24 มี.ค. 2022 เวลา 11:38 • ประวัติศาสตร์
ความใคร่ที่นำพาความล่มสลายมาสู่ราชวงศ์
ในสมัยศตวรรษที่ 12 ภาคเหนือของจีนตกอยู่ใต้อำนาจของชาวชี่ตัน (Khitan) ซึ่งขึ้นมาเป็นใหญ่หลังจากการเสื่อมถอยของราชวงศ์ถัง ซึ่งปกครองดินแดนส่วนใหญ่ในจีนมาตั้งแต่ต้นยุคกลาง
1
ราชวงศ์ถังนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวฮั่น ในขณะที่แผ่นดินทางเหนือ กลับเป็นของชาวชี่ตัน ซึ่งก็คือชนเผ่านอกด่าน
ชาวชี่ตันได้ก่อตั้งราชวงศ์ของตน นั่นคือ “ราชวงศ์เหลียว (Liao Dynasty)” ซึ่งครองดินแดนตั้งแต่บริเวณป่าของแมนจูเรียทางตะวันออก ไปจนถึงที่ราบของคาซัคสถานทางตะวันตก
ดินแดนของราชวงศ์เหลียว
ในขณะเดียวกัน ภาคใต้ของจีนก็อยู่ในการปกครองของราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นชาวฮั่น และไม่ให้การยอมรับราชวงศ์เหลียวมากนัก
ทางด้านราชวงศ์เหลียว ถึงแม้จะมีอำนาจและปกครองชาวฮั่นเป็นจำนวนมาก หากแต่ก็รู้ดีว่าประชาชนไม่ได้เคารพและยอมรับราชวงศ์ของตนมากนัก
1
เมื่อเป็นอย่างนี้ ราชวงศ์เหลียวจึงมองหาแรงสนับสนุนจากภายนอก และส่งทูตไปยังดินแดนต่างๆ
“แมนจูเรีย (Manchuria)” คือหนึ่งในสถานที่ที่จักรพรรดิราชวงศ์เหลียวส่งทูตไปเยือนบ่อยที่สุดแห่งหนึ่ง โดยทางใต้ของแมนจูเรีย ก็มีกลุ่มชนเผ่าที่เรียกว่า “ชนเผ่าหยูเจิน (Jurchen)” อาศัยอยู่
ชาวหยูเจิน
ราชสำนักเหลียวก็พยายามจะเอาใจชนเผ่าหยูเจินเช่นกัน โดยมีการส่งทูตและของขวัญต่างๆ ไปกำนัลให้แก่ชนเผ่า
ทางด้านชนเผ่าหยูเจิน ก็ให้การต้อนรับทูตจากราชวงศ์เหลียวอย่างดี และมักจะจัดหญิงงามมาคอยปรนเปรอเหล่าทูต ดูแลอย่างดี สร้างความบันเทิงให้เหล่าทูต
ภายใต้การปกครองของ “จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้ว (Emperor Tianzuo of Liao)” พระประมุขแห่งราชวงศ์เหลียว การเจริญสัมพันธไมตรีกับชนเผ่าหยูเจินก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการส่งทูตไปยังชนเผ่าหยูเจินอยู่เรื่อยๆ
ชาวหยูเจินก็ให้การต้อนรับเหล่าทูตอย่างดี มีการจัดหาหญิงสาวมาคอยต้อนรับทูตอย่างดี หากแต่เหล่าหญิงที่มาทำหน้าที่ต้อนรับ จะมีเพียงหญิงที่ยังไม่แต่งงานเท่านั้น อีกทั้งยังต้องสมัครใจอีกด้วย ซึ่งหญิงที่สมัครใจก็มีจำนวนมาก
3
แต่สำหรับทูตจากราชวงศ์เหลียว ต่างยังไม่พอใจ ได้คืบจะเอาศอก
เหล่าทูตได้เริ่มคว้าผู้หญิงที่ตนอยากได้ ซึ่งรวมถึงหญิงสาวที่แต่งงานแล้วด้วย แม้แต่ภรรยาหัวหน้าเผ่าก็ไม่เว้น
ในไม่ช้า เหล่าทูตก็ได้ล่วงละเมิดและข่มขืนหญิงสาวหยูเจิน
2
การกระทำของทูตจากราชวงศ์เหลียว สร้างความไม่พอใจและโกรธแค้นให้แก่ชาวหยูเจินและหัวหน้าเผ่าเป็นอันมาก
ในปีค.ศ.1112 (พ.ศ.1655) จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วได้เสด็จเยือนแมนจูเรียและชนเผ่าหยูเจิน ซึ่งผู้นำชนเผ่าหลายคนก็คิดว่าจะถือโอกาสนี้ทูลองค์จักรพรรดิถึงสิ่งที่ราชทูตได้กระทำ
แต่แทนที่องค์จักรพรรดิจะรับฟังและช่วยเหลือ พระองค์กลับไม่สนพระทัย และยิ่งดูถูกมากขึ้นด้วยการมีรับสั่งให้หัวหน้าเผ่าเต้นให้พระองค์ทอดพระเนตร ซึ่งนี่คือการกดขี่และดูหมิ่น
