั้นผ่านการคิดมาเป็นอย่างดี แต่ให้ตายเถอะ ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น
ผมนึกอยู่แต่เช้าแล้วว่าวันนั้นลางไม่ดีเท่าไหร่นัก ก่อนออกจากบ้านรู้สึกขย้อนอย่างไรบอกไม่ถูก อาจเพราะจิ้งจกทัก ก้าวเท้าผิดข้างหรืออะไรสักอย่างที่แฟนเก่าจอมงมงายเคยพูดกรอกหู ทั้งหมดล้วนวนเวียนอยู่ในหัวระหว่างที่ติดไฟแดงในเช้าวันจันทร์
แล้วเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มอยู่ตรงปลายหู ผมเหลือบมองผ่านกระจกหลัง รถส่งเสียงหนวกหูคันนั้นคือรถแมคลาเรน ซุปเปอร์คาร์สัญชาติอังกฤษ แต่งสีเขียวสด มองผ่านๆ เหมือนไร้รสนิยม แต่เป็นความไร้รสนิยมประเภทที่ว่าถ้าเงินไม่ถึงก็ได้แต่ฝันถึง ผมเคยมีเพื่อนทำงานในอู่รถนอก มันโต้ตอบคำถากถางของผมว่า สีแต่งรถแบบนี้ต้องนำเข้าเท่านั้น และถังเดียวแม่งแพงกว่าเงินเดือนมึงทั้งปีอีกว่ะ ผมยักไหล่
รถหรูแพงลิบ ทะเบียนประมูลเลขตอง เป็นรถประเภทที่ผมและเพื่อนๆ นินทากันลับหลังว่าไม่ควรเข้าไปเฉียดกราย มีเรื่องกันขึ้นมาคงจบไม่สวย เพราะนอกจากอะไหล่จะแพงระดับขายอวัยวะทั้งหมดก็ไม่พอจ่าย นิสัยคนขับเท่าที่เคยเจอ ร้อยทั้งร้อยคือพวกไม่กลัวว่าจะชนคนอื่นถึงตาย กลัวแต่ตัวเองจะไปสาย เหลือบมองซุปเปอร์คาร์แพงระยับอีกครั้ง ดูไม่เข้ากันกับถนนติดเป็นตังเมในกรุงเทพฯ แต่ก็อย่างว่าแหละ คงจะเป็นลูกท่านหลานเธอที่ไหนสักคนจำต้องผ่านมาร่วมชะตากรรมบนท้องถนนกับไพร่ฟ้ายาจกแห่งมหานคร
เสียงแตรดังจากด้านหลัง ไฟเขียวสว่างขึ้นสักพักแล้ว ผมมัวแต่คิดเพลินจนลืมดูสัญญาณไฟจราจร คันข้างหน้าทิ้งผมไปไกล ผมเปลี่ยนเกียร์ สลับเท้ามาเหยียบคันเร่ง และนาทีเปลี่ยนชีวิตของผมก็มาถึง แมคลาเรลคันนั้นสอดแทรกจากเลนขวา มาตัดหน้าผมกะทันหัน อาจจะด้วยเหตุผลว่าคันข้างหน้าของเขาขับช้า หรือเห็นช่องว่างเบ้อเร่อในเลนส์ของผม แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตร รถผมกำลังจะพุ่งไปชนรถเจ้าปัญหาคันนั้น เท้าลงน้ำหนักที่คันเร่งไปแล้ว เหลือแต่มือกุมพวงมาลัยที่พอใช้สติควบคุมได้
ตรงหางตาปรากฏภาพซาเล้งของชายชราที่คุ้นตาเคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆทางเลนซ้าย
ผมถอนหายใจ หักรถออกทางซ้ายฉับพลัน หลับตาลง เสียงดังโครม เสียงเบรครถจากคันข้างหลัง เสียงวี้ดว้ายของประชาชนเดินถนนดังขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น ส่วนซูเปอร์คาร์คันนั้นหายไปไกลลิบแล้ว
"คำถามสุดท้ายค่ะ คำว่า"พลเมืองดี" ในทัศนคติของคุณเป็นอย่างไรคะ?" นิ่งงันกับคำถามสักครู่ แต่ก็ไม่เงียบหายจนอีกฝ่ายสังเกตได้ ผมคิดพลางหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ใครจะคิดว่าอุบัติเหตุครั้งนั้น ด้วยเจตนาที่เกือบจะเป็นอาชญากรกลายๆ แบบนั้น กลับทำให้ผมกลายเป็น "พลเมืองดี" ผของสังคมในวันนี้
คนที่ผมขับรถชนในวันนั้นคือลุงเป๋ ที่จริงชื่อลุงเป หรือลุงปิติ แต่ทุกคนเรียกแกว่าลุงเป๋ก็เพราะขาข้างหนึ่งของแกพิการ ดามไว้ด้วยขาเทียมที่ดูท่าทางแล้วน่าจะประดิษฐ์เองจากเศษเหล็กที่เก็บได้ แกเป็นคนงกๆ เงิ่นๆผ เดินด้วยท่าทางพิกล เมื่อรวมเข้ากับความพิการก็ดูน่ารำคาญและน่าสงสารไปพร้อมกัน เคยได้ยินแกโม้กับคนในซอยว่าเป็นทหารผ่านศึก แต่ดูจากสภาพแล้วน่าจะไปเหยียบอะไรเข้าจนแผลเน่าต้องตัดขาทิ้งเสียมากกว่า แกเป็นคนเก็บขยะในซอยข้างๆอพาร์ตเม้นต์ของผม ไม่เชิงว่าเป็นคนรู้จัก แต่ทุกคนที่อยู่ในละแวกนั้นล้วนรู้จักลุงเป๋
