23 มี.ค. 2022 เวลา 03:51 • ไลฟ์สไตล์
เพื่อนรอบตัวเขาไปไกลกว่าผมมาก ผมอายุ 30 ปี วันนี้มันช่างน่าน้อยใจนัก (อาจจะยาวหน่อย แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ผมต้องพูด)
คำด้านบนนี้ คือคำที่ผมได้ยินจากน้องชายคนหนึ่งที่เล่าความทุกข์ใจให้ผมฟังเมื่อไม่นานมานี้
และนี่คือบทสนทนาระหว่างเราครับ
น้องชาย :
ผมรู้สึกน้อยใจตัวเอง เพื่อนๆเขาไปได้ดีกันหมด ผมยังอยู่ที่เดิมเลยครับ
ผม :
ทำไมถึงคิดว่า คนอื่นไปไกลกว่าคุณล่ะ ?
น้องชาย :
ตอนนี้เพื่อนๆเขาดูมีอาชีพทำงานประจำที่มั่นคง เขามีบ้านหลังใหม่ เขามีรถคันใหม่ เขาดูมียอดขายเติบโต ดูเขาจะมีเงินใช้จ่ายเยอะมากจังเลย
ผม :
แสดงว่า คุณใช้ "เงิน" เป็นตัววัดว่า ใครไปไกลกว่ากัน ถูกต้องไหม?
น้องชาย : จะว่าไปมันก็น่าจะใช่ครับ เพราะตอนนี้ผมไม่มีรายได้เยอะมากนัก ทั้งๆที่ดูเหมือนจะเริ่มทำอะไรก่อนใคร แต่วันนี้กลับดูช้ากว่าคนอื่น
ผม :
คำว่า "ไกล" ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับคุณในครั้งนี้ มันคือการที่คุณวัดที่ "ตัวเงิน" แต่คุณรู้อะไรไหม "เงินในวันนี้" คือ สิ่งสมมุติแทนสิ่งที่มีมูลค่า เมื่อก่อนนั้นเงินจับต้องได้จริงๆ มันคือสิ่งที่มีของมีมูลค่าหนุนหลัง (นั่นคือทองคำ)
น้องชาย :
ทำไมทองคำจึงมีค่าล่ะ ? แล้ว หมายความว่าอย่างไรที่หนุนหลัง
ผม :
เชื่อหรือไม่ ? ทองคำไม่ได้กำเนิดจากพื้นโลกแต่มันมาจากอวกาศ มันติดมากับอุกกาบาตที่พุ่งใส่โลก ทำให้โลกของเราได้รับสายแร่ทองคํามาตั้งแต่นั้น
ทองคำ มีมวลเท่าเดิมเสมอ สามารถหลอม ยืด และดัดแปลงรูปร่างได้ง่ายโดยไม่เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะไปประกอบอยู่ในวัสดุอะไรก็ตาม ก็สามารถแยกทองออกมาได้ในปริมาณเท่าเดิมเสมอ (เหมือนเป็นอมตะ) จากนั้นเมื่อคนเห็นค่ามัน คนก็หลงใหลกับมัน
ในคริสตศตวรรษที่ 19 ได้มีการเอามาตรฐานทองคำเข้ามาใช้ในระบบเงินตราในหลายประเทศ โดยรัฐบาลเป็นผู้หลอมทำและจำหน่ายเงินเหรียญทองคำ นั่นหมายความว่าเงินหรือสิ่งแลกเปลี่ยนกันตอนนั้นใช้กัน มีทองคำจริงๆที่จับต้องได้ (และฟังให้เข้าใจจะได้ตาสว่างกัน)
แต่แล้ว เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1971 ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน เอาเงินดอลลาร์ออกจากระบบมาตรฐานทองคำ มันเป็นวันที่สหรัฐอเมริกาเริ่มต้นพิมพ์เงินกระดาษจำนวนมหาศาลออกมา มันเป็นเงินที่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริงอีกต่อไป (fiat currency) มันไม่ได้ถูกหนุนหลังโดยสิ่งมีมูลค่าใดๆ ยกเว้นคำพูดจากรัฐบาล
รัฐบาลสร้างกฎหมายที่บอกว่ากระดาษใบนี้คือเงินที่ใช้แทนทองคำ ซึ่งมันส่งผลให้เขาพิมพ์เงินออกมาแบบไม่มีจำกัด ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ เงินจะถูกลดมูลค่าลงไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดแล้วพวกมันจะเป็นสิ่งไร้ค่า
วอลแตร์ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า
"สุดท้ายเงินกระดาษก็จะกลับเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริงของมันนั่นคือศูนย์"
มันเป็นเวลา 51 ปีมาแล้วที่เงินไม่ได้ถูกหนุนหลังด้วยทองคำ หากเกิดการล่มของระบบครั้งใหญ่ หากคนเริ่มไม่เชื่อถือในเงินที่รัฐตั้งกฎขึ้นมา เงินจะเริ่มใช้งานไม่ได้ (นั่นเป็นเหตุให้รัฐกลัว Crypto) คนที่ทำงานเพื่อเงิน หาเช้ากินค่ำ กำลังจะแพ้ ลองคิดดูว่า วันนึงเงินกระดาษที่ใช้กัน คนไม่เชื่อถือและไม่สามารถแลกเปลี่ยนอะไรได้เลย จะเป็นอย่างไร?