แต่ถึงจะไม่พอใจ แต่กำลังของชนเผ่าหยูเจินก็ยังเป็นรองกองทัพของราชวงศ์เหลียว จึงไม่สามารถทำอะไรได้มาก
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีชาวหยูเจินรายหนึ่ง มีนามว่า “อากูดา (Aguda)” ได้ปฏิเสธ ไม่ยอมเต้น และเดินออกไปจากงาน และอากูดาผู้นี้ ก็ได้ใช้ความโกรธแค้นที่ชาวหยูเจินมีต่อราชวงศ์เหลียว สนับสนุนให้ตนขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่ชาวหยูเจิน
อากูดาได้วางแผนที่จะแก้แค้นราชวงศ์เหลียวหรือพวกชี่ตัน
อากูดาทราบดีว่ากำลังของตนเป็นรองราชวงศ์เหลียว ดังนั้น การโจมตีโดยตรงย่อมไม่ดีแน่ อากูดาจึงคิดทางใหม่ นั่นคือส่งทูตไปยังราชวงศ์ซ่งซึ่งปกครองภาคใต้ของจีน และยังเป็นศัตรูกับพวกชี่ตัน
ทางด้านราชวงศ์ซ่งก็เห็นดีด้วย และคิดว่าการให้ชนเผ่าหนึ่งตีกับอีกชนเผ่าหนึ่ง สู้กันเอง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตน
ในไม่ช้า ก็มีการปลุกระดมให้ต่อต้านชาวชี่ตัน
ค.ศ.1115 (พ.ศ.1658) จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วก็ตกที่นั่งลำบาก ต้องเผชิญกับราชวงศ์ซ่งทางใต้ ส่วนชนเผ่าหยูเจินก็แสดงออกว่าต่อต้านตนอย่างเปิดเผย
ตัวของอากูดาเอง ก็ได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ ขึ้นเป็น “จักรพรรดิจินไท่จู่ (Emperor Taizu of Jin)” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จิน
จักรพรรดิจินไท่จู่ (Emperor Taizu of Jin)
จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วซึ่งตกอยู่ท่ามกลางศัตรูทั้งสองด้าน ได้มุ่งเป้าที่จะรับมือกับราชวงศ์ซ่งก่อน
การทุ่มกำลังไปกับการรับมือราชวงศ์ซ่ง ทำให้กำลังที่ป้องกันทางเหนือเบาบาง และทำให้กองทัพหยูเจินสามารถเข้ายึดเมืองได้เรื่อยๆ และทำให้อำนาจของจักรพรรดิจินไท่จู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ แผนของจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วจึงจำเป็นต้องเปลี่ยน โดยรวบรวมทัพ มุ่งขึ้นเหนือไปหากองทัพของจักรพรรดิจินไท่จู่
หากแต่ก่อนจะได้ปะทะกับกองทัพของจักรพรรดิจินไท่จู่ จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วก็ได้ทรงทราบถึงแผนการที่จะโค่นล้มพระองค์ในอาณาจักรของพระองค์เอง
1
เมื่อเป็นอย่างนี้ จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วจึงต้องจัดการกับปัญหาภายในซะก่อน โดยมีการประหารขุนนางราชวงศ์เหลียวกว่า 200 คน
3
จากนั้น จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วก็รีบเสด็จกลับเมืองหลวง และแต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่เพื่อทำศึกกับราชวงศ์จิน หากแต่แม่ทัพคนใหม่ก็ไร้ความสามารถ และทำให้ทหารราชวงศ์เหลียวล้มตายลงในสงครามเป็นจำนวนมาก
ในเวลานั้น ขวัญกำลังใจของทหารฝ่ายราชวงศ์เหลียวนั้นตกต่ำสุดขีด และเมื่อกองทัพของราชวงศ์จินได้เข้าโจมตีครั้งใหญ่ในปีค.ศ.1117 (พ.ศ.1660) กองทัพของราชวงศ์เหลียวก็ย่อยยับ และในไม่ช้า จักรพรรดิจินไท่จู่ก็แผ่อำนาจเหนือแมนจูเรียทั้งหมด
1
ราชวงศ์เหลียวได้สูญเสียอำนาจทางเหนือ อีกทั้งยังเกิดการปฏิวัติภายใน แม้แต่หนึ่งในมเหสีของจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วก็ยังวางแผนจะโค่นล้มพระองค์