1
เช้ามืดตี 5 ทุกวัน จะต้องเห็นเงาตะคุ่มๆ คอยก้มๆ เงยๆ ที่ถังขยะ เมื่อแกรื้อค้นขวดพลาสติกและของมีค่าทั้งหลายมาได้ก็จะอุ้มเดินกระเผลกๆ วางไว้หน้าซาเล้ง ขาซ้ายออกแรงยันและดึงบันไดจักรยานให้ล้อหมุน ส่วนขาอีกข้างที่พิการคอยประคองสมดุลไม่ให้จักรยานสามล้อล้มคว่ำ บางคราวขับรถผ่านก็เคยนึกเวทนาสงสารแกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดจะเอาเป็นธุระอะไรให้เหนื่อยเปล่า
แต่แล้วในเช้าวันนั้นโชคชะตาก็พาให้เรามาเกี่ยวข้องกันจนได้ หลังจากโดนแรงกระแทกจากรถผมเข้า แกลงไปนอนกองที่พื้น ซาเล้งพังแอ้งแม้งไม่เป็นท่า ผมกระโจนลงจากรถ แกนอนสลบเหมือด ขาเทียมประดิษฐ์หัก เศษเหล็กบาดเข้าตรงหัวเข่า เลือดไหลโชก ผมรีบอุ้มลุงเป๋ขึ้นรถพาไปโรงพยาบาลที่อยู่ถัดไปอีกสองแยก ระหว่างรอหน้าห้องฉุกเฉิน ผมโทรฝากงานนัดลูกค้าให้ลูกน้องในแผนกดูแลแทน จัดแจงส่งไฟล์งานตกค้างที่ตั้งใจว่าจะส่งเมื่อไปถึงบริษัท และยืนลังเลใจกับสิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างแรกหลังเกิดอุบัติเหตุคือ โทรศัพท์หาบริษัทประกันภัยรถยนต์
ชนเสา ชนต้นไม้ หรือแม้แต่ชนรถยนต์ด้วยกันยังง่ายกว่าชนคน ถ้าโทรไปแล้วตัวแทนบริษัทประกันภัยมาเพราะคงต้องมีการสืบสาวราวเรื่องการขนานตใหญ่ เรื่องที่ผมไม่แน่ใจว่าควรสืบสาวไปให้ถึงหรือเปล่าโดยเฉพาะถ้าเป็นคนละเอียดละออ คงกัดไม่ยอมปล่อยง่ายๆ จนกว่าจะรู้ต้นตอของสาเหตุที่ผมเปลี่ยนเลนกระทันหัน เหตุผลที่เตรียมไว้แก้ต่างว่า "หลับใน" ฟังดูงี่เง่าในการขับรถตอนเช้าวันจันทร์ แต่ผมก็นึกเหตุผลอื่นแทนเหตุผลที่แท้จริงไม่ออกแล้ว
ถ้าอย่างนั้นผมควรจะสืบเรื่องให้รู้ก่อนคนอื่น คิดพลางลากหน้าจอโทรศัพท์หาเบอร์เพื่อนที่ทำงานในกรมการขนส่ง ไม่ต้องย้อนดูกล้องหน้ารถผมก็จำเลขทะเบียนให้รถระยำนั่นได้ขึ้นใจ เพื่อนผมงงเล็กน้อยแต่ก็หาข้อมูลมาให้โดยดี
นามสกุล "บรรณาวิจิตร" ไม่ใช่นามสกุลเก่าแก่ของผู้มีอิทธิพลแถวนี้ แต่ถ้าติดตามข่าวสารบ้างก็จะคุ้นหู เพราะเป็นนามสกุลของกลุ่มผู้รับเหมารายใหม่ที่เพิ่งชนะการประมูลก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่ของรัฐบาลถึงสามโครงการ ชื่อเจ้าของทะเบียนที่ติดท้ายรถคงเป็นลูกชายคนโตของบ้านนี้ ซึ่งอันที่จริงหากสืบลึกลงไปอีก ผู้หญิงที่มาแต่งงานกับหนุ่มใหญ่เศรษฐีใหม่รายนี้ก็คือลูกสาวคนเล็กของตระกูลอิสราธิพงศ์ ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ของรัฐบาลอีกต่างหาก อย่างที่ผมคาดเดาแต่แรก แมคลาเรนสีเขียวทะเบียนประมูลระดับนั้น แค่เงินถึงก็ยังไม่พอ คงต้องมีสายสนกลในอีกมากมายที่ผมเองก็ไม่อยากรู้และไม่อยากเข้าไปยุ่ง
"ญาติคุณปิติอยู่ไหมคะ คุณปิติฟื้นแล้วค่ะ" ลงเป๋ฟื้นแล้ว ไม่รู้ว่าแกจะจำเรื่องราวได้แค่ไหน จะเอาเรื่องกับผมมากน้อยเพียงใด ราคาที่ต้องจ่ายนั้นจะสักกี่แสน ผมเหลือบมองโทรศัพท์อีกครั้ง หรือควรให้ประกันภัยเข้ามาช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ถ้าประกันภัยเข้ามามีบทบาท เรื่องราวอาจยุ่งยากขึ้นไปอีก