น้องชาย :
เงินที่หากันไม่มีค่าอะไรเลย งั้นก็ไม่ควรใช้ 'เงิน' วัดความ 'ไกล' น่ะสิ แล้วเราจะใช้อะไรวัดว่าเรามีความสำเร็จในเรื่องความมั่งคั่งล่ะครับ?
ผม :
ทรัพย์สินครับ ผมไม่รู้เพื่อนที่คุณหมายถึง เขาอาจจะมีเงินมากมายจากการทำงานประจำ เอาตัวเองแลกกับเงิน(ที่ไม่มีมูลค่า) หรือ คนที่มีเงินจากโชคดีถูกหวย หรือ ใช้เงินเกินฐานะตัวเอง เงินเดือน 2-3 หมื่นก็กู้เงินมากมายเพื่อมาเป็นหนี้ ซื้อบ้าน ผ่อนรถ ใครๆก็ทำได้เพื่ออวดว่าตัวเองมีเงิน แต่จะมีสักกี่คนที่เป็นเพื่อนคุณ ไกลเติบโตด้วยการ สร้างทรัพย์สิน ของตัวเองขึ้นมาจริงๆ
น้องชาย :
แล้วทรัพย์สินที่พี่หมายถึง คืออะไรล่ะ?
ผม :
สำหรับผมคืออะไรที่เป็นสิ่งที่ผลิตพลังบวกให้กับส่วนรวม
ความดี ความรู้ ธุรกิจและการลงทุน การสร้างงาน แบรนด์ ที่ดิน คอนเนคชัน ทุกสิ่งที่มีคุณค่า มีพลังสร้างอะไรก็ได้ และ กำไรจากการดำเนินงานนั้นๆจะนำมาซึ่งสิ่งที่คนเราใช้แลกเปลี่ยน (ในวันนี้มันเรียกว่า เงิน) ในวันข้างหน้ามันอาจจะเรียกเป็นอย่างอื่น นั่นแหละคือทรัพย์สิน
คำถามคือว่า วันนี้ คุณได้ทำอะไรเพื่อสร้างทรัพย์สินแทนที่จะเสียเวลา ทำงานหาเงิน และ เอาเวลาให้คนอื่นอยู่อีก
น้องชาย :
นั่นสินะครับ ผมมัวแต่วิ่งหาแต่ เงินกระดาษ ถ้าอย่างนั้นผมควรจะเริ่มจากตรงไหนล่ะครับ เพื่อให้ไปได้ไกลในการสร้างทรัพย์สิน
ผม :
เริ่มจากความรู้ครับ เมื่อไหร่ที่คุณถึงทางตันนั่นหมายถึงคุณไม่มีความรู้ไปอีกขั้น เริ่มจากต้นทุนที่ถูกที่สุดและคุ้มที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ นั่นคือ "หนังสือ"
วันนี้คุณอ่านหนังสือแล้วหรือยัง ?
หนังสือเล่มล่าสุดที่คุณอ่านคือเมื่อไหร่ ?
เริ่มจากหาความรู้เรื่องของ การเงิน รู้จักมัน รู้จักวิธีใช้มัน รู้จักว่าอะไรคือทรัพย์สิน อะไร คือหนี้สิน แล้วค่อย สร้างเครื่องจักรผลิตเงินของตัวเอง (ธุรกิจ) สุดท้ายแล้ว อย่าลืม ต้อง "ทำ"
ในครั้งหน้าหากจะนัดคุยกับผมอีก คุณต้อง "ทำ" เพราะ ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มันเสียเวลาผมในการมาแนะนำจริงๆ
อีกอย่าง ทำไมต้องไปแข่งกับคนอื่น สนใจแค่ตัวคุณก่อนดีกว่าครับ
โชคดีครับน้องชาย 🙂
เอาต์พุตของ หนุ่ม เทพนรินทร์ จากเรื่องราว ประสบการณ์จริง #numthepnarin
โฆษณา