นอกจากนั้น คนของจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วหลายคนก็แปรพักตร์ ไปเข้ากับฝ่ายราชวงศ์จินแทน และราชวงศ์เหลียวก็กำลังจะล่มสลาย
ในเวลานี้ จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วทรงตระหนักว่าพระองค์กำลังอยู่ในสถานะที่เสี่ยงอย่างมาก ไม่สามารถไว้วางใจใครได้อีก เนื่องจากแม้แต่มเหสีของพระองค์ยังคิดร้ายต่อพระองค์
พระองค์จึงตัดสินพระทัย เสด็จหนีไปทางตะวันตก ซึ่งปกครองโดยอาณาจักรเซี่ยตะวันตก (Western Xia) ซึ่งก็ถวายการต้อนรับพระองค์อย่างดี
1
ในทีแรก อาณาจักรเซี่ยตะวันตกก็ส่งกองทัพไปสู้รบกับกองทัพของจักรพรรดิจินไท่จู่ ซึ่งจักรพรรดิจินไท่จู่ก็ทรงส่งสาส์นมายังอาณาจักรเซี่ยตะวันตก ใจความว่า พระองค์ไม่ได้มีความขัดแย้งกับเซี่ยตะวันตก แต่จะทำสงครามกับเซี่ยตะวันตกหากยังคงปกป้องจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้ว
ชาวเซี่ยตะวันตก
ข้อความนี้สร้างความหวาดกลัวแก่จักรพรรดิแห่งเซี่ยตะวันตก ซึ่งก็ยอมเข้ากับจักรพรรดิจินไท่จู่ ทำให้จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วต้องเสด็จหนีไปทางเหนือ
ชีวิตของจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วตกต่ำสุดขีด ถึงขั้นที่ว่าพระองค์ต้องทรงนำฉลองพระองค์ไปแลกกับอาหาร และในที่สุด กองทัพของจักรพรรดิจินไท่จู่ก็สามารถจับพระองค์ได้ในที่สุด
ในที่สุด ราชวงศ์เหลียวก็ล่มสลาย และราชวงศ์จินก็ปกครองแผ่นดินจนกระทั่งการเข้ามาของพวกมองโกล
ภายหลังจากโค่นล้มราชวงศ์เหลียว ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์จินและราชวงศ์ซ่งก็ได้ขาดสะบั้น เนื่องจากไม่มีราชวงศ์เหลียวเป็นก้างขวางคออีกต่อไป ทำให้สองอาณาจักรทำสงครามกัน และจบลงด้วยการที่ราชวงศ์ซ่งต้องยอมรับราชวงศ์จินในฐานะของผู้ปกครองภาคเหนือของจีน
สำหรับชะตากรรมของจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วนั้น ในช่วงสงครามระหว่างราชวงศ์จินกับราชวงศ์ซ่ง ฝ่ายราชวงศ์จินสามารถจับองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่งมาได้ และจักรพรรดิแห่งราชวงศ์จินก็ทรงนึกสนุก และมีพระประสงค์ที่จะเห็นอดีตจักรพรรดิทั้งสองพระองค์แข่งขันกันเองในกีฬาขี่ม้า
1
ผลการแข่งขันน่าจะออกมาว่าผู้ชนะคือจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้ว หากแต่แทนที่จะรับรางวัล พระองค์กลับทรงวิ่งไปขึ้นม้า และรีบขี่ม้าหนีออกไป
แต่ยังไปไหนไม่ได้ไกล ธนูของทหารราชวงศ์จินก็พุ่งเข้าไปปักที่กลางหลังของพระองค์ ทำให้พระองค์สวรรคตทันที
เมื่อจักรพรรดิเหลียวเทียนจั้วสวรรคต ราชวงศ์เหลียวก็ถึงจุดจบอย่างเป็นทางการ ซึ่งอันที่จริง การต่อต้านของชนเผ่าหยูเจินก็ไม่ใช่เหตุแห่งความล่มสลายของอาณาจักรพระองค์เพียงอย่างเดียว
แต่มันก็น่าคิดว่า หากทูตของพระองค์ไม่ไปข่มเหงหญิงของชนเผ่าหยูเจิน ไม่ทำให้ชนเผ่าหยูเจินแค้น และพระองค์จะให้เกียรติชนเผ่าหยูเจินมากกว่านี้
บางที จุดจบอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็เป็นได้
โฆษณา