ถอนหายใจ ปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้วลุกขึ้น
"ผมเป็นญาติคุณปิติครับ" ไม่รู้ว่าผมควรจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำแรกที่ลุงเป๋พูดเมื่อเห็นหน้าผม
"หนุ่มเอ๊ย อย่าเอาเรื่องลุงเลยนะ ลุงไม่มีปัญญาจ่ายค่าซ่อมรถหรอก" ผมรีบทรุดลงนั่งข้างเตียง
"ลุงไม่ได้ผิดนะครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะขับรถไปชนลุง"
"โอ๊ย ลุงไม่ดีเองแหละ ลุงไม่น่าไปขี่รถบนถนนนั่นหรอก ยายก็เตือนหลายทีแล้วว่ารถเยอะ ลุงขี่เงอะๆ งะๆ จะไปชนคนอื่นเข้าสักวัน"
แทนที่ลงเป๋จะโกรธเกรี้ยวและเรียกร้องค่าเสียหายจากผมให้ สาสม กลับกลายเป็นว่าผมต้องคอยปลอบประโลมให้แกหยุดร้องไห้เพราะกลัวความผิด กระทั่งผมยืนยันมั่นเหมาะว่าแกไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลผมก็จะออกให้ทั้งหมด แกจึงหยุดร้องแล้วกุมมือผมแน่น บอกว่าเป็นบุญของแกแท้ๆ ที่มีคนใจบุญช่วยเหลือ
หนึ่งเดือนผ่านไป ผมพาภรรยาของแกกับหลานมาอยู่เฝ้าอาการที่โรงพยาบาลจนหายดี ระหว่างนั้นก็ติดต่อแพทย์เพื่อเปลี่ยนขาเทียมที่ได้มาตรฐานให้แกใหม่ หลังออกจากโรงพยาบาลก็ซื้อรถสามล้อแบบใช้เครื่องยนต์ให้ ไม่ต้องใช้แรงปั่นอีกต่อไป พร้อมกับค่าทำขวัญอีกจำนวนไม่น้อย ทั้งสามคนซาบซึ้งน้ำใจ บอกว่าผมเป็นเทวดามาโปรดชีวิตอันยากไร้ของพวกเขาทั้งสาม นึกแล้วได้แต่หัวเราะ แท้ที่จริงผมคือปีศาจที่แฝงร่างมาในคราบเทวดา ปีศาจที่อยากกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่ตนเองก่อขึ้น แต่ก็โชคดีแล้วที่เรื่องนี้จบลงด้วยดี ด้วยค่าใช้จ่ายระดับที่เงินเดือนของผมพอจะรับมือไหว
แต่ให้ตายเถอะ ทั้งที่ผมหวังไว้ว่าจะให้เรื่องทั้งหมดจบลงตรงนี้เลย แต่เรื่องกลับไม่จบแค่นั้น
คงจะเป็นรายการโทรทัศน์ทำนองว่าหากินกับการถ่ายทอดชีวิตอันแสนระกำลำบากของคนหาเช้ากินค่ำอะไรทำนองนั้น ที่ควานหามาจนเจอลุงเป๋ เรื่องราวซาบซึ้งกินใจของพลเมืองดีคนหนึ่งที่ขับรถชนลุงโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับรับผิดชอบความเสียหายและช่วยเหลือทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองคนเก็บขยะที่เทิดทูนบุญคุณมากล้นของพลเมืองดีคนนั้น ส่งต่อมาเข้าปากของรายการเล่าข่าวที่กระหายหาเรื่องเล่าที่จะช่วยฉุดดึงเรตติ้ง ผมได้รับเชิญให้ไปปรากฏตัวในรายการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจของสังคมในยุคที่ขาดแคลนคนดี จากหนึ่ง เป็นสอง สาม รายการ ผมพยายามบอกปัด แต่หากรายการไหนคว้าตัวลุงเป๋ไปได้ เรื่องราวของผมก็จะถูกเล่าใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ดี
เรื่องราวของ "พลเมืองดี" อย่างผมโด่งดังในสังคมในระยะหนึ่ง และแน่นอนว่าข้อมูลทุกอย่างของผมก็ปิดบังไม่ได้อีกต่อไป เริ่มมีคนสงสัยเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความไม่สมเหตุสมผลของเหตุการณ์ กล้องหน้ารถที่อ้างว่าเสียนานแล้วแต่ไม่ยอมไปซ่อม การไม่ยอมแจ้งอุบัติเหตุให้บริษัทประกันภัยทราบทั้งที่ทำประกันภัยชั้นหนึ่งมาหลายปี การลงบันทึกประจำวันว่าหลับในและอุบัติเหตุเล็กน้อย แต่ที่จริงหนักหนาถึงขั้นเปลี่ยนขาเทียมจึงเริ่มมีคนสืบเสาะและหาความจริงมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทประกันภัยที่ดูแลรับผิดชอบรถของผม "ทำอย่างนี้บริษัทเสียหายนะพี่" รุ่นน้องมหาวิทยาลัยซึ่งปัจจุบันเป็นผู้จัดการของสาขาที่ผมไปจ่ายเบี้ยประกันเป็นประจำโทรมาต่อว่า
"มันเหมือนบริษัทไม่ดูดำดูดี ปล่อยให้ลูกค้าชดใช้ค่าเสียหายเอง"
"พี่ก็บอกในรายการแล้วไงว่าอยากจะแสดงความรับผิดชอบเอง"
"ไม่ใช่เรื่องรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบนะพี่ แต่เป็นเรื่องที่พี่ไม่ทำตามขั้นตอนที่คนปกติควรทำ พี่ก็รู้นี่ ชนปุ๊บลงจากรถถ่ายรูป โทรเรียกประกันแล้วให้เขาจัดการ ไม่งั้นจะทำประกันไว้ทำไมพี่"
"มัวแต่ทำอย่างนั้นลุงแกก็ตายก่อนพอดี"
"ต่อให้ลุงตายมันก็อยู่ในขั้นตอนนะพี่ พี่จะมาอยากเป็นพลเมืองดีอยู่คนเดียวทำไม มันทำให้คนอื่นเขาเป็นผู้ร้ายไปหมดรู้ไหม"
"นี่มันไม่ใช่เรื่องพลเมืองดีห่าเหวอะไรเลยนะ" ผมกัดฟันกรอดนึกถึงแมคลาเรนสีเขียวสาระเลวนั่น
"คนอย่างหนูไม่เข้าใจหรอกว่าพี่ทำไปเพราะอะไร"
"งั้นพี่ก็อธิบายให้บริษัทเข้าใจก็แล้วกัน จากนี้เขาคงกัดพี่ไม่ปล่อยแน่ๆ"
ตามคาดหลังเรื่องแดงขึ้นบริษัทประกันภัยส่งคนมาประกบผมถึง 3 คนด้วยเหตุผลสั้นๆว่า ต้องการรักษาภาพลักษณ์ของบริษัท ผมถูกสอบสวนอย่างละเอียดยิบถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมเล่าไปตามสคริปต์ที่เคยพูดแล้วพูดเล่าในทุกรายการ แต่ดูเหมือนพวกมันยังสงสัยว่าผมปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ คนหนึ่งลงพื้นที่สอบถามเหตุการณ์กับชาวบ้านในละแวกที่เกิดเหตุ หลายคนเล่าภาพที่เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ซึ่งขัดแย้งกับถ้อยคำในบันทึกประจำวันของตำรวจ อีกคนติดต่อตำรวจในพื้นที่เพื่อขอดูภาพในกล้องวงจรปิด ส่วนคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าคอยเกาะติดผมอย่างไม่ให้คลาดสายตา
บ้าเอ้ย ทั้งที่ผมเป็นลูกค้าชั้นดี ส่งเบี้ยประกันชั้นหนึ่งมาหลายปีไม่มีขาด และไม่ได้ยุ่งกับเงินของพวกมันแม้แต่บาทเดียว แต่มันทำกับผมอย่างกับเป็นผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ เพียงวันเดียวหลักฐานเอาผิดผู้ต้องหาอย่างผมก็เริ่มมีน้ำมีเนื้อ เมื่อยังหลงเหลือภาพจากกล้องวงจรปิดในเช้าวันนั้นอยู่ โชคดีที่กล้องจับภาพจากมุมด้านหน้าเสีย ส่วนกล้องจากมุมด้านหลังน่าจะเป็นกล้องรุ่นเก่า ภาพจึงไม่ชัดเจนมากนัก แต่ภาพจากมุมด้านข้างเห็นชัดเจนว่า super car สีเขียวคันนั้นแทรกจากเลนส์ขวามาตัดหน้ารถของผมก่อนจะหายลับไปจากกล้อง เจ้าคนที่เป็นหัวหน้ายิ้มเหี้ยมเกรียมเหมือนได้รับชัยชนะ
"ไหนตอบผมหน่อยสิคุณพีรพล ตกลงวันนั้นคุณเผลอหลับหรือตกใจที่มีรถมาตัดหน้า" ผมอ้ำอึ้ง จำนวนในหลักฐาน
"หักรถมาแบบนี้เหมือนเจตนาฆ่าเลยนะ ซาเล้งพังขนาดนั้น ทำไมคุณถึงกล้าลงบันทึกว่าอุบัติเหตุเล็กน้อยล่ะ" เห็นผมเงียบ มันหันไปกรอภาพย้อนหลังอีกครั้ง "ให้ตายเถอะเจ้ารถเขียวคันนั้นเป็นใคร ทำไมคุณต้องพยายามปกป้องมันด้วย เป็นแฟนคุณหรือญาติคุณกันล่ะ ไอ้คนบนรถนั่นสำคัญแค่ไหนถึงหักพวงมาลัยไปใส่คนแก่แบบนั้น แถมยังพยายามปิดเรื่องไม่ให้เรารู้"
ผมหน้าเสีย ทุกสิ่งที่ผมพยายามทำสูญเปล่าทั้งหมด ในเมื่อไม่มีอะไรแก้ตัวแล้ว สารภาพไปก็คงดีเหมือนกัน ถ้าพวกประกันอยากมายุ่งนักก็ให้พวกมันไปเอาเรื่องกับคู่กรณีพันล้านของผมเอง ยังไม่ทันอ้าปาก ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา กระซิบอะไรบางอย่างกับหัวหน้า ทำเอาเจ้าจอมกร่างนั่นหน้าซีดเผือด กระซิบอุบอิบกับลูกน้องอีกคนหนึ่ง ก่อนจะให้เจ้านั่นมาพาผมออกไปนอกห้องประชุม ผมเดินออกมาด้วยสีหน้างงงวย มันยิ้มเบาๆ
"เราก็ลำบากด้วยกันหมดนี่แหละพี่ แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ คงเคลียร์แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะติดต่อไปอีกทีนะครับ"
"สวัสดีค่ะ มาถึงช่วงสุดท้ายของรายการ "เล่าข่าวเบาสมอง" แล้วนะคะ วันนี้พวกเราก็มีแขกรับเชิญพิเศษที่ทุกท่านน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี พลเมืองดีที่เป็นข่าวดังในช่วงนี้ คุณพีรพล ขจรสวัสดิ์ หรือที่หลายท่านรู้จักกันในนามพีรพล พลเมืองดีค่าาา..."
ห้องส่งวันนั้นมีเสียงปรบมือเพียงเปาะแปะ คนตัดต่อรายการคงจะอัดเสียงปรบมือดังสนั่นเข้าไปทีหลัง พิธีกรชายหญิง 2 คน และหัวหน้าทีมสืบข้อเท็จจริงจากบริษัทประกันภัยนั่งอยู่หน้ากล้อง หลังจากวันนั้นผมได้รับการติดต่อมาว่า ทีมสืบข้อเท็จจริงไม่ติดใจเอาเรื่องกับผมอีกต่อไป และขอเรียนเชิญให้มาออกรายการนี้เป็นครั้งสุดท้าย "เล่าเหมือนเดิมทุกอย่างได้เลยครับช่วยกันหน่อยนะพี่"
"อยากจะให้คุณพีรพลเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังอีกครั้งค่ะ"
ครับ ผมว่าคนฟังอาจจะเบื่อแล้ว" เสียงหัวเราะของสองพิธีกรกับไอ้เจ้าหัวหน้าจอมกร่างนั่นดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน
"ผมมีนัดคุยกับลูกค้าตอนเช้าก็เลยออกมาเช้ากว่าปกติ พอดีว่าคืนนั้นผมพักผ่อนน้อยอาจจะเครียดๆ นะครับ ต้องทำงานเอกสารเกือบทั้งคืน แล้วก็เตรียมตัวคุยธุระสำคัญ พอถึงไฟแดงที่เกิดเหตุ ซึ่งเลขไฟแดงขึ้นนานเกือบ 2 นาที ผมเอนตัวบิดขี้เกียจนิดหน่อย แต่ยังไงไม่รู้ ผม วูบๆ ไป รู้สึกตัวอีกทีก็ชนโครมเข้าแล้ว"
"หลับกลางไฟแดงเลยหรอคะ" พิธีกรสาวทำหน้าตื่นเต้น ทั้งที่คงรู้เรื่องของผมดีอยู่แล้ว
"นี่คือความเป็นพลเมืองไม่ดี ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ" ผมหัวเราะ
"ผมรีบลงจากรถก็พบว่าคนที่ผมชนนั้นคือลุงเป คนเก็บขยะที่อยู่ในละแวกนั้น โชคดีที่ชนเข้าไม่แรงนะ แกมีแผลถลอกเล็กน้อย จากนั้นผมก็พาแกไปส่งที่โรงพยาบาลจนแกหายดีครับ"
"แล้วเรายังได้ยินว่าคุณช่วยเหลือลุงอีกหลายอย่าง ทั้งเปลี่ยนขาเทียมให้ ซื้อรถสามล้อให้ใหม่ และช่วยเหลือทุนการศึกษาให้หลานลุงด้วยใช่ไหมคะ"ผมพยักหน้า "ทำไมต้องทำขนาดนั้นคะ"
"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของมนุษยธรรมครับ เราอยู่ในสังคมเดียวกัน เห็นคนที่ขาด คนที่พร่อง ผมคิดว่าถ้ามีหัวจิตหัวใจอยู่บ้างก็ต้องหวั่นไหว ส่วนเรามีมากกว่า มากพอจะแบ่งปันได้ เราก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้คนอื่นเท่าที่เราทำได้"
"คุณพีรพลทำเพื่อสังคมแบบนี้ประจำเลยหรอคะ"
นึกภาพค่าใช้จ่ายที่พอกพูนจากเหตุการณ์นี้ คงต้องพยายามหาเงินมาโปะให้พ้นเดือน
"ผมคิดว่าการทำบุญไม่ต้องไปที่วัดอย่างเดียว แต่เราทำดีกับเพื่อนร่วมสังคม ผลบุญที่เราทำก็จะตอบแทนเรามาทันที คือทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นครับ คุณลองนึกภาพดูสิ มันจะไม่น่าอยู่ได้อย่างไร หลังจากวันนั้น ลุงเป๋ก็สีหน้าสดชื่นแจ่มใส ไปเก็บขยะก็มีรอยยิ้มทักทายคนอื่นเสมอ ทุกคนที่เห็นก็พลอยยิ้มตามแกไปด้วย ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้แหละที่เราในฐานะพลเมืองของชาติควรทำ เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขครับ"
"ได้ยินว่าคุณลุงยกย่องคุณมาก เป็นคนสำคัญของครอบครัวลุงเลยนะคะ"
"ครับ ผมคิดว่าเราทุกคนที่อยู่ในสังคมต่างก็เป็นครอบครัวครับ คำว่าครอบครัวมันคงไม่ได้จำกัดแค่พ่อแม่ลูกหลานปู่ย่าตายายของเรา แต่เพื่อนบ้าน ป้าร้านข้าวริมถนน พี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ของร้านขายของชำหน้าปากซอย หรือแม้แต่ลุงคนเก็บขยะท้ายซอยอย่างลุงเป๋ ทั้งหมดคือคนสำคัญครับ ทุกคนทำให้สังคมขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ผมไม่ได้เรียกลุงแค่เพราะเขาอายุมากกว่าพ่อผม แต่นับถือเขาที่เป็นคนทำงานสุจริตคนหนึ่ง หากไม่มีลุงคอยเก็บขยะ ชุมชนจะสะอาดได้อย่างไร ถ้าเรานับว่าเขาเป็นครอบครัว เป็นหน่วยหนึ่งในสังคมที่เราอาศัยอยู่ ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มันก็จะเกิดขึ้นในใจของเรา นำไปสู่การทำสิ่งดีๆให้แก่กันครับ"
"อืม เป็นคำพูดที่น่าประทับใจมากๆเลยครับ" ฝ่ายพิธีกรหนุ่มพูดขึ้นบ้าง
"แต่คุณทำความดีขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ยอมบอกให้คนอื่นรู้เลยครับ"
"ผมไม่รู้สึกว่าเป็นความดีนะครับ ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง อันที่จริงเป็นผมที่ทำความผิดด้วยซ้ำ คือทำให้ลุงเปบาดเจ็บ เสียโอกาสหลายอย่าง เมื่อทำผิด ผมก็ยอมรับผิด" แวบหนึ่งผมนึกถึงไอ้ซุปเปอร์คาสาระเลวนั่น "...สิ่งที่ผมทำได้คือทำหน้าที่ชดเชยให้ลุงมากเท่าที่จะมากได้ หวังแค่ว่าลุงจะให้อภัยในความผิดของผมและกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ก็เลยไม่คิดว่าจะต้องไปป่าวประกาศให้ใครรู้"
"ไม่แจ้งแม้แต่บริษัทประกันภัยรถยนต์ ซึ่งอาจจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้" พิธีกรหนุ่มเหลือบมองสคริปคงเตรียมการกันมาแล้ว ผมก็เช่นกัน
"คงเหมือนลูกไม่อยากกวนพ่อนะครับ เรารู้ว่าขอแต่ออกปากพ่อจะจัดการให้เราได้ทุกอย่าง แต่เราทำความผิดนี้เองก็อยากจะชดใช้ความผิด ไม่ต้องให้ใครมาเดือดร้อนด้วย" รอยยิ้มชื่นชมฉายออกมาจากใบหน้าของเจ้าหัวหน้าทีมนั่น ผมอยากลุกขึ้นต่อยมันเป็นจริงๆ
พิธีกรสาวรีบแทรก ราวกับว่าจังหวะมาถึงแล้ว
"พอคุณพีรพลพูดเรื่องดูแลครอบครัวแล้ว ฟังดูคล้ายกับสโลแกนของบริษัทคุณเลยนะคะ "ดูแลทุกคนเหมือนครอบครัว" ไม่ทราบว่าคุณธำรงศักดิ์ผู้จัดการฝ่ายดูแลลูกค้ามีความเห็นเรื่องนี้อย่างไรคะ"
"พอได้ฟังเรื่องของคุณพีรพลแล้วผมซาบซึ้งนะครับ คนที่ทำดีต่อผู้อื่นในสังคมเหมือนคนในครอบครัว โดยไม่หวังผลตอบแทน" มันหันมายิ้มหวานให้ผม รอยยิ้มนั้นดูแสนจริงใจ
"อันที่จริงถ้าเราได้ทราบเรื่องตอนเกิดอุบัติเหตุ เราก็มีมาตรการดูแลผู้ประสบอุบัติเหตุชั้นหนึ่งรองรับอยู่แล้ว เพราะคุณพีรพลเอง ก็เป็นลูกค้าชั้นหนึ่งของบริษัทเรามาอย่างยาวนาน สิ่งที่คนพีรพลช่วยเหลือลุงปิติก็ไม่ต่างจากวิธีการและปรัชญาที่เราดูแลลูกค้ามาโดยตลอด วิธีการดูแลทุกคนเหมือนครอบครัวของเราเอง"ๆ ด้วยการส่งคนมาสอบสวนผมราวกับฆาตกรผมคิดในใจ
"อย่างที่คุณพีรพลพูด การทำดีย่อมทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น บริษัทของเราเชื่อมั่นในหลักการนี้มาตลอดการทำธุรกิจ เมื่อเราได้รับรู้แล้วว่าลูกค้าของเราคือ "พลเมืองดี" ที่น่ายกย่องในสังคม เราก็อยากจะร่วมทำความดีไปพร้อมกับคุณธีรพลด้วยการมอบทุนสนับสนุนความดีเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ลงปิติผู้ยากไร้ในทุกๆเดือน และมอบทุนการศึกษาแก่หลานของคุณลุงไปจนกว่าจะจบการศึกษา"
พิธีกรทั้งสองปรบมือด้วยท่าทางตื่นเต้น ทำเอาผมต้องแสร้งปรบมือตามพอเป็นพิธี การลงทุนครั้งนี้คงคุ้มค่า พูดตรงๆลุงปิติก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน ส่วนเจ้าหลานนั่นก็ไม่เอาอ่าว อย่างมากก็คงจะพอรอดแค่มัธยมปลาย ดูท่าอนาคตบริษัทจะประหยัดเงินส่วนนี้ได้พอสมควร จากนั้นก็เป็นคิวของพิธีกรทั้งสองที่ผลัดกันพูดยกย่องความใจกว้างของบริษัทประกันภัยต่างๆ นานา ที่แท้รายการนี้ก็คงเป็นการพยายาม "รักษาภาพลักษณ์ของบริษัท" หรืออะไรทำนองนั้นอย่างที่ไอ้หัวหน้าจอมกร่างนั่นเคยพูด ผมทนฟังอยู่นาน เอียนจนอยากจะอ้วก
"คำถามสุดท้ายค่ะ คำว่า "พลเมืองดี" ในทัศนคติของคุณเป็นอย่างไรคะ?" พิธีกรสาวหันหน้ามาทางผม ผมนิ่งงันกับคำถามสักครู่ แต่ก็ไม่เงียบหายจนอีกฝ่ายสังเกตได้ ผมคิดพลางหัวเราะให้เรื่องที่เกิดขึ้น ผมควรจะพูดอะไรดี คนอย่างพีระพล พลเมืองดี ควรจะพูดอะไรในวินาทีนั้น
"พลเมืองดีก็คือคนที่มีความซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์ต่อมโนธรรมในหัวใจตนเอง รู้จักหน้าที่ของตนเอง กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป มีความปรารถนาดีต่อสังคมเป็นที่ตั้ง ตระหนักว่าตนเองเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้สังคมดีขึ้นและน่าอยู่มากขึ้นครับ"
"ขอบคุณคุณพีรพลมากที่กรุณามาร่วมพูดคุยในรายการของเรา" หลังจากจบรายการวันนั้น เจ้าหัวหน้าทีมสืบสวนก็ดอดมาคุยกับผมเพียงลำพัง
"พวกคุณเลิกตามกัดผมแล้วหรอ"
"อ๋อ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ" มันหัวเราะ พลางยื่นซอง "ค่าเสียเวลา" มาให้ผมจำนวนไม่น้อย
"ผมพึ่งรู้ว่าเลขทะเบียนรถคันนั้นเป็นของใครน่ะ คุณรู้ไหม คนที่เพิ่งเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทเราเมื่อต้นปีคือคุณวีรยา ลูกสาวคนเล็กของตระกูลอิสราธิพงศ์ ส่วนผมก็เพิ่งจะได้ขึ้นเป็นผู้จัดการเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง พูดแค่นี้คุณคงจะเข้าใจนะ"
มันหลบตาผมเล็กน้อย ใช่ พูดแค่นี้ผมก็พอเข้าใจ ผมเองก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับมัน แต่ถึงผมไม่พูดมันก็คงเข้าใจ บนไซต์ก่อสร้างที่ทีมผมเข้าไปเป็น ฝเอ้าท์ซอร์สดูแลกิจการ เขียนป้ายติดหลาว่าเป็นโครงการของชิษณุพงศ์ บรรณาวิจิตร เศรษฐีหนุ่มใหญ่รายใหม่ของประเทศคนนั้นเอง ถ้าวันดีคืนดี หัวหน้าทีมไซต์ก่อสร้างอย่างผมมีเรื่องฟ้องร้องกับลูกชายคนโตของเขา หรือหัวหน้าทีมประกันภัยอย่างมันต้องตามเอาผิดลูกชายคนโปรดของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเอง จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกเราและลูกน้องในทีมที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เราเป็นฟันเฟืองของสังคมก็จริง แต่ฟันเฟืองกระจ้อยร่อยอย่างเราๆ ควรสำเหนียกว่าหากไปขัดแข้งขัดขาฟันเฟืองใหญ่ให้ติดขัด นอกจากตัวเราเองจะพังพินาศแล้วฟันเฟืองกระจิ๋วหลิวที่อยู่ข้างล่างเราก็คงเละเทะไม่เป็นท่า
หรือบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องสนุกก็ได้ใครจะรู้ว่าซูเปอร์คาร์สีเขียวที่ต่อให้มีเงินล้นฟ้าก็ซื้อไม่ได้คันนั้น สืบลึกลงไปแล้วจะลากไส้ของเครือข่ายผู้มีอิทธิพลคนไหนออกมาได้บ้าง แต่ดูเหมือนผมกับมันเหมือนกันตรงที่ไม่ค่อยอยากจะหาเรื่องสนุกทำสักเท่าไหร่นัก
สังคมของเราก็แบบนี้ "พลเมืองดี" อย่างพวกเราแม้จะเห็นบางสิ่งที่ผุพัง แต่ควรรู้ว่าอะไรที่ถอดรื้อทิ้งได้ อะไรที่ควรปล่อยไว้อย่างนั้น เพื่อให้ชีวิตของเรายังปกติสุข กลับเป็นผมที่ตบไหล่ของมันเบาๆ
"เราก็ลำบากด้วยกันหมดนี่ล่ะนะ" มันเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นออกมาจากใจ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นรุ่นน้องผู้จัดการสาขาคงโทรมาถามไถ่ชีวิต
"ขอโทษนะคะที่วันนั้นหนูพูดไม่ดีใส่พี่" เสียงปลายสายดังขึ้น ผมตอบกลับไปว่า
"ไม่เป็นไร"
"ได้ยินจากเพื่อนว่าเรื่องของพี่จบลงด้วยดีแล้วใช่ไหมคะ..."
ใช่ ขอเพียงไม่หาเรื่องใส่ตัว เรื่องทั้งหมดก็จะจบลงด้วยดี ไม่มีใครสนเสียอะไร มีแต่คนได้ประโยชน์ทั้งนั้น ลุงปิติได้รับความช่วยเหลือมากมาย ผมได้ชื่อเสียงว่าเป็นพลเมืองดี บริษัทประกันภัยได้โปรโมทภาพลักษณ์ที่ดี นึกย้อนไปก็ได้แต่หัวเราะ เหมือนว่าสิ่งที่ผมทำลงไปในนาทีนั้น ผ่านการคิดมาเป็นอย่างดี แต่ให้ตายเถอะ ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น
นึกย้อนกลับไป เมื่อนาทีชีวิตเดินทางมาตรงหน้า สัญชาตญาณโยนคำถามง่ายๆ มาให้ผมว่าจะเลือกอะไรระหว่างขับตรงไปให้ชนรถหรูราคาร้อยล้านสีถลอก มีเรื่องมีราวกับเจ้าของรถซึ่งน่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนใดคนหนึ่ง หรือหักหลบไปทางซ้ายที่มีชายชราคนเก็บขยะผู้ไม่ได้มีคุณค่ากับใครขวางทางอยู่
สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว เดินตรงไปที่ลานจอดรถเพียงลำพัง เหลือบมองรถคู่ใจอีกครั้ง รถสวยเหมือนใหม่ รอยถลอกจากอุบัติเหตุครั้งนั้นไม่เหลือแล้ว ผมปิดประตูรถ ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ขับรถออกไปช้าๆ เพื่อทำหน้าที่"พลเมืองดี" ในสังคมต่อไปตราบนานเท่านาน
ขอบคุณหนังสือ วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้าประจําปี 2563
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาติดตามอ่านจนจบนะคะ เรื่องนี้ไม่มีภาพคั่นโฆษณาสวยๆให้ดูเลย หยวนๆแล้วกันนะคะ นะคะ
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
โฆษณา